บทที่ 3 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (3)
บทที่ 3 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (3)
ฉีเซิงเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับคุณนายหนานกงเมื่องานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ส่วนหนานกงจิ่งคงกำลังพะว้าพะวงอยู่กับซูอี้อี้
แม้ว่าปกติเธอจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเข้าสังคมนัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้เมื่อการเข้าสังคมก็เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนในวงการธุรกิจ
“คุณหนูซวีนี่ดูสวยวันสวยคืนเลยนะคะ แหม...คุณชายจิ่งช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ไม่เหมือนกับเจ้าลูกชายตัวแสบของดิฉัน รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีวี่แววจะตกล่องปล่องชิ้นกับใครสักที” สุภาพสตรีท่าทางสง่างามกล่าว สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาคุณนายหนานกง ในขณะที่สุภาพสตรีท่านอื่นๆก็รีบแสดงท่าทีเป็นเชิงที่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
“อย่างว่าละคะ การให้ลูกชายได้หมั้นหมายกับลูกสะใภ้ที่ดีๆเสียตั้งแต่เนิ่นๆเป็นเรื่องที่จำเป็นจริงๆ”
“เฮ้อ.... แต่ว่าเรื่องอย่างนี้คงขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละคนมากกว่ามั้งคะ ดูอย่างตระกูลหลินสิคะ ทางนั้นเขาก็หมั้นหมายกับคู่หมั้นตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกันไม่ใช่หรือคะ? แล้วดูสิคะว่าผลเป็นยังไง? สุดท้ายก็ทำท่าว่าเหมือนจะไปกันไม่รอดไม่ใช่หรือคะ? ดิฉันได้ยินมาว่าทะเลาะกันทุกวันจนบ้านแทบแตก ตายจริง! ดิฉันไม่ได้หมายถึงคู่ของคุณหนูซวีกับคุณชายจิ่งนะคะ เรื่องไร้สาระพวกนี้คุณหนูซวีก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลยค่ะ”
‘นี่จะแขวะกันใช่ไหมป้า? คิดว่าพูดอ้อมๆแล้วคนอื่นเขาจะตามหล่อนไม่ทันสินะ?’
ฉีเซิงยกยิ้มบางๆ แม้ว่าในแววตาของเธอจะเหลืออดเต็มทน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะรถมาจอดอยู่หน้างานแล้ว เธอไม่มีทางถ่อมาร่วมงานนี้ให้เสียสุขภาพจิตหรอก
‘ลำพังแค่มนุษย์ป้าสามคนนี่ก็น่ารำคาญมากพอแล้ว ใครก็ได้รีบมาพาฉันไปจากที่นี่ด่วน ก่อนที่ฉันจะแปลงร่างเป็นตัวน่ารำคาญแบบพวกหล่อน!!’
“คุณป้าคะ คุณพ่อของหนูมาแล้ว หนูขอตัวไปหาท่านก่อนนะคะ” เธอสังเกตุเห็นพ่อของซวีเฉิงเยว่…ไม่สิ... ตอนนี้ต้องเป็นของเธอ...พ่อของเธอท่องไว้ เธอรีบใช้โอกาสนี้ปลีกตัวออกมาทันที
คนพวกนี้มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งเงินและอำนาจ จนมีเวลาว่างมากพอที่มานั่งเปรียบเทียบคนอื่นหรือชิงดีชิงเด่นกัน เปรียบเทียบวงตระกูล เปรียบเทียบสามี เปรียบเทียบลูก คล้ายกับว่าถ้าหากของใครดีกว่าจะทำให้ดูสูงส่ง น่านับถือมากกว่าคนอื่นๆ
“คุณพ่อคะ” ฉีเซิงเดินตรงเขาไปหาพ่อของเธอก่อนเอ่ยทักเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ลูกรีบมาที่นี่ตั้งแต่หัวค่ำ แล้วอาจิ่งเขาไม่ได้อยู่กับลูกหรอ?” พ่อของเธอกวาดสายตาไปมองรอบๆแต่กลับไม่พบร่องรอยของหนานกงจิ่ง เขาจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้
.“เขายุ่งๆอยู่นะคะ”ฉีเซิงฉีกยิ้มให้เขา “แล้วคุณแม่ละคะ ไม่ได้มาพร้อมคุณพ่อหรอคะ?”
“ที่บริษัทมีเรื่องด่วนเข้ามานะสิ คุณแม่ของหนูเลยต้องรีบเข้าไปแก้ปัญหา ว่าแต่...เมื่อไหร่กันที่ลูกเริ่มสนใจเรื่องของพ่อกับแม่? พ่อก็คิดว่าลูกเอาแต่สนใจเรื่องคู่หมั้นของลูกสะอีก” เขาเย้าเธอด้วยน้ำเสียงขี้เล่น เห็นได้ชัดว่าพ่อของซวีเฉิงเยว่รักและตามใจเธอมากขนาดไหน
“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้างสิคะ?”
“ในที่สุดสาวน้อยของพ่อกับแม่ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
‘ก็ต้องแตกต่างสิ ในร่างนี้ไม่ได้มีวิญญานดวงเดิมนิ’
ฉีเซิงทำตามความต้องการของซวีเฉิงเยว่ เมื่อซวีเฉิงเยว่ต้องการกตัญญูต่อพ่อแม่ของเธอ ฉีเซิงก็จะทำตัวเป็นลูกที่ดีของพวกเขา
คุณพ่อซวีพาเธอเดินไปอวยพรกับดาวเด่นของงานในค่ำคืนนี้...คุณนายหนานกง ก่อนจะพาเธอเดินไปแนะนำตัวกับผู้คนมากมายในภายในงานเลี้ยง คนพ่อซวีรู้สึกว่าคืนนี้ลูกสาวตัวน้อยของเขาช่างว่านอนสอนง่ายเป็นพิเศษ ส่งผลให้เขารู้สึกดีมากและอดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ลูกสาวของเขาคงเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ
ฉีเซิงขออนุญาตผู้เป็นพ่อเป็นพ่อออกไปเดินรับอากาศบริสุทธิ์ในสวนด้านนอก เพราะรู้สึกเวียนหัวด้วยฤทธิ์ของไวน์ที่เธอเพิ่งดื่มไป
ภายในสวนที่กว้างใหญ่ของตระกูลหนานกง ในที่สุดฉีเซิงก็พบจุดที่เธอสามารถจะนั่งพักได้ เธอรู้สึกว่าอาการของเธอดีขึ้นเมื่อได้สัมผัสกับสายลมเย็นๆยามค่ำคืน
“เธอกำลังทำอะไรกับมัน?!” น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดปลุกฉีเซิงให้ตื่นจากอาการงุนงง
ฉีเซิงยกมือขึ้นมาลูบหน้าก่อนจะรีบหันกลับเอาตัวไปแนบกับพนักพิงของม้านั่ง เพื่อสังเกตเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เธอเห็นเงาตะคุ่มๆรางๆ ของคนสองคนปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไปสักระยะ
“ฉันไม่....ฉันไม่ได้....”
‘เสียงนี้? ใช่แล้ว! ซูอี้อี้! เสียงของซูอี้อี้!! ว่าแต่....สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันน่ะ?
“ฉันเห็นกับตา!” หนานกงจิ่งใกล้ระเบิดโทสะเต็มทน “ซูอี้อี้ ฉันทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของพวกเราสองคน แล้วเธอล่ะ? ยั่วยวนผู้ชายคนอื่น นั่นใช่ไหมสิ่งที่เธอทำ?”
“จิ่ง คุณพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง?”
“อะไร? ฉันพูดอะไรผิด? ถ้าฉันไม่ใช่เพราะฉันทะเล่อทะล่าเข้าไป เธอกับมันจะทำอะไรกันต่อล่ะ?”
นัยน์ตาของฉีเซิงเปล่งประกายระยิบระยับ ‘หนานกงจิ่งจับได้ว่าซูอี้อี้กับหลิงฮ่าวกำลังเล่นชู้กันได้คาหนังคาเขารึ? กำลังกอดหรือว่าจูบ? ถ้าทำให้หนานกงจิ่งเป็นบ้าได้ขนาดนี้ เดาว่าน่าจะเป็นจูบ’
ในเค้าโครงเรื่องเดิม ซวีเฉิงเยว่ต้องตามเกาะติดกับหนานกงจิ่งจนทำให้ หนานกงจิ่งไม่มีเวลาไปดูแลซูอี้อี้ นอกจากนั้นซวีเฉิงเยว่ยังเปิดเผยเรื่องของซูอี้อี้กับคุณนายหนานกงอีก ส่งผลให้ซูอี้อี้และหลิงฮ่าวที่มางานเลี้ยงด้วยกันมีเวลาเหลือมากพอที่จะทำอะไรๆลับหลังหนานกงจิ่ง
ซวีเฉิงเยว่ใช้เวลาทบทวนเค้าโครงเรื่องอีกครั้ง กว่าเธอจะรู้ตัวซูอี้อี้กับหนานกงจิ่งก็จูบกันแล้ว!
‘เกิดอะไรขึ้น?! พวกเขากำลังพูดอะไร? นี่!! ฉันได้ยินไม่ค่อยชัด พวกนายช่วยเล่นซ้ำให้ดูอีกรอบได้ไหม?’
เสียงจูบอย่างดุเดือดดังขึ้นอย่างชัดเจนในสวนอันเงียบสงัด ‘ โอ้ววว.. พวกเขาคงไม่คิดจะบ๊ะบ๊ะโอบ๊ะกันที่นี่ใช่ไหม?”
โชคดีที่หนานกงจิ่งยังพอมีสติจึงอุ้มซูอี้อี้ไปที่ห้องก่อน.....
ถ้าเธอจับพวกเขาได้คาหนังคาเขาบนเตียง เธอน่าจะใช้เรื่องนี้ในการถอนหมั้นได้ ‘สวรรค์ทรงโปรด!!’
ฉีเซิงกระโดดขึ้นจากม้านั่งในแทบทันที
“อ๊ากกก!” เธอกรีดร้องอย่างตกใจก่อนจะทรุดลงไปนั่งที่เดิม เธอลูบที่หน้าอกตัวเองเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ เมื่อเธอมองจนแน่ใจแล้ว ว่าร่างตรงหน้าคือมนุษย์อย่างแน่นอน “เป็นบ้าอะไรของคุณอยู่ๆก็โผล่มาไม่ให้ซุ้มให้เสียง? อยากให้ฉันกลัวจนช็อคตายหรือไง?”
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังกังวานชวนลุ่มหลงว่า “คุณไม่โกรธหรอ ? หรือนั่นไม่ใช่คู่หมั้นของคุณ?
คนที่ถามคือชายหนุ่มท่าทางไม่สนใจโลกคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำ มือข้างหนึ่งของเขาสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกงสีดำสนิท เขามีรูปร่างดี หน้าตาก็หล่อเหล่าราวกับภาพวาด บรรยากาศรอบๆตัวเขาส่งผลดูสูงส่ง ราวกับไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองมาที่เธอราวกับว่าเพิ่งค้นพบสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้นบางๆ
ความประทับใจแรกของฉีเซิงต่อเขา ไม่ได้เป็นรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ หน้าตาที่หล่อเหลา แต่กลับเป็นออร่าความชั่วร้ายที่แผ่กระจายอยู่รอบๆตัวเขาต่างหาก นอกจากเขาจะหน้าตาที่มีเสน่ห์อย่างเหลือร้ายแล้ว บุคลิกอันลึกลับและแฝงด้วยอันตรายของเขากลับสามารถทำให้ผู้คนคลั่งใคร่หลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้นได้
‘ตัวหายนะ’ นี่คือความคิดของเธอ เธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะเอ่ยถามเขา “คุณ?”
‘ฉันไม่ยักจะจำได้ว่าในเรื่องมีไอ้หมอนี่ด้วย....’
[ บรรลุเงื่อนไขสำหรับภารกิจลับ ภารกิจถูกตอบรับอัตโนมัติด้วยความเงียบของโฮสต์]
‘อะไร?!! ภารกิจลับบ้าบออะไรอีก? แล้วอะไรคือการตอบรับด้วยความเงียบห๊ะ?! ระบบ...นายจะบังคับให้ฉันทำงานฟรีใช่ไหม?! นายไม่รู้หรอนี่มันผิดกฎหมาย?!!!’
[ ภารกิจลับ : กลายเป็นรักแท้ของฉู่ถาง
‘ฉู่ถาง? ผู้ชายคนนี้คือ ฉู่ถาง? นายล้อฉันเล่นหรือเปล่า?’
ในเค้าโครงเรื่องเดิมฉู่ถางปรากฏออกมาแค่ชื่อ ตัวตนของเขาเป็นตำนานของนักธุรกิจชื่อดังในวงการ ซึ่งคนคนนี้ไม่เคยปรากฏตัวในเนื้อเรื่อง
ภายในเรื่องเอ่ยถึงไว้แค่ครั้งหนึ่ง บริษัทของหนานกงจิ่ง เคยถูกบริษัทภายใต้อำนาจความดูแลของฉู่ถางคุกคาม แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาไม่นานนัก แต่ผลจากการคุกคามในครั้งนี้ ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลต่อตระกูลหนานกง จนกระทั่งตอนจบของเรื่องหนานกงจิ่งก็ยังไม่สามารถสืบหาตัวผู้บงการพบ แน่นอนฉีเซิงรู้ว่าเป็นเขาเพราะว่าเธอได้อ่านเนื้อเรื่องทั้งหมด!
‘รักแท้ห่าเหวบ้าบออะไร? ฉันต้องทำให้พ่อนักธุรกิจอัจฉริยะฟ้าประทานนี่มาหลงรัก? อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระน่า!!
[ ยืนยันภารกิจ หากโฮสต์ทำภารกิจไม่สำเร็จ โฮสต์จะถูกกำจัดจากระบบทันที]
‘ปู่นายสิยืนยัน!! นายไม่เคยบอกฉันว่าต้องมาพัวพันกับเรื่องรักๆใคร่ๆสักหน่อย!’
ระบบแกล้งตายเนื่องจากมันได้บอกทุกอย่างที่สมควรบอกไปหมดแล้ว
ในขณะที่ฉีเซิงกำลังนั่งทะเลาะกับระบบ ฉู่ถางก็กำลังจับตามองท่าทางของเด็กสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งเบื้องหน้าของเขาด้วยความสนใจ เธอทำหน้าโกรธจากนั้นเปลี่ยนไปเป็นตกใจ จากนั้นก็โกรธและเปลี่ยนไปเป็นสิ้นหวัง
‘เขายังไม่ได้ตอบคำถามของเธอเลยสักคำ แล้วทำไมเธอแสดงท่าทางแบบนั้นกัน?’
“ฉันจะตามไปจับพวกเขาให้ได้คาหนังคาเขาพร้อมกับหลักฐาน คุณจะไปกับฉันไหม?”
ฉีเซิงเอ่ยชวนฉู่ถางไปดู ‘เรื่องฉาว’ พลางลุกขึ้นจากม้านั่ง
ฉูถางเลิกคิ้ว “เธอรู้หรอว่าฉันเป็นใคร?”
เหล่าบอดี้การ์ดที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืดตกใจจนอ้าปากค้าง ‘พระเจ้าช่วย!!’ ในโลกนี้มีคนกล้าชวนคุณชายไปจับชู้ด้วย?! นับถือๆ !!!
ฉีเซิงชะงักไปพักนึง ก่อนจะนึกได้ว่า ‘เออ’ เขายังไม่ได้แนะนำตัวเลยว่าเป็นใคร ฉันควรจะทำตัวว่าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร’
เธอทำสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ฉันแค่ต้องการพยาน”
“ตกลง”
เป็นอีกครั้งที่เหล่าบอดี้การ์ดพากันตกตะลึง ‘คุณชายตกลง!! เขาตกลง!! ตกลงจริงๆด้วย!!! นี่เป็นเหตุการสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ควรบันทึกไว้’