บทที่ 4 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (4)
บทที่ 4 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (4)
ด้วยตัวซวีเฉิงเยว่คนก่อนค่อนข้างจะคุ้นเคยกับแผนผังของคฤหาสน์ตระกูลหนานกงเป็นอย่างดี ดังนั้นฉีเซิงจึงสามารถเดินนำทางฉู่ถางไปยังห้องนอนของหนานกงจิ่งบนชั้นสามของคฤหาสน์ได้อย่างง่ายดาย
“เฉิงเยว่...เอ๊ะ...นั่นใครน่ะ?” หลานเสวี่ยที่บังเอิญเดินลงมาจากชั้นสาม ถามถึงชายหนุ่มที่เดินมาพร้อมกับฉีเซิงอย่างประหลาดใจ
‘พระเจ้าช่วย! ผู้ชายคนนี้ดีดูดีมาก หล่อกว่าหนานกงจิ่งด้วยซ้ำ! หล่อขนาดนี้ทำไมฉันไม่เห็นเขาในงานตั้งแรกแรกนะ?’
เมื่อสังเกตเห็นว่าหลานเสวี่ยตกหลุมเสน่ห์ ‘ความฮอตทะลุปรอท’ ของเขา ฉู่ถางจึงยกยิ้มอันรายกาจแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ให้กับเจ้าหล่อน เพียงแค่รอยยิ้มก็สามารถทำให้คนหลงใหลคลั่งไคล้จนยากจะลืมเลือน
เป็นเพราะว่าฉีเซิงยืนอยู่ข้างหน้าของฉู่เซิง เธอจึงไม่เห็นสีหน้าและรอยยิ้มนั้นของเขา หากว่าเธอเห็นรอยยิ้มนั่นเข้าเธอคงจะตะโกนตอกหน้าเขาว่า ‘ไอ้หน้าม่อ!’
“ฉันไม่เห็นหนานกงจิ่งข้างล่างเลยกะว่าจะเดินขึ้นไปหาเขาข้างบน เธอจะไปด้วยกันไหม?” มากคนมากพยาน!
เมื่อมีโอกาสได้ร่วมทางไปกับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างฉู่ถาง มีเหรอหลานเสวี่ยจะปฏิเสธ
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ ดิ..ดิฉันชื่อ หลานเสวี่ยคะ”
ณ จุดๆนี้ ถ้าฉีเซิงยังไม่เข้าใจอีกว่าหลานเสวี่ยกำลังทำอะไร เธอก็คงจะเป็นคนโง่แห่งปี ตัวเธอแข็งทื่อ ‘โอ้วว... แม่สาวน้อย !! เธอช่างใจกล้าเสียยิ่งกระไร ที่จะตกไอ้จอมวายร้ายหมายเลขหนึ่งข้างหลังเธอเนี่ย..! นับถือๆ !
หากฉู่ถางได้ยินความคิดของฉีเซิง เขาคงอดที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองไม่ได้ ‘คำก็หน้าม่อ สองคำก็จอมวายร้าย นี่ฉันทำผิดอะไร?!’
ละความสนใจจากสองคนด้านหลัง ฉีเซิงก็รีบสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องของหนานกงจิ่ง หลังจากยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบานใหญ่ชั่วขณะ เธอก็ผลักประตูเข้าไปโดยไม่แม้แต่จะเคาะขออนุญาตก่อน โชคดีของเธอเมื่อหนานกงจิ่งลืมล็อคประตู
“อาจิ่ง ฉะ....” ฉีเฉิงหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงครางกระเส่าเล็ดลอดออกมาจากประตูที่เพิ่งเปิดแง้ม หนานกงจิ่งและซูอี้อี้หยุด ‘กิจกรรม’ ทันทีที่เห็นฉีเซิงโผล่เข้ามา ไม่นานหลังจากนั้นซูอี้อี้ก็ได้สติ หล่อนกรีดร้องเสียงดังและผลักหนานกงจิ่งออกจากตัว
“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามาในห้องนอนของฉัน? ไม่มีใครสั่งใครสอนมารยาทที่ดีให้เธอรึไงว่าควรเคาะประตูก่อนเปิด? หนานกงจิ่งรีบเอาผ้าห่มคลุมลงบนตัวของซูอี้อี้
มือของฉีเซิงค่อยๆหลุดออกจากลูกบิดประตู และค่อยๆปลดปล่อยอารมณ์ ภาพเบื้องหน้าของทุกคนจึงปรากฏให้เห็นภาพของหญิงสาวผู้โศกเศร้าและหัวใจที่แตกสลาย เมื่อจับได้ว่าคู่หมั้นของเธอไม่ซื่อสัตย์ต่อเธอ
“ฉันจะออกไปรอข้างนอก” ฉีเซิงพูดก่อนจะปิดประตู “หลานเสวี่ยเธอช่วงลงไปตามคุณพ่อและคุณลุงคุณป้าให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
หลานเสวี่ยซึ่งกำลังสติหลุดพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบร้อนเดินลงบันไดไป ฉู่ถางเอนหลังไปพิงกับผนัง รอยยิ้มล้อเลียนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขามาอยู่ตรงนี้เพราะจะรอดูละครน้ำเน่าฉากหนึ่งเท่านั้น
“อีกสักพัก ฉันคงต้องรบกวนให้คุณช่วยเป็นพยานให้” ฉีเซิงมองไปยังฉู่ถาง ซึ่งเขาก็โคลงหัวตอบรับเป็นเชิงว่าตกลง
ราวห้านาทีหลังจากนั้น หลานเสวี่ยก็เดินนำกลุ่มคนขึ้นมา สิ่งที่ทุกคนมองเห็นคือชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนพิงผนัง ในขณะที่เด็กสาวท่าทางเศร้าสร้อยอีกคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องนอนของหนานกงจิ่ง
“คุณพ่อคะ” เมื่อสังเกตเห็นพ่อของเธอ เฉิงเซิงก็สวมบทบาทของเธอทันที เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อเสมือนนกปีกหัก
“ท่านประธานฉู่ ทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะครับ?” หัวใจของหนานกงเจิ้งแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนผิงผนังอยู่เป็นใคร น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาเต็มไปด้วยความเครารพนอบน้อมแม้ว่าชายคนนี้จะอายุน้อยกว่าเค้ากว่าเค้าก็ตาม แสดงให้เห็นว่าผู้ชายที่ชื่อ ฉู่ถางคนนี้มีความสำคัญมากแค่ไหน
แม้ว่าหลานเสวี่ยจะยังไม่ได้อธิบายเหตุผล ที่เธอตามพวกเขาขึ้นมาบนนี้ แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ย่อมพอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างลางๆ จากน้ำเสียงของหลานเสวี่ย และยิ่งสังเกตเห็นท่าทางของฉีเซิง ก็ยิ่งยืนยันได้ว่าสิ่งที่พวกเขาคาดเดาไว้น่าจะถูกต้อง แต่สิ่งที่หนานกงเจิ้งสงสัยมากที่สุดก็คือ ‘ฉู่ถางมาทำอะไรที่นี่ ?’
แทนที่จะตอบคำถามของหนานกงเจิ้ง ฉู่ถางกลับมองไปที่ฉีเซิงที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ หนานกงเจิ้งจึงไปได้ย้ายสายตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล มองไปที่เธอด้วยเช่นกัน
“หนูเฉิงเยว่....เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ” แม้ว่าคุณนายหนานกงจะพอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็ยังคาดหวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิด
“อย่าร้องไห้เลยนะคนเก่งของพ่อ พ่ออยู่นี่แล้ว บอกพ่อหน่อยได้ไหม หนูร้องไห้ทำไม?” ผู้เป็นพ่อปลอบประโลมลูกสาวด้วยท่าทางที่หัวใจสลาย
ฉีเซิงยกนิ้วอันสั่นเทาของเธอชี้ไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทพลางสะอื้น
“อาจิ่ง...อาจิ่งขะ...เขามีคนอื่น พะ...พวกเขา..” ราวกับว่าเธอไม่สามารถพูดอะไรไปได้มากกว่านี้ เสียงสะอื้นก็กลบคำพูดที่เธอกำลังจะพูดจนหมด
ทันใดนั้นเองประตูที่ปิดสนิทก็พลันเปิดออก เมื่อเห็นลูกชายของเธอและเด็กสาวแปลกหน้า ความหวังสุดท้ายของคุณนายหนานกงก็หายวับไปกับตา เมื่อสังเกตเห็นกลุ่มคนตรงหน้าห้อง ซูอี้อี้ก็รีบหลบเข้าไปบนแผ่นหลังของหนานกงจิ่งด้วยความอับอายใบหน้าของเธอแดงซ่าน ในขณะที่ใบหน้าของคุณพ่อซวีดำทะมึนราวกับเฆฆฝนก่อนที่พายุจะเกิด “ฉันต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้!”
ผู้ชายที่เริ่มต้นก็นอกใจตั้งแต่เป็นคู่หมั้น ถ้าแต่งงานกันไปผู้ชายคนนี้จะเป็นคู่ชีวิตที่แย่ขนาดไหน!
พ่อของซวีเฉิงเยว่รักแม่ของซวีเฉิงเยว่มาก ในชีวิตนี้ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาคิดจะนอกใจเธอ แม้ในบางครั้งที่งานของเขาจำเป็นจะต้องติดต่อกับผู้หญิงคนอื่น เขาก็สนใจทำแค่งาน ไม่เคยให้ใครเข้ามาแทรกกลางระหว่างความรักของเขาและภรรยา นั่นจึงเป็นสิ่งที่เขาคาดหวังว่า เมื่อลูกสาวของเขาแต่งงานกับผู้ชายที่รัก ผู้ชายคนนั้นจะเหมือนกับเขาที่รักภรรยาสุดหัวใจ
“หนานกงจิ่ง! ผู้หญิงคนนั้นคือใคร?” ด้วยเพราะยังติดใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างซวีเฉิงเยว่และฉู่ถาง หนานกงเจิ้งจึงเลือกทางที่ปลอดภัย ด้วยการตะคอกถามลูกชายของตนแทน
หนานกงจิ่งดึงซูอี้อี้เข้ามาสวมกอดก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจราวกับจะให้คำสัตย์ว่า “อี้อี้คือคนรักของผม ผมจะไม่แต่งงานกับใครก็ตามที่ไม่ใช่อี้อี้!”
“เจ้าลูกโง่คนนี้นิ! นี่ลูกกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแล้วหรือไง?” คุณนายหนานกงเป็นคนออกหน้าในครั้งนี้ แต่หนานกงจิ่งกลับพูดขัดขึ้น “คุณแม่ครับ ถ้าแค่การที่ผมจะเลือกผู้หญิงที่ผมต้องการจะอยู่ไปด้วยตลอดชีวิตผมยังทำไม่ได้ แล้วผมจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม?”
“จิ่ง....” ซูอี้อี้กระตุกแขนของหนานกงจิ่งพลางส่ายหน้ารัวๆ เธอแสดงสีหน้าราวกับว่ามีคำว่า ‘สงสารฉันสิ!’ แปะอยู่บนใบหน้าของเธอ
“ไม่ต้องกลัวนะอี้อี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะแต่งงานกับเธอ” หนานกงจิ่งกอดซูอี้อี้แน่นขึ้น
พ่อของซวีเฉิงเยว่ยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าของเขาเย็นชาราวกับรูปสลัก แม้ว่าครั้งนี้เขาจะยอมทำตามความต้องการของลูกสาวที่รัก แต่แน่นอนว่าเขาขึ้นบัญชีดำหนานกงจิ่งเอาไว้แล้ว
ฉีเซิงเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศรอบๆตัว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “คุณพ่อ...คุณลุง....คุณป้า... ในเมื่ออาจิ่งเขามีคนรักอยู่แล้ว การหมั้นหมายระหว่างหนูกับเขาก็ยกเลิกเถอะคะ ถ้าถอนหมั้นกันไปซะ ก็คงจะดีกับทุกๆฝ่ายมากกว่า”
นอกจากฉู่ถางผู้ซึ่งทำหน้าที่ผู้ชมที่ดี ทุกคนต่างตกใจกับการตัดสินใจของเธอในครั้งนี้ ซวีเฉิงเยว่ที่พวกเขารู้จักคือเด็กสาวผู้หลงใหลคลั่งไคล้ในตัวของหนานกงจิ่ง จนแทบโงหัวไม่ขึ้น แล้วเด็กสาวคลั่งรักคนนั้นเนี่ยน่ะเป็นฝ่ายขอถอนหมั้น?
ฝ่ายหนานกงจิ่งเองก็อดจะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ที่ซวีเฉิงเยว่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอถอนหมั้นกับเขาก่อน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเองด้วยซ้ำ คุณนายหนานกงรีบเข้าไปปลอบประโลมฉีเซิง “เฉิงเยว่.. ไม่เอาสิจ๊ะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระอย่างนั้น ป้าจะจัดการให้หนูเอง ป้ารับรองว่าเจ้าลูกโง่คนนี้จะไม่ทำให้หนูเสียใจอีก”
“คุณป้าคะ ผลแตงที่ถูกบังคับเก็บยังไงก็ไม่มีวันหวานหรอกนะคะ ในเมื่ออาจิ่งไม่ได้รักหนู สุดท้ายคนที่ทรมานที่สุดก็ต้องเป็นหนูอยู่ดี หลายปีที่ผ่านมาหนูคิดว่าความจริงใจของหนูจะทำให้อาจิ่งหันมาสนใจหนูบ้าง แต่สุดท้ายความจริงตรงหน้าก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าหนูคิดผิด หากเวลา2-3 ปี ที่ผ่านมาที่หนูทุ่มเทให้เขา ไม่สามารถเปลี่ยนใจให้เขามาสนใจหนูได้ นั่นก็หมายความว่าต่อให้หนูพยายามต่อไปอีก ทั้งชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะได้ใจของเขาครอง”
ซวีเฉิงเยว่หลงรักหนานกงจิ่งตั้งแต่ก่อนที่จะได้หมั้นหมายกับเขา แม้ว่าเขาจะไม่เคยสนใจไยดีเธอเลยก็ตาม วิธีที่เขาปฏิบัติต่อเธอไม่ต่างกับที่เจ้านายกระทำต่อสัตว์เลี้ยงเลย เจ้านายผู้คอยสั่งให้สัตว์เลี้ยงทำตามความต้องการของเขาอย่างเคร่งครัด ‘ซวีเฉิงเยว่ เธอช่างน่าสงสารอะไรอย่างนี้! ต้องเสียเวลาชีวิตไปอย่างไร้ประโยชน์กับไอ้คู่หมั้นเฮงซวยนี่ตั้งหลายปี!!’
“ลูกรัก หนู....” แม้แต่พ่อของซวีเฉิงเยว่ยังอดประหลาดใจไม่ได้ ‘เฉิงเยว่อยากถอนหมั้นจริงๆ หรือแค่โกรธ? ถ้าเป็นเรื่องจริงแน่นอนว่าต้องฉลอง! หึ! ลูกสาวของเขาทั้งสวยและแสนดีขนาดนี้ จะไปง้อผู้ชายเฮงซวยพรรคนั้นทำไมกัน?’
“คุณพ่อค่ะ หนูคิดดีแล้วจริงๆคะ” ฉีเซิงชะงักก่อนจะเผยความอ่อนล้าให้เห็น “หนูคิดเรื่องนี้มา ตั้งแต่ครั้งแรกที่หนูเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้วคะ อีกอย่าง...หนูยอมแพ้แล้ว”
“เฉิงเยว่ เจ้าลูกโง่ของป้าแค่เลอะเลือนไปชั่วขณะ หนูอย่าเพิ่งคิดอะไร ใจเย็นๆ ทำใจให้สบายๆ แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งดีกว่าไหมจ๊ะ?” คุณนายหนานกงชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ของเธอมาก ถึงแม้ว่าตระกูลซวีจะร่ำรวยไม่เท่าตระกูลหนานกง แต่ตัวของซวีเฉิงเยว่เองก็ถือว่าเพียบพร้อมในทุกๆด้าน และอีกอย่างการที่ตระกูลซวีมีฐานะที่ด้อยกว่าตระกูลหนานกงนั้นย่อมส่งผลให้เธอควบคุมซวีเฉิงเยว่ได้ง่ายขึ้นด้วย