บทที่ 175 ข้าอยู่ใกล้ๆ ใครแตะต้องเจ้าไม่ได้
"ข้าจะไม่ไป แม้พวกเจ้าต้องการให้ข้าไป! ไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาท ข้าก็จะไม่ไปแม้ว่านั่นจะเป็นองค์ราชาที่ส่งพระราชโองการลงมา! ข้าไม่ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรเสินหวู่ พระราชโองการขององค์รัชทายาทไม่สามารถบังคับข้าได้"
เมื่อซูรั่วเสวี่ยรู้ถึงพระราชโองการ ใบหน้าอันมีเสน่ห์ของนางก็เย็นยะเยือก นางปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงต่างก็ยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อนางพูดเช่นนั้น ซูรั่วเสวี่ยก็พูดถูกต้อง พระราชโองการแห่งอาณาจักรเสินหวู่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับนางเลย การใช้เวลาไปยังเมืองหลวงของจักรวรรดิและพบกับองค์รัชทายาทอาณาจักรอื่นๆ หากพวกเขาจะมอบพระราชโองการแก่เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวง พวกมันก็ถือเป็นกระดาษศักดิ์สิทธิ์แผ่นหนึ่ง
ปัญหาคือเซี่ยอู๋หุ่ยไม่ได้ส่งพระราชโองการให้ซูรั่วเสวี่ย แต่เป็นจ้านอู๋ซวง!
ตระกูลจ้านอาจเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูง แต่พวกเขายังคงอยู่ในอาณาจักร ความเฉลียวฉลาดและนิสัยขององค์ชายผู้นี้ช่างยอดเยี่ยม ในสายตาของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วน เขาจะต้องเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปและนายเหนือหัวของพวกเขา
เมื่อเจ้านายออกคำสั่ง ข้ารับใช้จะไม่ทำมันด้วยใจจริงหรือ? หากพวกเขาบาดหมางกับเซี่ยอู๋หุ่ย เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงก็จะได้รับผลกระทบในอนาคตอย่างแน่นอน
จ้านอู๋ซวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเขียนจดหมายให้รองเจ้าสำนักฉีเป็นการส่วนตัวและพยายามเกลี้ยกล่อมนาง เขาพูดถึงด้านดีขององค์รัชทายาทและสิ่งต่างๆทุกอย่างและขอให้นางไปร่วมงาน ซึ่งนางสามารถออกจากงานเลี้ยงกลางคันได้
ความมุ่งมั่นของซูรั่วเสวี่ยนั้นเหมือนเหล็กกล้าและไม่สั่นคลอนซึ่งเกือบทำให้คิ้วของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนลุกเป็นไฟ บางทีพวกเขาสามารถนำศิษย์คนอื่นๆไปร่วมงานเลี้ยงขององค์รัชทายาทและแจ้งให้เขาทราบว่าซูรั่วเสวี่ยเหนื่อยจากการเดินทางมาไกลและรู้สึกไม่สบาย องค์รัชทายาทคงจดจำความแค้นคราวนี้และอาจปล่อยโทสะใส่พวกเขาทั้งสองในภายหลัง
หลังจากเกลี้ยกล่อมมาตลอดทั้งช่วงบ่าย พวกเขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว พวกเขาไปแจ้งให้ศิษย์และอาจารย์คนอื่นๆทราบ ทุกคนไม่ได้พูดสิ่งใดมากนักโดยเฉพาะหยุนเฟยที่ยินยอมในทันที สิ่งนี้ทำให้จ้านอู๋ซวงซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธ พากันหดหู่มากขึ้น
ในตอนค่ำ เจียงอี้ยังคงหลับสนิท และซูรั่วเสวี่ยปฏิเสธที่จะไปอย่างดื้อรั้น เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงทำได้เพียงพาอาจารย์และศิษย์ของสำนักไปร่วมงานเลี้ยงอย่างหมดหนทาง
หลังจากซูรั่วเสวี่ยออกไปจากตรงนั้น นางรู้สึกเบื่อที่จะนั่งอยู่คนเดียว นางหยุดครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าไปในห้องของเจียงอี้ เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่ผอมซูบและน่าเวทนา นางมีสายตาที่ปวดร้าว ในช่วงบ่ายมีคนมากเกินไปและนางไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกของนาง แต่ตอนนี้มีเพียงเจียงอี้เท่านั้น มันยากสำหรับนางที่จะควบคุมอารมณ์ที่ซ่อนไว้ได้
"หืม?"
หลังจากนั่งในห้องอยู่ครู่หนึ่ง จมูกของนางก็กระตุกเล็กน้อยขณะที่นางขมวดคิ้วนางได้กลิ่นที่มาจากเรือนร่างของเจียงอี้ หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดนางก็ทนไม่ได้และขอให้สาวใช้นำน้ำอุ่นใส่ถังมาให้ นางเดินเข้าไปในห้องเพื่อเช็ดตัวเจียงอี้ด้วยตัวเอง
นางยังเป็นสาวพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ผ่านเรื่องเหล่านั้น เมื่อนางถอดชุดคลุมของเจียงอี้ออกจนเหลือเพียงกางเกงในเท่านั้น นางเห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและใบหน้าที่หลับสนิท นางรู้สึกอายและทนไม่ได้ในทันใด ร่างกายของนางก็เดือดพล่าน นางเบือนหน้าหนีและไม่กล้ามองต่อ
เจียงอี้น้ำหนักลดไปกว่าห้ากิโลกรัม แต่กล้ามเนื้อในร่างกายของเขายังเป็นมัด เขาอาจมีเครา แต่มันก็ทำให้เสน่ห์ความเป็นลูกผู้ชายของเขาโดดเด่นยิ่งขึ้น หลังจากซูรั่วเสวี่ยเช็ดไปครู่หนึ่ง นางก็อดไม่ได้ที่จะหันมามอง ท่าทางของนางเหมือนผู้หญิงที่ขี้อายแต่นั่นก็มีเสน่ห์มาก
"เอ่อ?"
เจียงอี้ผู้ซึ่งกำลังหลับอย่างสนิทจู่ๆก็ขยับร่างกายของเขาทำให้ซูรั่วเสวี่ยตกใจและทำให้ร่างกายที่บอบบางของนางสั่นเทา นางหันหน้าหนีอย่างรวดเร็วและไม่กล้ามอง เมื่อเจียงอี้ขยับตัว มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่นางจะเช็ดตัวเขา ซูรั่วเสวี่ยปิดตาของนางและเช็ดหลังของเขาเบาๆ
ใครจะคิดกัน...?
ขณะที่นางเช็ดหลังของเจียงอี้ เขาก็พลิกตัวกลับทันที มือของซูรั่วเสวี่ยซึ่งยังคงเช็ดตัวเขาอยู่ โดยที่ไม่ได้มอง นางจึงเช็ดใบหน้าเขาหลายครั้ง ทำให้เจียงอี้ตื่นขึ้นมา
"หือ?"
เจียงอี้ตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงงและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขา…พร้อมกับเสื้อคลุมที่ถูกถอดออก เขาลุกขึ้นนั่งและรีบคว้าผ้าห่มเพื่อปกปิดร่างกายของเขาในขณะที่อุทานว่า "เจ้า เจ้าเป็นใคร? เจ้าพยายามจะทำอะไร?"
ซูรั่วเสวี่ยหันกลับมาและเห็นเจียงอี้ในสภาพนั้น ใบหน้าของนางลุกไหม้เหมือนไฟด้วยความรู้สึกอับอายและโกรธ นางโยนผ้าไปที่เจียงอี้และพูดในขณะที่โมโห "ข้าจะทำอะไรได้? ข้าข่มขืนเจ้ารึไงกัน?"
เจียงอี้เอื้อมมือไปหยิบเสื้อผ้าและตื่นอย่างสมบูรณ์ เขายิ้มและพูดว่า "ใครใช้ให้ผู้หญิงโง่ๆถอดเสื้อผ้าของข้า? และยังเช็ดหน้าข้าด้วยน้ำเย็นๆพวกนี้ ข้าจะไม่ตกใจได้ยังไง?”
คำว่า 'ผู้หญิงโง่' ทำให้การแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนเป็นความเคอะเขินอย่างช้าๆ
ทั้งคู่ต่างก็นึกถึงความทรงจำตอนที่พวกเขากำลังข้ามผ่านหุบเขาเมฆาทมิฬและอยู่บนหลังของหมาป่าจันทราสีเงิน ซูรั่วเสวี่ยเป็นคนขี้อายมากจนนางไม่กล้าที่จะลืมตา ราวกับว่านางจำบางสิ่งได้ แล้วนางก็หันหน้าหนีทันทีและมีสีหน้าเย็นยะเยือกทันที
"เฮ้อ ..."
เจียงอี้นึกถึงช่วงเวลาที่ซูรั่วเสวี่ยกลับมาที่สำนักและไม่ค่อยได้มาเยี่ยมเขา แม้แต่ตอนที่เขาไปส่งจ้านอู๋ซวงเขาก็มองนาง แต่นางไม่แม้แต่จะสบตา เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาห่อเหี่ยวในทันที
เขาไม่รู้ว่าทำไมซูรั่วเสวี่ยทำตัวเช่นนี้ นางปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาก่อนหน้านี้และเอ็นดูเขาในอีกเวลาหนึ่ง แต่เขาเข้าใจซูรั่วเสวี่ย นางอาจดูเหมือนจะไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่มันก็เป็นเพียงหน้ากากของนางเท่านั้น ใจจริงแล้ว นางเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและจิตใจดีที่คุ้มค่าที่จะได้รับการปกป้องจากชายทุกคนตลอดชีวิตของนาง
พวกเขาสองคนยังคงเงียบงัน ห้องพักไม่มีบรรยากาศที่มีความเขินอายอีกต่อไปและเหลือเพียงความอึดอัดใจเท่านั้น
เจียงอี้ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้ เขาพึมพำและพูดขึ้นมาทันใดว่า "ท้องฟ้ามืดแล้วหรือ? ข้ายังหิวอยู่เลย ห้องน้ำอยู่ที่ไหน? ช่วยหาอะไรให้ข้ากินในตอนที่ไปชำระร่างกายตัวเองหน่อย"
"โอ้."
ซูรั่วเสวี่ยผละความคิดของนางออกและช่วยให้เจียงอี้ลุกขึ้น นางขอให้สาวใช้จัดเตรียมห้องอาบน้ำของเจียงอี้และนำสาวใช้อีกคนไปนำเสื้อคลุมที่เฉียนว่านก้วนจัดไว้ให้ในบ่ายวันนี้ จากนั้นนางก็ไปที่แผนกต้อนรับเพื่อสั่งอาหารให้เจียงอี้และขอให้พวกเขานำมันมาที่นี่
นางนั่งอยู่ที่ห้องโถง ซูรั่วเสวี่ยมีความลังเลใจและมีหลายครั้งที่นางต้องการที่จะยืนขึ้นและกลับไปที่ห้องของนาง ดูเหมือนนางจะกลัวที่จะอยู่กันสองต่อสองกับเจียงอี้และเห็นหน้าเขาด้วยดวงตาที่ใสซื่อและบริสุทธิ์ นางรู้สึกว่านางไม่มีทางที่จะตีหน้าขรึมต่อหน้าเขาได้และนางจะเปิดเผยธรรมชาติที่แท้จริงของนางออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ซูรั่วเสวี่ย เจ้ากำลังเล่นกับไฟและไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ได้ เจ้าเป็นอาจารย์และเขาเป็นศิษย์ เจ้าอายุห่างกับเขาตั้งห้าปีและเจ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เจ้าเป็นคนไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร?” ซูรั่วเสวี่ยพึมพำเงียบๆ แต่นางก็ยังไม่สามารถบังคับให้ตัวเองลุกออกไปได้
ตึกๆๆๆ!
ในขณะนั้น เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากด้านนอกและได้ยินอย่างชัดเจนว่าเป็นบุคคลสองคน ซูรั่วเสวี่ยเกิดความสงสัยขณะที่เธอออกไปดู ทุกคนจากสำนักได้เข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว จะเป็นไปได้ไหมที่เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงจะกลับมาอย่างรวดเร็ว?
"เอ๊ะ? รองเจ้าสำนักฉี!"
เมื่อซูรั่วเสวี่ยเห็นคนที่กำลังใกล้เข้ามา นางก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น รองเจ้าสำนักฉีอยู่ในพระราชวังไม่ใช่หรือ? ทำไมนางถึงกลับมา? "
"สาวใช้!"
ก่อนที่รองเจ้าสำนักฉีจะเข้ามา นางยิ้มอย่างขมขื่นอยู่ที่ทางเข้า "เจ้ามีศักดิ์ศรีเช่นนั้นเชียวรึ ฮะ? องค์รัชทายาทเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงและเจ้าไม่ไปเข้าร่วมหรือ? เจ้าทำให้หญิงชราคนนี้ต้องมาด้วยตัวเอง เจ้าจะทำมันเพื่อข้าใช่ไหม?"
"ฮะ…"
ซูรั่วเสวี่ยลังเล นางจำได้ว่ารองเจ้าสำนักฉีเคยเป็นพลเมืองของอาณาจักรเสินหวู่และเกี่ยวข้องกับตระกูลของราชวงศ์ เมื่อนางมาที่นี่เป็นการส่วนตัว แม้ซุรั่วเสวี่ยจะไม่สนใจองค์รัชทายาทนั่น แต่นางก็ยังคงต้องให้ความสำคัญกับรองเจ้าสำนักฉี!
"พุทโธ่!"
ประตูห้องข้างๆเปิดขึ้นโดยบังเอิญ เจียงอี้แต่งตัวเรียบร้อยในขณะที่เขาเดินออกมา หนวดเคราของเขาสะอาดหมดจดและเขาดูมีชีวิตชีวาด้วยเสื้อคลุมปักนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าที่ผอมบางซึ่งถูกโกนหนวดออกหมดแล้วทำให้ซูรั่วเสวี่ยจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า
"มีอาหารมื้อใหญ่ให้กินไหม?"
เจียงอี้ดูเหมือนจะได้ยินรองเจ้าสำนักฉี เมื่อเขาเห็นสีหน้าของซูรั่วเสวี่ยซึ่งกำลังอ้ำอึ้ง เขายิ้มและพูดว่า "ไปกันเถอะ! อาจารย์ซู ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ใกล้ๆ จะไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้"
ซูรั่วเสวี่ยอึ้งไปอีกครั้ง นางมองที่เจียงอี้แล้วมองรองเจ้าสำนักฉี นางกัดฟันแล้วตอบว่า "เอาล่ะ เช่นนั้นก็ไปเถอะ!"