บทที่ 176 สถานะที่แท้จริงของซูรั่วเสวี่ย
เมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่ทั้งยิ่งใหญ่และงดงามสมดั่งชื่อ ในตอนที่เจียงอี้เดินทางมาถึงนั้น เขาอยู่ในสภาวะเหนื่อยล้าและหิวโหยจึงทำให้ไม่ได้สนใจวิวทิวทัศน์มากนัก
แต่ในตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในรถม้ากับซูรั่วเสวี่ยและสามารถชื่นชมทัศนียภาพได้อย่างถนัดตา
พื้นถนนกว้างขวางไม่แออัด บ้านช่องเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ มีแม้กระทั่งต้นหลิวที่ทอดยาวออกไปตามท้องถนนและโชยกลิ่นหอมออกมาอยู่เนืองๆ เรียกได้ว่าสภาพแวดล้อมในตอนนี้ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
รองเจ้าสำนักฉีเกลี้ยกล่อมซูรั่วเสวี่ยได้สำเร็จ พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่บนรถม้าซึ่งกำลังมุ่งตรงไปยังพระราชวังที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ แต่เป็นเพราะว่ามันคือที่พำนักขององค์รัชทายาททำให้ต้องใช้เส้นทางที่ต่างออกไป
รถม้าที่ถูกจัดโดยผู้อาวุโสเหิงถูกตกแต่งอย่างหรูหราและสะดวกสบาย ภายในนั้นยังมีชาและผลไม้เลิศรสคอยให้บริการ น่าเสียดายที่ไม่มีสุราและเนื้อสัตว์ทำให้เจียงอี้ละความสนใจจากมันอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปที่ซูรั่วเสวี่ยซึ่งกำลังมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ซูรั่วเสวี่ย นี่ก็แค่การไปเข้าร่วมงานเลี้ยงธรรมดาๆไม่ใช่รึ? ทำไมเจ้าถึงดูวิตกขนาดนั้น?”
ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยกระตุกเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นและหันมองไปนอกหน้าต่าง นางยังคงนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญบางอย่างก่อนที่จะเอ่ยปาก
“เจียงอี้”
“เมื่อไปถึงที่พำนักขององค์รัชทายาทแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่นั่น เจ้าจะต้องอดทนไว้นะ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ยังเป็นชาวเสินหวู่ หากเจ้าเผลอไปยั่วยุผู้มีอิทธิพลที่อยู่ภายในนั้น มันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตเจ้า!”
“หึหึ”
เจียงอี้หัวเราะและกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่พวกมันไม่ยั่วยุข้าก่อน ข้าก็จะไม่ยุ่งกับพวกมัน”
“ฮึ่ม!”
ซูรั่วเสวี่ยเค้นเสียงด้วยความไม่พอใจและเบือนหน้าหนี แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาของนางก็ยังเผยให้เห็นความกังวล
โรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้นตั้งอยู่ใจกลางของเมืองหลวงและอยู่ไม่ไกลจากที่พำนักขององค์รัชทายาทมากนัก ใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งชั่วโมงบนรถม้า ในที่สุดก็ได้มาถึงที่ด้านหน้าพระราชวังหลังงามแห่งหนึ่ง
เมื่อเจียงอี้ก้าวเท้าลงมา เขาก็เงยหน้ามองกำแพงวังที่สูงตระหง่านซึ่งถูกตกแต่งด้วยรูปปั้นสิงโตขนาดยักษ์ ประตูทางเข้ามีขนาดใหญ่โตและถูกชโลมด้วยสีแดง
แม้แต่เจียงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม หากภายนอกยังถูกตกแต่งจนน่าเกรงขามขนาดนี้ แล้วภายในนั้นจะหรูหราขนาดไหน?
ผู้อาวุโสเหิงรีบจัดแจงสิ่งต่างๆให้เรียบร้อยและบอกให้คนติดตามไปแจ้งต่อคนขององค์รัชทายาทว่าพวกเขาเดินทางมาถึงแล้ว
ไม่นานนัก ผู้บัญชาการที่สวมชุดเกราะสีเหลืองของกองทัพหลวงก็เดินออกมาและกล่าวทักทายพร้อมกับประสานมือ “พวกท่านคงจะเป็นแม่นางซูและนายน้อยเจียง?”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองพยักหน้า ผู้บัญชาการผู้นั้นก็รีบนำพวกเขาเข้าไปด้านใน
ตลอดทั้งทางเดิน เจียงอี้ก็สำรวจทิวทัศน์รอบๆด้วยความสนใจ มีทั้งศาลากลางน้ำ สวนหย่อมที่มีบ่อน้ำเล็กๆอยู่ภายใน… สมแล้วที่เป็นถึงที่พำนักขององค์รัชทายาทผู้สูงส่ง
แต่ตรงข้ามกับซูรั่วเสวี่ยที่ดูเงียบขรึมยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าจะถูกผ้าคลุมหน้าปกปิดใบหน้าอันงดงามไว้ แต่ดวงตาของนางก็เผยให้เห็นความเย็นชาและไม่แม้แต่จะมองทิวทัศน์รอบข้าง
ด้านหลังของพวกเขาเป็นสาวใช้สองคนที่คอยเดิมตาม หลังจากที่ผ่านไปสิบหน้านาที ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงพระราชวัง จากนั้นผู้บัญชาการคนดังกล่าวก็ผายมือเป็นลักษณะเชื้อเชิญและป่าวประกาศ
“แม่นางซูและนายน้อยเจียงเดินทางมาถึงแล้ว!”
ควับ! ควับ! ควับ!
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนหันมามอง สายตาส่วนใหญ่เป็นประกายเมื่อมองมายังร่างของซูรั่วเสวี่ย แต่ก็มีไม่น้อยที่แสดงความงุนงงออกมาเมื่อพวกเขามองมาที่เจียงอี้
ช่างเป็นพระราชวังที่โออ่าหรูหราเสียจริง!
หลังจากที่เจียงอี้ก้าวเท้าเข้ามาในพระราชวัง เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เมื่อลองวัดด้วยสายตาแล้ว เขาก็พบว่าสถานที่แห่งนี้มีรัศมีกว้างถึงเจ็ดร้อยเมตร
หันไปทางซุ้มประตูขนาดใหญ่มีเวทีสีทองม่วงตั้งอยู่ ผู้ที่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังของเวทีคือเด็กหนุ่มผู้ซึ่งสวมสุดอย่างเป็นทางการ
ทั้งสองด้านของเวทีมีโต๊ะยาวสีทองตั้งเรียงกันอยู่พร้อมกับผู้คนจำนวนมากที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส ด้วยการกวาดตามองเพียงครั้งเดียวก็สามารถเห็นได้ว่ามีไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคน
นอกจากนี้ยังมีประตูขนาดเล็กอยู่ห่างออกไปไม่ไกลซึ่งมีไว้ให้คนรับใช้เดินเข้า-ออก บนโต๊ะถูกวางเรียงรายไว้ด้วยอาหารอันเลิศรสและมีบริกรคอยให้บริการ
พื้นของพระราชวังถูกปูด้วยพรมสีขาว ทางด้านของผนังก็ถูกตกแต่งด้วยอัญมณีที่ส่องแสงระยิบระยับ ในแต่ละมุมของพระราชวังมีไม้จันทน์วางอยู่ซึ่งทำหน้าที่ส่งกลิ่นหอมและทำให้แขกในงานเกิดความผ่อนคลาย
“นั่นคือองค์รัชทายาท?”
สายตาของเจียงอี้ถูกดึงดูดโดยชายที่สวมชุดอย่างเป็นทางการ เขาต้องยอมรับว่าชายผู้นี้มีภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจยิ่งนัก
เมื่อก่อนในตอนที่เจียงอี้ยังเป็นเด็ก ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการได้พบเจ้าเมืองจีเทียน แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้พบกับองค์รัชทายาทของอาณาจักรเสินหวู่ตัวเป็นๆ
แต่แน่นอนว่าทัศนคติของเขาในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่นานนักเจียงอี้ก็ถอนสายตากลับมาและกวาดมองแขกทุกคนที่อยู่ในงานซึ่งทำให้เขาพบใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย
บนโต๊ะสีทองที่อยู่ด้านซ้ายมีคนที่เขารู้จักอยู่ เช่น จ่างซุนอู๋จี้, จ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและเหล่าคุณชายที่มีสถานะที่ไม่ธรรมดา
หากให้เดาพวกเขาคงจะเป็นคุณชายใหญ่จากตระกูลหลง, ตระกูลอิงหรือไม่ก็ตระกูลไท่สื่อ มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่มีคุณสมบัติที่จะได้นั่งอยู่ในแถวแรก
นอกจากพวกเขาแล้ว เจียงอี้ก็ยังเห็นอิงชา, หลงเซี่ยงและคนอื่นๆซึ่งกำลังนั่งอยู่ในแถวที่สอง
แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นจ่างซุนอู๋จี้ที่เผยรอยยิ้มจางๆออกมา เขาก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง
ในตอนนั้นเอง องค์รัชทายาทก็มองตรงมาที่เขาด้วยสายตาอันเย็นชา แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยววิ แต่เจียงอี้ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากดวงตาคู่นั้น
บนที่นั่งลำดับที่สองเป็นหญิงสาวผู้งดงามซึ่งสวมชุดสามสีและมีมงกุฎหยกอยู่บนศีรษะ นางมีความงามที่อยู่ในระดับเดียวกับซูรั่วเสวี่ยอีกทั้งยังมีกลิ่นอายที่สูงส่ง ดูเหมือนว่านางน่าจะเป็นองค์หญิงสักองค์ของอาณาจักรเสินหวู่
ในที่นั่งลำดับต่อๆมาคือหยุนเฟย, เสินอิง, อาหนีและบรรดาคนที่เคยเห็นค่าตา
“พวกเขาคือเหล่านายน้อยและคุณหนูของเมืองหลวงสินะ? ช่างมีรัศมีที่ไม่ธรรมดากันเสียจริง!”
เจียงอี้กล่าวกับตัวเองในใจ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นร่างของสุ่ยเชียนโหรว ไม่ใช่ว่าเฉียนว่านก้วนบอกว่านางอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้หรอกหรือ? หรือว่านังผู้หญิงบ้าคนนั้นจะกลับไปยังเกาะดาวตกแล้ว?
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังพึมพำกับตัวเองอยู่นั้น องค์รัชทายาทผู้ซึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้กำลังเดินมาต้อนรับพวกเขาเป็นการส่วนตัว แต่ดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ซูรั่วเสวี่ยเท่านั้น
“รั่วเสวี่ย กว่าเจ้าจะยอมมาได้ อู๋หุ่ยต้องส่งคำเชิญไปถึงเจ้าตั้งสามครั้งและยังต้องรบกวนรองเจ้าสำนักฉี หรือว่าเจ้ากำลังดูถูกเราอยู่?”
“รั่วเสวี่ย?”
ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลง แม้แต่ทางจ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เซี่ยอู๋หุ่ยเรียกขานซูรั่วเสวี่ยอย่างสนิทสนม หรือว่าพวกเขาจะรู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว?
แต่ซูรั่วเสวี่ยอยู่ในสำนักจิตอสูรตลอด มันจะเป็นไปได้ยังไงที่นางรู้จักเซี่ยอู๋หุ่ยที่อยู่ในสำนักมังกรเวหา?
นางพยักหน้าเล็กน้อยและตอบเสียงเบา “ฝ่าบาท รั่วเสวี่ยเพียงแค่เหนื่อยล้าจากการเดินทางและรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ข้าไม่ได้มีความคิดเป็นอื่น”
“หืม?”
เจียงอี้และคนอื่นๆตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อถูกเรียกขานอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ ไม่เพียงซูรั่วเสวี่ยจะไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่นางยังเอ่ยตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็เป็นความผิดของเราเอง ต้องขออภัยด้วย ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ทำไมไม่นั่งก่อนล่ะ!”
เซี่ยอู๋หุ่ยมีหน้าตาที่หล่อเหล่าและมีท่าทีที่สง่างามสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ หลังจากที่เขาพูดคุยกับซูรั่วเสวี่ยเล็กน้อย เขาก็หันไปมองแขกคนอื่นและกล่าว
“ข้าเชื่อว่าคงไม่ใช่ทุกท่านที่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่? แม่นางรั่วเสวี่ย แท้จริงแล้วเป็นถึงองค์หญิงเก้าแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยและยังเป็นคู่หมั้นของเรา,เซี่ยอู๋หุ่ย!”
“เมื่อราวๆหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เสด็จพ่อของข้าและองค์ราชาแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยได้ตกลงจัดพิธีหมั้นขึ้นมา และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เรากับองค์หญิงรั่วเสวี่ยได้มาเจอกัน!”
“โอ้โห!”
“จริงหรือเนี่ย?!”
ทันใดนั้นเองความโกลาหลก็ปะทุขึ้นภายในห้องโถง ในเวลานี้หัวใจของเจียงอี้ราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างของเขาสั่นสะท้านพร้อมทั้งสีหน้าที่ซีดขาวราวกับหิมะ