บทที่ 6 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (6)
บทที่ 6 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (6)
ตลอดการรับประทานอาหารมื้อนั้น ฉู่ถางไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ด้วยท่าทางอันสูงส่งและการเคลื่อนไหวที่สง่างามของเขา ทำให้การรับประทานอาหารธรรมดาๆมื้อหนึ่ง ดูงดงามราวกับงานศิลปะ
ใครเล่าจะไม่ชอบมองของสวยๆงามๆ ด้วยเหตุนี้ฉีเซิงจึงทานอาหารได้มากกว่าปกติ เธอทานไปเรื่อยๆจนอิ่มแปล้
ฉู่ถางอดจะยกยิ้มไม่ได้ เมื่อเห็นฉีเซิงลูบท้องของเธอ “เห็นคุณกินขนาดนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าคุณซวีเขาให้คุณอดมื้อกินมื้อหรือเปล่า?”
ฉีเซิงชะงัก ‘นี่นายกำลังด่าว่าฉันตะกละเร๊อะ?!’
“อาจจะเป็นเพราะว่ามีคุณฉู่มานั่งทานอาหารเป็นเพื่อนมั่งค่ะ ดิฉันถึงทานได้มากกว่าปกติ” ฉีเซิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
ฉู่ถางชะงักไปชั่วขณะ ‘แทะโลม.....นี่เรียกว่าแทะโลมด้วยคำพูดใช่ไหม?’
สองชั่วโมงก่อนหน้านี้ เจ้าหลอนทำท่าเหมือนอยากจะฆ่าหั่นศพเขา แต่ตอนนี้กลับมานั่งจีบเขาหน้าตาเฉย ‘ใจกล้าเกินไปแล้ว!!’
ฉีเซิงรู้สึกว่าผิวหน้าเธอหนาขึ้นหลังจากเธออิ่มท้อง
หรือ....ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ผิวหน้าของเธอค่อนข้างจะหนาอยู่แล้ว เพียงแต่เธอยังไม่คุ้นเคยกับฉู่ถางเสียมากกว่า ก็คงจะเหมือนเวลาผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นเข้าด้วยกัน แล้วต้องรอสักพักเพื่อให้อุณหภูมิของน้ำค่อยๆถ่ายเทความร้อนให้ซึ่งกันและกัน
“คุณฉู่ ไม่ทราบว่าคืนนี้คุณว่างหรือเปล่าคะ?”
“อะไรกันนี่คุณซวีอยากจะชวนผมไปเที่ยวต่อหรอ ?” ฉู่ถางหัวเราะแผ่วในลำคอ “แต่ค่าตัวผมค่อนข้างสูงนะ คุณซวีจะสู้ราคาไหวหรอ?”
“ถ้าดิฉันจ่ายไม่ไหว ส่วนที่เหลือดิฉันก็คงได้แต่ใช้ร่างนี้จ่ายให้คุณแทน”
‘เอาเซ่!! มาลองดูสักตั้ง! อย่ามาดูถูกสกิลการตบผู้ของฉันเชียว!’
“เอ่อ... อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยคุณซวี ผมลดราคาให้คุณน่าจะง่ายกว่า หนึ่งล้านคือค่าเวลาของผม” ฉู่ถางเคาะนิ้วมือกับโต๊ะ ท่าทางของเขาราวกับจะบอกเธอว่า ‘จ่ายเงินมาแล้วคืนนี้ผมจะเป็นของคุณ’
พวกเขาจมอยู่กับความเงียบชั่วขณะ ก่อนฉีเซิงจะถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก “คุณจะคิดเงินดิฉันจริงๆหรอคะ?”
ฉู่ถางพยักหน้า ท่าทางบ่งบอกว่าเขาพูดจริง
ฉีเซิงหมดคำพูด ‘เฮ้!! คุณรปภ. ตรงนั้น! ช่วยมาลากไอ้หมอนี่ไปทิ้งที!’
เธอหยุดไตร่ตรองชั่วครู่ ก่อนจะหยิบสมุดเช็คที่คุณพ่อให้เธอไว้ จรดปากกาเขียนตัวเลขลงไปบนกระดาษ ตบลงบนโต๊ะเบื้องหน้าฉู่ถางอย่างแรง “ถ้าอย่างนั้น... ดิฉันขอซื้อคุณ สิบวัน!!”
นิ้วเรียวยาวสวยได้รูปของฉู่ถาง หยิบเช็คขึ้นมาสำรวจมูลค่า ในแววตาปรากฏไอชั่วร้าย “ในเมื่อคุณซวีกล้าลงทุนเงินก้อนใหญ่กับผม ตกลง ผมรับเสนอข้อเสนอของคุณ”
ฉู่ถางเก็บเช็คใบนั้นลงกระเป๋าของเขาทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อไปช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้ฉีเซิงอย่างสุภาพบุรุษ “คุณซวี สิบวันนับจากนี้ไป ผมเป็นของคุณ ไม่ว่าคุณจะสั่งให้ผมกิน ดื่ม หรือแม้แต่...หลับนอน ผมย่อมไม่ปฏิเสธคุณ”
ฉีเซิงริมฝีปากกระตุก ด้วยเหตุผลบางประการ เธอสังหรณ์ใจว่าในอนาคตอันใกล้ เธออาจจะต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก
‘อันที่จริง....การซื้อตัวฉู่ถางสิบวัน...สยองชะมัด!!’ ฉีเซิงวางมือของเธอลงบนมือของฉู่ถาง ดูเหมือนว่ามือของเธอเหมาะที่จะวางบนฝ่ามือเย็นๆของเขาพอดี แต่ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากภัตตาคาร พวกเขาก็ชะงัก
‘คุณครับ พวกคุณยังได้ชำระค่าอาหารนะครับ?’ น้ำเสียงของบริกรยังคงสุภาพ แม้ในแววตาจะฉายแววสงสัยบางเบา ‘ท่าทางของคนคู่นี้ดูไม่คล้ายกับคนที่จะชักดาบสักนิด แต่ทำไมพวกเขาไม่จ่ายเงินกันนะ?’
‘โอ้ว... พวกเขาคงจะแค่ลืมล่ะมั้ง!’ บริกรหาคำตอบให้ตัวเองเสร็จสรรพ ด้วยเพราะพวกเขาทั้งคู่หน้าตาดีและแต่งกายภูมิฐาน เป็นธรรมดาที่คนมักจะหาข้อแก้ต่างให้คนพวกนี้ ฉีเซิงบีบมือฉู่ถางแน่น ‘อ๊า! ช่างน่าอายอะไรอย่างนี้!’
ฉู่ถางเพียงยืนเงียบๆ และมองตรงไปที่ฉีเซิงราวกับว่าเขาไม่ได้มีส่วนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ในที่สุดฉีเซิงก็ยอมแพ้ เธอหยิบบัตรออกมาส่งให้บริกร
“พวกเราลืมน่ะ”
บริกรค่อนข้างจะโล่งใจเมื่อได้รับคำตอบของเธอ ‘ว่าแล้วไหมล่ะ พวกเขาแค่ลืม พวกเขาออกจะดูดีขนาดนี้ จะไม่มีปัญญาจ่ายได้ยังไงกัน?’
เมื่อออกมาจากภัตตาคาร ฉีเซิงผลักฉู่ถางออก ก่อนจะชี้หน้าเขา เธอถอนหายใจแต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา
‘ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนี่! จงใจไม่เตือนฉันเรื่องจ่ายเงินชัดๆ!’ เหอะ... เพราะว่าฉันยังต้องการจะเดทกับนายอยู่หรอกนะ วันนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อน แต่อย่าให้รู้แล้วกันว่าจุดอ่อนของนายคืออะไร แม่จะเล่นคืนให้แสบเชียว!!’
พวกเขายืนอยู่ตรงทางออก ฉีเชิงมองฉู่ถาง ในขณะที่ฉู่ถางก็จ้องมองที่ฉีเซิง สายตาของพวกเขาประสานกัน หากมองจากมุมของคนนอก นี่ไม่ต่างจากฉากโรแมนติก..... ‘โรแมนติดกับผีสิว้อยย!!’
“คุณฉู่ รถของคุณจอดอยู่ตรงไหนคะ?” ‘นายอยากจะตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านนักหรือไง’
“ผมบอกให้คนขับรถกลับไป ตั้งแต่คุณซวีตัดสินใจซื้อตัวผมแล้ว” ฉู่ถางพูดราวกับว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาควรทำเป็นอย่างยิ่ง
เป็นอีกครั้งที่ฉีเซิงพูดไม่ออกเพราะเขา ‘แล้วไง? เราต้องเดินกลับงั้นเรอะ?’
ขามาคุณพ่อซวีเป็นคนมาส่งเธอ เธอจึงไม่มีรถอยู่ที่นี่เช่นกัน
‘ทำไมคนที่เรียกได้ว่าเป็นตำนานของวงการธุรกิจ ถึงไปปรับตัวกับการเป็น ‘เด็กเสี่ย’ ได้เร็วนักห๊ะ!! เฮ้! คุณผู้กำกับ! แน่ใจนะว่าสคริปต์นี้มันถูกต้องน่ะ!’
ฉีเซิงไม่มีเงินสดติดตัว และเธอก็คิดว่าคนอย่างฉู่เซิงก็ไม่น่าจะพกเงินสดเหมือนกัน ดังนั้นเธอตัดสินใจที่จะเมินเขา ค่าแท็กซี่น่าจะจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ แถมแถวๆนี้ก็ดันไม่มีตู้เอทีเอ็มอีก....
“คุณฉู่ ไม่ทราบว่าคุณจะสามารถเรียกคนขับรถของคุณกลับมาได้ไหมคะ?”
“เกรงว่าจะไม่ได้” ฉู่ถางเอามือล้วงกระเป๋า “เว้นแต่ว่าคุณซวีจะยอมจ่ายเงินเดือนให้เขาด้วย ผมอาจจะตกลง”
“ดิฉันไม่สงสัยแล้วว่าทำไมคุณฉู่ถึงได้รวยนัก” ‘ไอ้คนหน้าเลือด!!’
ฉีเซิงกลืนก้อนความโกรธลงคอจนเธอแทบจะกระอักเลือด เธอตัดสินใจพาฉู่ถางขึ้นรถขนส่งสาธารณะ ให้เขาได้เจอกับความลำบากของคนธรรมดาดูเสียบ้าง ‘จะทำยังไงกับค่าโดยสารงั้นเหรอ? โอ้! ฉันก็ตั้งใจจะใช้หน้าสวยๆนี่ให้เป็นประโยชน์ยังไงล่ะ!’
ดั่งกับเป็นการพิสูจน์ประโยคที่ว่า หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เด็กหนุ่มคนขับรถเมล์ก็ถูกฉีเซิงล่อลวงจนเคลิบเคลิ้ม กระทั่งเธอและฉู่ถางเดินตรงไปข้างหลังของรถเมล์แล้ว เขาก็ยังไม่เอะใจว่าพวกเธอยังไม่ได้จ่ายค่าโดยสาร
แม้ว่าบนรถเมล์นี้จะไม่ได้แออัดไปด้วยผู้คนนัก แต่ทุกที่นั่งล้วนมีผู้จับจองจนหมด ไม่มีที่ว่างเลยสักที่ เธอสังเกตุเห็นเด็กสาวหน้าแดงเถือกคนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ และยกที่นั่งนั้นอย่างเต็มใจให้กับ....
....ฉู่ถาง...ผู้ซึ่งนั่งลงโดยปราศจากความลังเลใดๆ
ทั้งๆที่เป็นแค่การนั่งบนเบาะรถเมล์ธรรมดาๆ แต่ท่าทางการนั่งของฉู่ถางกลับทำให้คนที่เห็นอดคิดไม่ได้ว่า เขากำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถคันหรู ท่าทางนั้นของเขาทำให้ผู้หญิงที่อยู่รอบๆตัวเขา จ้องมองไปที่เขาอย่างตกตะลึง
‘ให้ตายเถอะ! ยางอายของนายยังมีอยู่ไหม? นั่นผู้หญิงน่ะ! ผู้หญิง!! นายกล้านั่งลงไปได้ยังไง? ไม่มีใครคิดจะหยุดไอ้หมอนี่หน่อยเรอะ?!’
ฉีเซิงมองไปรอบๆตัว เธอสังเกตเห็นบรรดาผู้หญิงทั้งหลายต่างมีท่าทางโกรธและผิดหวัง อย่างไรก็ตามความรู้สึกพวกนั้น กลับเกิดขึ้นเพราะพวกเธอไม่ได้เป็นคนสละที่นั่งให้กับฉู่ถาง
‘เราอยู่ในสังคมที่มองคนแค่เปลือกนอกอะไรขนาดนี้’
ยิ่งเวลาผ่านไป รถเมล์ก็มุ่งหน้าผ่านหลายเส้นทางมากขึ้น ผู้คนบนรถเมล์จึงค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากพื้นที่ที่สามารถยืนได้สบายๆ ก็กลายเป็นว่าค่อยๆเบียดกัน สาวใจกล้าบางรายถูกความหล่อเหลาของฉู่ถางกระแทกใจอย่างแรง พวกเธอพยายามที่จะขยับเข้าไปใกล้ๆ และเรียกร้องความสนใจจากเขา บางรายถึงกับเดินตรงไปขอเบอร์โทรศัพท์ หรือทุกๆช่องทางที่จะสามารถติดต่อเขาได้
ใบหน้าที่เคยสงบราบเรียบของฉู่ถางเริ่มส่อแววรำคาญ อารมณ์ของเขาอึมครึมราวกับเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้า เห็นเขาเป็นเช่นนั้นฉีเซิงก็อดที่จะยินดีไม่ได้ ‘อุวะฮ่าๆ เป็นไงล่ะ พ่อสุดหล่อนายสำนึกแล้วใช่ไหม!’
[ ระบบขอแจ้งเตือนโอสต์ด้วยความปรารถนาดี : ฉู่ถางคือเป้าหมายภารกิจของคุณ]
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจของเธอหยุดชะงักโดยฉับพลันด้วยเสียงเย็นเฉียบของระบบ เธอลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะเดินแทรกเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างฉู่ถางกับบรรดาสาวใจกล้าทั้งหลาย เธอยืนตระหง่านราวกับจะเป็นปราการช่วยขวางกั้นเขาออกจากสายตาหิวกระหายของพวกเธอ
“เฮ้! เธอน่ะ! เข้าใจไหมว่ามาก่อนได้ก่อน? ไปต่อแถวข้างหลังโน้นไป๊ อย่ามาบังอาหารตาของพวกเรา!” ใครบางคนตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ และบางคนพยายามยื้อยุดฉีเซิงออกไป
“ปล่อย!!” ฉีเซิงจ้องหน้าเด็กสาวที่กำลังดึงแขนของเธอ เมื่อเจอสายตาอันคมกริบและเย็นชา มือของเด็กสาวคนนั้นก็ค่อยๆคลายออกจากแขนของฉีเซิงโดยที่ไม่รู้ตัว
ฉีเซิงค่อยๆจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี้จากการฉุดกระชากให้เข้าที่อย่างช้าๆ น้ำเสียงที่เธอเอ่ยขึ้นไม่ได้ดังหรือเบาจนเกินไป มันเพียงพอที่จะทำให้สาวๆที่ยืนอยู่รอบๆได้ยิน “ผู้ชายคนนี้เป็นของฉัน! พวกเธอทำได้แค่มอง แต่ห้ามลูบคลำ เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม? ถือว่าเข้าใจตรงกันน่ะ?”
โดยส่วนส่วนมากคนที่มาใช้บริการขนส่งสาธารณะ ไม่ได้เป็นคนที่มีฐานะนัก แต่คนที่ประกาศกร้าวต่อหน้าพวกเธอกลับสวมของแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรด และเมื่อพิจารณาชายหนุ่มที่เป็นต้นเหตุ แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เป็นยี่ห้ออะไร แต่ถ้ามองด้วยตาเปล่าแล้วคงไม่น่าจะใช่ของราคาถูกเช่นกัน ยิ่งรวมกับหน้าตาที่หล่อเหลาและท่าทางอันสูงส่งที่แผ่ออกมาจากตัวเขาแล้ว ย่อมคาดเดาได้ว่าชายคนนี้ อาจจะเป็นคุณชายของตระกูลร่ำรวยที่ไหนสักแห่งแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นผู้หญิงรอบๆตัวฉู่ถางจึงสำรวมกริยามากขึ้น แต่ก็แค่กริยาท่าทางเท่านั้น เพราะสายตาของพวกเธอยังคงจ้องเขาอย่างหื่นกระหายเช่นเดิม
‘ถ้าหากว่าคนเราถูกข่มขืนทางสายตาได้ ป่านนี้ฉู่ถางคงถูกข่มขืนไปนับครั้งไม่ถ้วน!’
แม้ว่าฉีเซิงจะหันหลังให้กับฉู่ถาง และมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่ค่อยข้างจะเบิกบาน ฉีเซิงกรอกตามองบน ‘เฮ้อ! แค่จะจีบผู้ชายสักคนทำไมมันช่างลำบากลำบนขนาดนี้?!’