ตอนที่ 47 ท้าดวล!
ความเงียบปกคลุมทั่วห้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เสวี่ยอิ่ง เนื่องเพราะพวกเขาได้รับคำเตือนจากนางมาแล้ว ไม่มีใครกล้าผ่อนคลายเมื่อนางยังกล่าวไม่จบ
“ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอันดับค่าหัว?”
โชคดีที่ป๋ายเสี่ยวเฟยนับได้ว่าฉลาดเฉลียว เขาเข้าใจถึง ‘ภัยพิบัติ’ ที่นางเอ่ย
“ใช่ ท่านเจ้าสถาบันเรียกข้าไปพบเมื่อเช้า เขาจัดการกับปัญหาของเจ้าได้แล้ว แต่วิธีการออกจะเหนือความคาดหมายไปสักหน่อย”
เสวี่ยอิ่งรินน้ำชาใส่แก้วพลางเอ่ยก่อนจะจิบชาไม่แยแสแววตาคาดหวังของป๋ายเสี่ยวเฟย
“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าวิธีใด?”
เสวี่ยอิ่งแย้มยิ้ม ไม่เพียงนางไม่บอกป๋ายเสี่ยวเฟยตรงๆ นางยังจงใจให้เขาสงสัยกว่าเดิมอีกด้วย
ท่าทีป๋ายเสี่ยวเฟยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเมื่อรู้ว่านางต้องการอันใด เขาจ้องเขม็งไปที่นัยน์ตาของเสวี่ยอิ่งก่อนจะถาม
“ท่านเชื่อไหมว่าข้าสามารถทายถูก?”
“เชื่อเจ้า? ข้ายอมเชื่อผีสางมากกว่าเชื่อเจ้า”
เสวี่ยอิ่งแค่นเสียงเย็นชา สีหน้าราวกับจะบอกว่า “ข้ารู้ไส้รู้พุงเจ้าหมดแล้ว”
“เช่นนั้นเรามาพนันกัน ถ้าข้าทายถูกท่านจ่ายมื้อนี้ ถ้าข้าทายผิดข้าจะจ่ายมื้อหน้าด้วย”
ทุกคนยกเว้นเสวี่ยอิ่งมีใบหน้าตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยิน
ไม่ว่าใครจะชนะ พวกเขาก็คือคนที่ได้รับผลประโยชน์ และหากเกิดการพนันขึ้นมาจริงๆ มีโอกาสที่พวกเขาจะได้กินอีกมื้อที่บ้านร้อยรสสูงมาก
ทุกสายตาจับจ้องที่เสวี่ยอิ่งเพราะการพนันนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับนางเพียงผู้เดียว
“ถือว่าเจ้ายั่วยุข้าได้หรือไม่?”
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน เสวี่ยอิ่งเลือกที่จะไม่เสี่ยง แถมวิธีการของนางยังไร้ยางอายเหลือคณา แต่ไม่ว่าจะไร้ยางอายเช่นไร ป๋ายเสี่ยวเฟยก็ไร้หนทางเมื่อเผชิญหน้ากับวิธีเช่นนี้...
“พี่หญิงเสวี่ย ข้าพูดผิดไป ข้าทายไม่ได้หรอก...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยปั้นสีหน้าขมขื่น
ท่วงท่าอิริยาบถจริงจังขึงขังไม่มีให้เห็นอีกต่อไป แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะทำให้เสวี่ยอิ่งเสียใจกับการกระทำของตนเพราะใครก็ตามที่ติดต่อสื่อสารกับป๋ายเสี่ยวเฟยมีโอกาสถูกหลอกทั้งนั้น...
แน่นอนว่าหลังจากป๋ายเสี่ยวเฟยพูดจบเสวี่ยอิ่งรู้สึกสูญเสียครั้งใหญ่ไปทันที นางมองป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างเย็นชาไม่มีอารมณ์จะกลั่นแกล้งเขาอีกต่อไป
“ฉินหลิงหยานที่ใส่ชื่อเจ้าไปในอันดับค่าหัวถูกเรียกไปพบท่านเจ้าสถาบันก่อนข้า ด้วยคำขอของท่านเจ้าสถาบัน นางตกลงจะเอาชื่อเจ้าออกจากอันดับค่าหัวแต่แค้นของนางต้องได้รับการชำระ”
ท่าทีไม่ยินยอมของฉินหลิงหยานผุดขึ้นในหัวป๋ายเสี่ยวเฟย เขาหัวเราะขมขื่นอย่างอดไม่ได้
‘แน่นอน บาปที่ข้าก่อข้าก็ต้องรับกรรม...’
“ให้ข้าขอโทษนางไม่พอหรือ...?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
คำถามง่ายๆ ของนางปัดเป่าความคิดที่จะลดทอนปัญหาใหญ่ให้เป็นปัญาหาเล็กโดยพลัน ถ้าฉินหลิงหยานยังเป็นคนปกติอยู่นางไม่มีทางยอมรับวิธีง่ายๆ อย่างคำขอโทษ
จากสิ่งที่เขาทำในวันนั้น การถูกอัดไม่กี่คราอาจไม่พอสำหรับความแค้นของนาง...
ป๋ายเสี่ยวเฟยล้มเลิกความคิดที่จะดิ้นรน
“เช่นนั้นนางตั้งใจทำอย่างไร?” เขาถามพลางตระเตรียมเผชิญพายุในวันข้างหน้า
“ข้าไม่รู้ นางตั้งใจจะบอกเจ้าต่อหน้า นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราอยู่ที่นี่”
เสวี่ยอิ่งยักไหล่บ่งบอกว่านางเป็นเพียงคนส่งข่าว
“ต่อหน้า? ที่นี่!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที ช่างน่าตกใจที่ลางสังหรณ์ของเขามาไหวเหลือเกิน...
ประตูห้องถูกเปิดออก ฉินหลิงหยานที่ใบหน้าเย็นเยียบราวน้ำแข็งเดินเข้ามา ข้างหลังนางมี ‘ภูเขาหิน’ ที่ดูอย่างไรก็หนักอย่างน้อย 150 กิโลกรัมสองตัว
“ข้าพาสหายมาด้วยสองคน คงไม่ถือสาใช่หรือไม่?”
ฉินหลิงหยานยิ้มเยาะพลางมองไปยังป๋ายเสี่ยวเฟยทำให้เขาเย็นเยียบถึงลำคอ
นี่เป็นการพบกันครั้งแรกตั้งแต่เหตุการณ์ที่หอพัก สีหน้าของฉินหลิงหยานเพียงพอที่จะบ่งบอกความคิดนางได้
‘เหตุใดเจ้ายังไม่ตาย!’
หากแต่ความสนใจของป๋ายเสี่ยวเฟยจับจ้องไปที่ ‘สหาย’ ที่นางพามา
‘สองคนนี้เป็นสหายนาง? ไม่ใช่เครื่องจักรล้างแค้นหรอกหรือ!?’
ท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจบอกตนเองได้ว่าทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนนางเพราะฉินหลิงหยานต้องไปเสาะหาพวกเขามาเพื่อการนี้แน่นอน!
ยิ่งพวกเขาทั้งสามนั่งลงยิ่งยืนยันความคิดของเขา!
“สหายทั้งสองของข้ายังไม่ได้ทานอะไร คงไม่ถือสาหากข้าสั่งอาหารเพิ่มใช่หรือไม่?”
“แน่นอน สั่งตามที่เจ้าอยากเพราะป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นคนจ่าย”
เสวี่ยอิ่งตอบกลับทันควันไม่ปล่อยโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวเฟยแม้แต่น้อย ท่าทีของนางราวกับนัดแนะกันมานานแล้ว...
ฉินหลิงหยานวางรายการอาหารลงอย่าง ‘พึงพอใจ’ หลังจากนางสั่งอาหารมากกว่าที่เสวี่ยอิ่งสั่งอย่างน้อยสองเท่า
เป็นครั้งแรกในชีวิตนางรู้สึกว่าการสั่งอาหารช่างรื่นรมย์เหลือกัน!
“พวกเจ้าพูดถึงไหน? เชิญต่อได้เลย ข้านั่งฟังเฉยๆ”
สีหน้าของนางยังพอกล่าวได้ว่ามีความเป็นมิตร แน่นอนว่าเมื่อนางหันมามองป๋ายเสี่ยวเฟยใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
“พวกเราพูดถึงเรื่องที่ศิษย์พี่หญิงหลิงหยานต้องการจบเรื่องนี้อย่างไร ไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้ได้ ในเมื่อท่านมาแล้วก็เชิญกล่าวเถิด”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเผยให้เห็นความไร้ยางอายอีกครา เขาไม่สนใจแยแสสีหน้าของฉินหลิงหยานแม้แต่น้อยขณะผลักดันบทสนทนาสู่เรื่องหลัก
“หนึ่งเดือน! ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หลังจากนั้นเราจะประลองกัน ข้าจะพาสหายมาสี่คนส่วนเจ้าพามากี่คนก็ได้ ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร เรื่องระหว่างเราถือว่าจบกัน! แน่นอนว่าอาจารย์ไม่อาจเข้าร่วมการประลองนี้”
ทุกคนในที่นี้ตกตะลึงพรึงเพริดทันทีเมื่อได้ยิน
‘ประลองกับศิษย์พี่!? แถมยังห้าคน!?’
‘นางตั้งใจสังหารพวกเราหรือ!?’
ขณะที่พวกเขายังไม่หายตื่นตระหนก เป็นป๋ายเสี่ยวเฟยที่รับข้อเสนอราวกับไม่ได้หยุดคิดแม้แต่น้อย ‘ตกลง!’
“ข้าจะเอาชื่อเจ้าออกจากอันดับค่าหัว แต่เจ้าห้ามแอบอ้างชื่อข้าอีกในอนาคตและเจ้ายังห้ามกุเรื่องเกี่ยวกับข้าด้วย หากข้าจับได้ว่าเจ้าทำ ข้าจะใส่ชื่อเจ้าลงไปในอันดับค่าหัว!”
ร่องรอยแดงระเรื่อปรากฎขึ้นบนใบหน้าเย็นเยียบของนาง นางไม่ได้กล่าวว่าป๋ายเสี่ยวเฟยกุเรื่องอันใดไว้ แต่สีหน้าของนางอธิบายทุกอย่าง
“ไม่มีปัญหา”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มเยาะอย่างไม่แยแส เพราะเขาไม่ได้ต้องการสถานะของนางอีกต่อไป
“นั่นคือทั้งหมดที่ข้าอยากพูด ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้”
ฉินหลิงหยานถอนหายใจอย่างโล่งอกเล็กน้อยรู้สึกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ขอเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยไม่พูดจาเหลวไหลอีก นางก็สามารถลบข่าวปลอมพวกนั้นได้ในเวลาสั้นๆ
เมื่อพวกเขาพูดคุยกัน คนที่เหลือจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยท่าทีเหม่อลอย พวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวเฟยกล้าหาญ แต่พวกเขาไม่คิดว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะหาญกล้าถึงขนาดไม่หวั่นเกรงศิษย์พี่หญิงที่เขายั่วโทสะแม้แต่น้อย!
ในระหว่างนี้ บนโต๊ะเต็มไปด้วยจานอาหาร
“ไม่ว่าจะอย่างไรพวกเราก็นั่งโต๊ะเดียวกันแล้ว มาดื่มอวยพรกันเถิด?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยืนขึ้นใบหน้าเปื้อนยิ้มในมือถือแก้วไวน์
ทุกคนจากห้องเรียนคนเถื่อนยกแก้วไวน์ขึ้นตาม สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังฉินหลิงหยาน
“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังในหนึ่งเดือนหลังจากนี้”
ฉินหลิงหยานยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดขณะเอ่ยอย่างเย็นชา...