บทที่ 174 คนผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาดี
ปังงง!
เก้าอี้สองตัวแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขณะที่ถูกฟาดใส่ศีรษะของยามทั้งสอง หนึ่งในนั้นกรีดร้องออกมาราวกับหมูโดนเชือดและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
“ไปเรียกกำลังเสริมมา! พวกมันกล้ามาสร้างปัญหาที่นี่ ไปเชิญผู้อาวุโสเหิงมาด้วย… พวกมันทุกคนจะต้องตาย!”
ปังง!
แต่ทันทีที่ชายผู้นั้นกล่าวจบ เฉียนว่านก้วนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาใช้ฝ่ามืออันอวบอ้วนของเขาคว้าไปที่เก้าอี้อีกตัวและกระหน่ำตียามที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้ปรานี
ตุบ! ตับ! ตุบ! ตับ!
เมื่อเห็นสหายถูกทำร้ายอย่างทารุณ เหล่ายามที่เหลือต่างก็เดือดดาลและเตรียมที่จะลงมือ แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่จู่ๆสหายบางคนของพวกเขายกมือขึ้นมาห้ามไว้ อีกทั้งยังจ้องมองไปยังเฉียนว่านก้วนด้วยความหวาดกลัวราวกับเพิ่งเจอผีกลางวันแสกๆ
มีหลายคนที่เกิดอาการงุนงง แต่ไม่นานนักพวกเขาก็เหมือนว่าจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเอง สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดก็ซีดขาวลงและเผยให้เห็นความตื่นตระหนก
ฟึ่บ!
โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงอยู่ภายใต้ความดูแลของผู้เชี่ยวชาญวรยุทธ เมื่อเสียงกรีดร้องของยามเฝ้าประตูดังขึ้นได้ไม่นาน เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านในก็รู้สึกตัว กลุ่มคนที่นำมาด้วยหัวหน้าผู้ดูแลโรงเตี๊ยมทะยานออกมาพร้อมกับระเบิดเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ผู้ใดกล้าสร้างปัญหาภายในโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น? พวกเจ้าไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว… เอ๊ะ? นั่นนายน้อยอู๋ซวงหรือขอรับ?”
เมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ตรงหน้า ร่างของหัวหน้าผู้ดูแลก็แทบจะทรุดลงกับพื้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนและรีบโค้งตัวเพื่อขออภัย
“นายน้อยอู๋ซวง พวกลูกน้องที่โง่เขลาของข้าคงไม่ได้ล่วงเกินท่านใช่ไหมขอรับ?”
จ้านอู๋ซวงวางเก้าอี้ลงและโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางร่างของเฉียนว่านก้วนและกล่าว
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าและข้าก็ไม่ได้ต้องการที่จะสร้างปัญหาให้กับที่นี่… แต่เจ้าอาจจะต้องไปคุยกับคนผู้นั้นเอง!”
“หืม?”
ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะถูกการปรากฏตัวของจ้านอู๋ซวงทำให้หวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่พอรับได้ อย่างไรก็ตามในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เขากลับไม่ได้สังเกตเห็นเฉียนว่านก้วนที่กำลังยืนหันหลังให้
แต่เมื่อตระหนักได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร คราวนี้ร่างของเขาถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นและคุกเข่าด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด
“ปะ… ประมุขน้อย!”
ตุบบ!
คราวนี้ไม่ใช่แค่หัวหน้าผู้ดูแลเท่านั้น แต่ยามเฝ้าประตูทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยร่างที่สั่นเทา แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเจอกับเฉียนว่านก้วนตัวเป็นๆมาก่อน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่านายน้อยผู้นี้มีสถานะที่สูงส่งขนาดไหน
โดยปกติแล้วเฉียนว่านก้วนจะถูกเชิญมาโดยผู้อาวุโสเหิงที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว
แน่นอนว่ายังมียามบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเฉียนว่านก้วนอยู่บ้างและรีบห้ามปรามสหายที่เหลือไม่ให้ผลีผลามก่อนหน้านี้
ปัง!
เฉียนว่านก้วนไม่ได้หยุดมือทันที เขาใช้เก้าอี้ฟาดอีกฝ่ายจนมันแหลกเป็นชิ้นๆอีกครั้งถึงเขาจะยอมหยุด จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินตรงไปยังชายป่าเถื่อนโดยเมินเฉยต่อหัวหน้าผู้ดูแลที่ยังคงคุกเข่าด้วยร่างที่สั่นเขา
“ลูกพี่ หวังว่าเจ้าจะไม่โกรธนะ? แต่หากว่าเจ้ายังไม่พอใจ ข้าจะทำให้พวกมันทั้งหมดพิการเลยดีไหม?”
แน่นอนว่าชายป่าเถื่อนที่สวมหน้ากากอยู่บนหน้าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจียงอี้!
ก่อนหน้านี้เจียงอี้กลัวว่าจะมาไม่ทันขบวนของสำนักจิตอสูร ดังนั้นเขาจึงเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เนื่องจากกังวลว่าจะถูกลอบทำร้าย เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางอ้อมโดยผ่านถิ่นทุรกันดารก่อนที่จะมาถึงเมืองหลวงในวันนี้
ในช่วงสองสามสัปดาห์แรก ตลอดเวลาที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เจียงอี้ไม่ได้รับประทานอาหารดีๆหรือพักผ่อนเพียงพอ ทำให้น้ำหนักของเขาลดลงไปกว่าห้ากิโลกรัม
ผนวกกับเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและหนวดเคราที่ไม่เป็นระเบียบ ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรไปจากขอทาน แม้แต่เฉียนว่านก้วนและคนใกล้ชิดคนอื่นๆก็ยังไม่สามารถจดจำเขาได้ในตอนแรก
เพราะความเหนื่อยล้า เขาจึงต้องการหาที่พักดีๆและเดินตรงเข้าไปโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้นโดยไม่คิดอะไรมาก จากนั้นก็เป็นไปตามเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“ตระกูลของเจ้าเป็นเจ้าของกิจการที่นี่?”
เจียงอี้เอ่ยถามเฉียนว่านก้วนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยักหน้า เขาก็ยกมือขึ้นและตบไปที่ศีรษะของอีกฝ่ายก่อนที่จะกล่าวด้วยความโกรธ
“เจ้ามัวรออะไรอยู่? ทำไมถึงยังไม่รีบเตรียมห้องที่ดีที่สุดให้กับนายน้อยผู้นี้! ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!”
“โอ้โห!”
เมื่อฝูงชนเห็นการกระทำของเจียงอี้ ความโกลาหลก็บังเกิดขึ้นในทันที มีนายน้อยและคุณหนูจากตระกูลใดบ้างที่อยู่ในเมืองหลวงที่ไม่รู้จักเฉียนว่านก้วน? ชายคนนี้เป็นถึงว่าที่ประมุขในอนาคตของตระกูลเฉียนเชียวนะ?!
ในโลกนี้ยังมีคนที่กล้าพูดกับเขาด้วยท่าทีเช่นนี้อยู่อีกหรือ? แม้แต่หัวของเขาก็ยังกล้าตี?
แต่ไม่นานฝูงชนต่างก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเฉียนว่านก้วนยังคงใจเย็น เขาทำเพียงแค่หัวเราะแห้งๆออกมาและรีบพาเจียงอี้พร้อมกับคนที่เหลือเข้าไปด้านในตัวอาคาร
“พวกเราจะไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิเมื่อใด?”
เฉียนว่านก้วนนำเจียงอี้ไปยังลานซึ่งติดกับที่พักของจ้านอู๋ซวง หลังจากที่ซักถามอยู่ไม่กี่ประโยค เจียงอี้ก็ขอตัวเข้าไปพักทันที
ทางด้านของซูรั่วเสวี่ยและจ้านหลินเอ๋อร์ ใบหน้าของพวกนางดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก ภาพของเจียงอี้ในความทรงจำของพวกนางคือชายที่มีกลิ่นอายอันสูงส่งตามธรรมชาติและอยู่ในเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านอยู่เสมอ
แต่สภาพของเขาในตอนนี้ดูสกปรกมอมแมมไม่ต่างอะไรไปจากขอทาน เห็นได้ชัดว่าเขาผ่านความยากลำบากมามากขนาดไหนตลอดการเดินทาง
ตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา เจียงอี้เดินทางข้ามผ่านอาณาจักรต้าเซี่ยและมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเซิ่งหลิงก่อนที่จะมาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่เหมือนดั่งปัจจุบัน
เขาต้องอยู่ตัวคนเดียวในหุบเขาลึกและที่รกร้างเป็นระยะทางอย่างน้อยหนึ่งหมื่นกิโลเมตร มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าเขาจะต้องผ่านความยากลำบากมามากขนาดไหน
“ไปข้างนอกกันเถอะ ปล่อยให้เจียงอี้ได้พักผ่อนดีกว่า!”
จ้านอู๋ซวงไม่ต้องการที่จะรบกวนเจียงอี้ ดังนั้นเขาจึงชักชวนให้คนที่เหลือไปอยู่ข้างนอก
เมื่อเฉียนว่านก้วนเดินออกมา เขาก็เหลือบมองไปยังหัวหน้าผู้ดูแลซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูด้วยสายตาที่เย็นชา สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้และเตะไปที่ร่างของอีกฝ่ายเต็มแรงก่อนที่จะเอ่ยถาม
“ใครคือผู้ที่รับผิดชอบโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้นตอนนี้?”
หัวหน้าผู้ดูแลตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวและไม่กล้าเปล่งวาจาออกมา มีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวของโรงเตี๊ยมเท่านั้นที่กล้าเอ่ย
“ประมุขน้อย นายน้อยใหญ่เป็นผู้ดูแลที่นี่มาสี่เดือนแล้วขอรับ ผู้ดูแลหลิวคนนี้เองก็ถูกส่งมาโดยนายน้อยใหญ่”
“เฉียนเฟยรึ?”
ดวงตาของเฉียนว่านก้วนหรี่ลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเหยียดหยาม “ลูกพี่ลูกน้องของข้าผู้นี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ? ตระกูลถึงกับซี้ซั้วให้เขาบริหารที่นี่?”
“พอกันที! กำจัดไอ้ผู้ดูแลหลิวคนนี้กับพวกของมันซะ ชื่อเสียงของตระกูลเฉียนไม่ควรจะถูกทำลายไปมากกว่านี้! ผู้อาวุโสเหิง ท่านรีบไปแจ้งเรื่องนี้แก่พ่อของข้า จากนั้นก็ให้ส่งคนอื่นมารับช่วงต่อโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้นแทน แล้วก็บอกกับพวกนั้นด้วยว่า ผู้ที่พักอยู่ข้างในคือ… เจียงอี้!”
“เจียงอี้?”
เมื่อหัวหน้าผู้ดูแลหลิวได้ยินนามของเจียงอี้ ร่างของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุด ภายในใจของเขา เขาอยากที่จะบีบคอยามผู้นี้ให้ตายเสียเหลือเกิน
ผู้ดูแลหลิวได้รับมอบหมายจากเฉียนเฟยให้เข้ามาดูแลโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น ลูกสาวของเขานั้นเป็นภรรยาน้อยของเฉียนเฟย เขารู้ดีว่าลูกสาวของเขาต้องผ่านความยากลำบากขนาดไหนกว่าจะได้ตำแหน่งนี้มาครอง แต่พริบตาเดียวก็ถูกไอ้ลูกหมาพวกนี้ทำลายไป
หลังจากที่ผู้ดูแลหลิว, ผู้อาวุโสเหิงและยามที่เหลือออกไปแล้ว เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆก็ไม่ต้องการที่จะไปโรงเตี๊ยมบุหลันเลื่อนลอยอีกต่อไป พวกเขาสั่งให้คนนำอาหารมาส่งและดื่มกินกันบริเวณนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสเหิงก็กลับมาและกล่าวด้วยสีหน้ารีบร้อน “ประมุขน้อย นายน้อยอู๋ซวง องค์รัชทายาทกำลังส่งคนมาประกาศพระราชโองการขอรับ!”
“พระราชโองการ?”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงสบตากันด้วยความสับสน ปกติแล้วองค์รัชทายาทไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้และอย่างมากสุดก็แค่ส่งคนมาแจ้งข่าวเท่านั้น แต่ทำไมคราวนี้เขาถึงทำร่างพระราชโองการขึ้นมา?
ไม่นานนักทหารหลวงที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองก็เดินเข้ามา จากนั้น ไม่ว่าจะเป็นเฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงหรือจ้านหลินเอ๋อร์ต่างก็คุกเข่าลงต่อหน้าพระราชโองการ
ส่วนซูรั่วเสวี่ยนั้น นางไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่ตั้งแต่แรก ดังนั้นนางจึงเข้าไปหลบในห้องเพื่อหลีกเลี่ยงมัน
พระราชโองการนี้มีไว้สำหรับจ้านอู๋ซวง องค์รัชทายาทต้องการที่จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยง ณ ที่พักของเขาในคืนนี้ เขาได้เรียนเชิญลูกศิษย์และคณาจารย์ทั้งหมดของสำนักจิตอสูร เขาต้องการให้จ้านอู๋ซวงแจ้งให้ทุกคนทราบพร้อมทั้งยังแนบจดหมายส่วนตัวที่ถูกลงนามโดยรองเจ้าสำนักฉีมาด้วย
หลังจากที่จ้านอู๋ซวงรับมอบพระราชโองการ เฉียนว่านก้วนก็บอกให้ผู้อาวุโสเหิงพาทหารหลวงผู้นั้นไปดูแล
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนอ่านพระราชโองการอย่างละเอียดแล้ว รอยยิ้มอันขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของจ้านอู๋ซวง
ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงในตอนบ่ายทำให้องค์รัชทายาทซึ่งแต่เดิมก็หยิ่งยโสอยู่แล้วโกรธแค้น เพราะคิดว่านางไม่ไว้หน้าเขา ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องออกพระราชโองการออกมาเพื่อบีบบังคับ
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาที่ดีนัก…