ตอนที่ 49 แผนใหม่!
เสวี่ยอิ่งนำพากลุ่มที่ยังเหม่อไม่หายมายังพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เป็นดั่งฝันร้ายของพวกเขา
ที่แตกต่างคือในครานี้ไม่มีใครบ่นสักคน ใบหน้าพวกเขาล้วนมีร่องรอยคาดหวัง
“ในระยะเวลาหนึ่งเดือน สิ่งแรกที่พวกเจ้าต้องทำคือยกระดับพลังกาย ผู้หญิงจะฝึกเทียบเท่ากับผู้ชาย และผู้ชายจะต้องฝึกเยี่ยงสัตว์ ใครที่ทนไม่ได้สามารถถอนตัวออกจากการฝึกนี้และข้าจะไม่ดูถูกเหยียดหยามพวกเจ้า”
เสวี่ยอิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอย่างมากขณะกล่าว แต่ไม่มีใครในหมู่สิบหกคนตอบนางสักคน
“ในเมื่อไม่มีใครถอนตัว งั้นก็เริ่มเถอะ”
เสวี่ยอิ่งสูดหายใจเข้าลึก อาจารย์ประจำห้องแสนร้ายปรากฎตัวขึ้นอีกครา!
“ภายในหนึ่งชั่วโมง พวกเจ้าทั้งหมดต้องวิ่งสองรอบ โดยห้ามมีผู้ใดวิ่งรั้งท้าย! เริ่มได้!”
เมื่อนางกล่าวจบ ทุกคนที่ตอนแรกได้เตรียมใจไว้แต่แรกพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ความรู้สึกนี้อยู่ไม่นานก็จางหายไป
‘แค่สองรอบเท่านั้น ยังดีกว่าเมื่อวาน!’
ทั้งสิบหกปลอบใจตนเองเช่นนี้ก่อนจะเริ่มออกตัววิ่ง
ขาทั้งสองของพวกเขาต่างก็เมื่อยจนขยับแทบไม่ได้ ใช้เพียงพลังใจก้าวทีละก้าว ไม่มีใครส่งเสียงบ่นเช่นวันก่อน ทุกคนตั้งมั่นกัดฟันวิ่งต่อไปเพราะครั้งนี้พวกเขามีเป้าหมายที่ต้องบรรลุ!
หนึ่งชั่วโมงเป็นเวลาอันสั้นสำหรับคนส่วนมาก แต่สำหรับศิษย์นักเรียนห้องคนเถื่อนแล้ว ชั่วโมงนี้ช่างทรมานเหลือคณานับ
เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนเปียกชื้นแนบกาย เมื่อพวกเขาวิ่งครบสองรอบความรู้สึกปลื้มปีติที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนพลันท่วมท้มเข้ามาในใจ
“ขีดจำกัดไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของพวกเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเมื่อเจ้าทำลายขีดจำกัดของตัวเองได้เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาอีกนิด”
เสียงไร้อารมณ์ของเสวี่ยอิ่งดังใส่ศิษย์ทุกคนที่กำลังหอบหายใจหนักอยู่
“พักห้านาทีหลังจากนั้นวิ่งอีกรอบ! วิ่งให้เสร็จภายในสี่สิบนาที!”
สิ่งที่นางเอ่ยในตอนแรกเป็นเพียงคำตักเตือนล่วงหน้า ส่วนหลังต่างหากที่สำคัญที่สุด และเป็นคำพวกนี้เองที่ทำให้หลายคนเข้าใจว่ายารักษาแผลใจมีค่าเพียงใด...
เทียบกับชั่วโมงก่อน ห้านาทีนี้ช่างพ้นผ่านไปไวเหลือเกิน โมข่าถึงกับรู้สึกว่าเขายังไม่ทันได้พักก็ต้องออกวิ่งต่ออีกแล้ว...
“หวู่จื๋อ สือขุย สือเฉิน พวกเราทั้งสี่จะวิ่งข้างหลัง ฉิงหนาน จู๋ซือซือ หวังหาง ชีเว่ย พวกเจ้าวิ่งข้างหน้า คนที่เหลือวิ่งตรงกลาง คอยช่วยเหลือคนข้างหน้า!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยจัดแจงตำแหน่งของทุกคนตามพลังกาย การวิ่งเป็นสิ่งที่ง่าย แต่สำหรับพวกเขาแล้ว มันราวกับเป็นการต่อสู้เดิมพันชีวิตที่พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจริงจัง
ทุกคนทำตามที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยทันทีโดยไม่รีรอ และกลุ่มประหลาดสี่แถว แถวละสี่คนก็ออกตัววิ่งรอบจัตุรัสอีกครา
ทุกครั้งที่มีคนไปต่อไม่ไหว คนข้างหลังทั้งสี่จะช่วยพยุงจนกว่าคนผู้นั้นจะไล่ตามกลุ่มทัน เมื่อเกือบครบรอบ กลุ่มของป๋ายเสี่ยวเฟยช่วยพยุงไปแล้วคนละสองคน
ท้ายที่สุดพวกเขาก็วิ่งครบรอบพร้อมกันทั้งกลุ่มก่อนเวลาจะหมด
ยามนี้พลังกายของพวกเขาหมดสิ้นไม่หลงเหลือ ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ไม่หอบหายใจหนักหน่วง
“พักห้านาที พวกเราจะเคลื่อนย้ายไปที่อื่น”
เสวี่ยอิ่งประดุจไม่สังเกตเห็นสภาพของทุกคน เสียงเย็นชาไม่แฝงความสงสารแม้แต่น้อยราวกับนางได้เปลี่ยนเป็นคนละคน
อีกห้านาทีผ่านไปในชั่วพริบตา ทั้งกลุ่มไม่มีแรงเหลือแม้แต่จะคิด พวกเขาเพียงเดินตามหลังเสวี่ยอิ่ง
โชคดีที่เสวี่ยอิ่งไม่ได้พาพวกเขาไปยังสถานที่ไว้ฝึก นางนำทางพวกเขาไปยังบริเวณค้าขายยาที่มีเตาหลอมกฤษณาตั้งอยู่ ที่นี่ยังเป็นที่ค้าขายแห่งเดียวในสถาบันที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านซื้อขาย
“เถ้าแก่ พวกเรามาซื้อยา”
เสวี่ยอิ่งหยิบตราหยกพลางเอ่ย หินชิงหลัวที่นางริบมาจากพวกป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นกองทุนหลักในการซื้อครั้งนี้
จากนั้นเสวี่ยอิ่งเอ่ยชื่อยาวเหยียดของส่วนผสมยา และจำนวนที่นางสั่งซื้อเยอะเสียจนน่าหวาดเกรง
ทั้งกลุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มีเพียงเถ้าแก่ที่ยิ้มแย้มแก้มแทบปริยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งกระตือรือร้น
เมื่อยามที่เสวี่ยอิ่งพาพวกเขาออกจากร้าน สินค้าเกือบครึ่งถูกกว้านซื้อมา นางยังสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าของรายการทั้งหมดที่นางเพิ่งซื้อไปด้วย
ด้วยเหตุนี้ จำนวนหินชิงหลัวในตราหยกจึงกลายเป็นศูนย์...
“จากวันนี้ไป พวกเจ้าไม่อาจใช้งานสิ่งของจำพวกแหวนมิติ แต่หุ่นเชิดยังใช้ได้”
เสวี่ยอิ่งราดน้ำเย็นสาดป๋ายเสี่ยวเฟยและฟางเย่เมื่อพวกเขากำลังจะเก็บส่วนผสมยาทั้งหมดเข้าไปในแหวนมิติ
“พวกเราใช้เพียงสองมือ...”
“แบกของพวกนี้ไป!?”
ต้าหมิงและเสี่ยวหมิงเปิดใช้งานทักษะต่อประโยคของพวกเขาพลางเผยสีหน้าตื่นตระหนก
“เจ้าวางไว้บนหัวได้เช่นกัน แค่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเจ้าก็พอ”
เสวี่ยอิ่งนิ่งเงียบกวาดตามองทุกคนที่มีใบหน้าไม่สู้ดีนัก เป็นหวู่จื๋อที่ทำลายความน่าอึดอัดนี้โดยก้าวออกมาข้างหน้าหยิบส่วนผสมยาชิ้นแล้วชิ้นเล่า
โชคดีที่เถ้าแก่จากร้านขายยาให้เชือกมามากพอ นอกจากถือด้วยมือแล้วพวกเขายังผูกมัดสิ่งของไว้บนหลังได้ด้วย
ด้วยการมีหวู่จื๋อเป็นแบบอย่าง ทั้งกลุ่มก้าวเข้ามาทีละคนทีละคน ผู้ชายแบกมากผู้หญิงแบกน้อย ไม่นานก็มีภูเขาลูกน้อยใหญ่เต็มบริเวณ
“ต่อไปคือย่านค้าขาย!”
ทั้งสิบหกเดินตามหลังเสวี่ยอิ่ง ในขณะเดียวกันเมื่อพวกเขานึกถึงระยะทางระหว่างเตาหลอมกฤษณาและย่านค้าขาย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
เดินผ่านจัตุรัสอีกแล้ว!
หากมีใครถามศิษย์จากห้องเรียนคนเถื่อนว่าสถานที่ใดที่พวกเขาเกลียดชังที่สุดในชีวิต จัตุรัสในสถาบันชิงหลัวจะเป็นสิ่งแรกที่พวกเขานึกถึง!
เมื่อพวกเขามาถึงย่านค้าขาย ทุกคนในกลุ่มหอบหายใจหนักแทบเหนื่อยตายเพราะพวกส่วนผสมยาหนักเป็นอย่างมาก...
โชคดีที่เสวี่ยอิ่งไม่ได้ซื้อของเยอะนักที่ย่านค้าขาย หลังจากที่นางเข้าๆ ออกๆ ไม่กี่ร้านก็ได้สินค้าตามต้องการมาหมด
อาจเป็นเพราะทั้งกลุ่มไม่เหลือที่ว่างให้แบกของอีกต่อไป นางจึงใส่ของที่เหลือเข้าแหวนมิติของตนเอง
แต่พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเสวี่ยอิ่งถึงซื้อเหยือกน้ำกับเต็นท์มาเยอะนัก...
“พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าไปไม่นาน”
เสวี่ยอิ่งให้เวลาพักที่หาได้ยากกับทั้งกลุ่มก่อนจะเดินจากไป
“หัวหน้าห้อง เจ้าคิดว่าพี่หญิงเสวี่ยจะฝึกพวกเราอย่างไรต่อไป?”
ทั้งห้องเริ่มสนิทสนมกับมากกว่าเดิม หลักฐานคือมีเพื่อนร่วมห้องหญิงคนอื่นนอกจากหลินหลีที่เริ่มบทสนทนากับป๋ายเสี่ยวเฟย
คนที่ถามไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชีเว่ยที่ไม่รู้จักหยุดพูด
“ข้าไม่กล้าบอกพวกเจ้าเพราะพวกเจ้าจะกลัวเหมือนที่ข้ากลัว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยมีสีหน้าเจ็บปวดที่เจือปนร่องรอยว่าเขาไม่อยากจะเชื่อ
“หมายความว่าอย่างไร?”
ยิ่งป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อยากพูด ชีเว่ยยิ่งอยากรู้ มันคือนิสัยที่พบเจอได้บ่อยในวัยรุ่น และชีเว่ยถือได้ว่าเป็นคนที่ขี้สงสัยที่สุดในห้อง
“บอกข้าทีว่ามีที่ใดบ้างในสถาบันที่ต้องการเต็นท์?”