GE441 วิชาปรุงโอสถปีศาจ ศิลาฟื้นฟู [ฟรี]
อีกครึ่งเดือนจึงจะครบกำหนด หนิงฝานเฝ้ารอให้ศิลาฟื้นฟูเตรียมการเสร็จ ในระหว่างนั้น หลังจากที่เขาทำให้ระดับร่างกายเสถียร เขาก็ใช้เวลาไปกับการศึกษาอักษรกู่ถัวอยู่ภายในเผ่าหกปีก
อักษรอสูรและปีศาจมีความคล้ายคลึงกัน แต่ละอักษรที่สลักเป็นวิชา แฝงด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของเผ่าพันธุ์… นอกจากอักษรกู่ถัวแล้ว ยังมีอักษรของปีศาจอีกหลายๆเผ่าพันธุ์ให้เห็น
หนิงฝานแค่เพียงอ่านทำความเข้าใจ ไม่ได้ตั้งใจจะฝึกฝนวิชาใด ที่สำคัญเขายังค้นพบเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง นั่นคือนอกจากอักษรอสูรที่ใช้เสริมพลังให้กับบางสิ่งได้แล้ว อักษรปีศาจก็ทำได้เช่นเดียวกัน
เพียงแต่การใช้อักษรปีศาจได้นั้น จำเป็นต้องใช้โลหิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจโบราณ ดังนั้น วิชาที่สร้างด้วยอักษรปีศาจเหล่านั้นจึงได้ถูกลืมเลือน ปีศาจรุ่นหลังจึงหันมาสนใจวิชากายที่สืบทอดทางสายเลือดมากกว่า
หนิงฝานทำได้เพียงถอนหายใจ เผ่าพันธุ์อสูรสูญเสียจิตวิญญาณ ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจก็สูญเสียโลหิต หากจะกล่าวแล้ว ในบรรดาผู้คนมากมาย อาจมีเพียงหนิงฝานคนเดียวที่ครอบครองทั้งจิตวิญญาของเผ่าพันธ์ุอสูร และโลหิตของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
หากในอนาคต เขามีโอกาสได้ครอบครอง ‘หัวใจ’ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาอาจกลายเป็นผู้ทรงพลังจนแทบจะไร้ผู้ต้าน
“จิตวิญญาณคือวิชา… โลหิตคือร่างกาย… แล้วหัวใจคือสิ่งใด...”
หนิงฝานหลับตา ฟังเสียงหัวใจของตนที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ แม้ยามนี้เขาจะยังไม่เข้าใจ แต่ในอนาคต เขาจะหาคำตอบให้ได้
ในเผ่าหกปีกมีผู้ที่บรรลุและเข้าใจในเต๋าของวิชากายหลายคน หนิงฝานจึงได้ประโยชน์จากคนเหล่านั้นไม่น้อย
ตั้งแต่ที่หนิงฝานนำตำราที่คัดลอกกลับมาอ่านในที่พัก เฟินซื่อมาหาเขาทั้งหมด 4 ครั้ง เพื่อนำโอสถมามอบให้ตามคำสั่งของเฉวียนยี่
นอกจากนี้เขายังได้ตำหรับโอสถอีกหลายชนิด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำความเข้าใจกับโอสถของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
เผ่าพันธุ์อสูรมีโอสถเป็นคนของตนแต่ไม่มาก ผิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจกับมนุษย์ที่มีโอสถอยู่มากมาย แต่ละชนิดล้วนไม่ธรรมดา
แต่หากเทียบอานุภาพของโอสถแล้ว ราวกับว่าโอสถของเผ่าพันธุ์ปีศาจทรงอานุภาพยิ่งกว่าโอสถของมนุษย์
แต่ด้วยที่โอสถนั้นรุนแรง หากร่างกายไม่ทรงพลังก็อาจบาดเจ็บ เหตุที่เผ่าพันธุ์ปีศาจมีโอสถที่รุนแรง เพราะพวกมันมีร่างกายที่แข็งแกร่งมาแต่กำเนิด หากเทียบพลังในระดับเดียวกัน เผ่าพันธุ์ปีศาจจะทรงพลังกว่าทุกเผ่าพันธุ์
ดังนั้นการที่จะมีโอสถที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
จากตำราที่ได้อ่านและอักษรกู่ถัว หนิงฝานได้ทราบว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจมีวิชาปรุงโอสถที่ไม่ธรรมดาอยู่ 2 วิชา นั่นคือ ‘วิชาปรุงโอสถสามกระจ่าง’ และ ‘วิชาปรุงโอสถเผาโลหิตห้าผันแปร’ ซึ่งทั้งสองวิชานี้แตกต่างจาก ‘วิชาปรุงโอสถเก้าผันแปรแห่งวารี’ ราวกับคนละขั้ว ทั้งสองวิชาปรุงโอสถนั้นคือวิชาที่ปีศาจโบราณได้ตกทอดเอาไว้ จึงนับเป็นวิชาที่ล้ำค่าขอเผ่าปีศาจ
แต่ในรุ่นหลังๆ นักปรุงโอสถของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็เริ่มน้อยลงจนน่าใจหาย
หนิงฝานเข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเผ่าพันธุ์ปีศาจรุ่นต่อมาไม่เข้าใจอักษรโบราณ… ยามนี้หนิงฝานมีโอกาสได้เรียนรู้แล้ว เขาจึงไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
หนิงฝานพยายามศึกษาวิชาปรุงโอสถของเผ่าพันธุ์ปีศาจมากมาย ทำให้ความเข้าใจในโอสถของเผ่าพันธุ์ปีศาจเพิ่มมากขึ้น
เมื่อยามที่อยู่เกาะอัสนีเทพ จิตวิญญาณสมุนไพรของหนิงฝานยกระดับไปยังโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นสูง ซึ่งทำให้เขาปรุงโอสถในระดับนั้นได้
ยิ่งด้วยระดับพลังของหนิงฝานยามนี้ สมควรเหนือชั้นกว่านักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นสูงทั่วๆไป
หนิงฝานนั่งมองโอสถผันแปรที่ 5 ที่เฟินซื่อเอามาให้ โอสถชนิดนี้คือโอสถที่ใช้ยกระดับร่างกาย นามว่า โอสถกระดูกปีศาจ เป็นโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นต้น และก็ยังมีโอสถชนิดอื่นๆปะปนกันไป
โอสถส่วนใหญ่ที่ได้มาล้วนเป็นโอสถยกระดับร่างกาย หลังจากกินเข้าไปหลายเม็ด ร่างกายของหนิงฝานก็ยิ่งแข็งแกร่ง นับว่าโอสถเหล่านั้นน่าพึงพอใจไม่น้อย
ในเผ่าหกปีกมีตำรับโอสถมากมายก็จริง แต่ไร้ซึ่งนักปรุงโอสถที่จะปรุงมันได้ อย่างมากในเผ่าก็มีเพียงนักปรุงโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นต้นเท่านั้น
หนิงฝานสนใจตำรับโอสถผันแปรที่ 5 ขั้นสูงตำรับหนึ่ง นามว่า โอสถผันปีศาจ โอสถชนิดนี้เหมาะกับผู้มีร่างกายอยู่ในขอบเขตกระดูกหยกขั้นสูงสุด มันจะช่วยเพิ่มโอกาสการทะลวงขอบเขตกายทองคำมีมากขึ้นอีก 2 ใน 10 ส่วน แต่ถึงขอบเขตกายทองคำจะกินมันเข้าไป ร่างกายก็ยังระดับไม่น้อย หนิงฝานจึงตัดสินใจจะปรุงมันด้วยตัวเอง
ขอบเขตกายทองคำที่แท้จริงนั้นทรงพลังมาก ในขอบเขตนี้ร่างกายจะสร้างโลหิตทองคำที่มีผลกับการยกระดับคงามแข็งแกร่งของร่างกาย ตอนนี้หนิงฝานก้าวเข้าสู่ขอบเขตกายทองคำได้แค่ 1 ใน 4 ส่วน ร่างกายของเขาจึงได้สร้างโลหิตทองคำขึ้น 25 หยด หากมีโลหิตทองคำถึง 100 หยด จะนับว่าเขาบรรลุขอบเขตกายทองคำอย่างสมบูรณ์ แต่หากสร้างโลหิตทองคำได้เป็น 300 หยด เขาจะทะลวงขอบเขตกายทองคำที่ 2 แต่หากจะบรรลุขอบเขตกายทองคำที่ 3 เขาต้องสร้างโลหิตทองคำให้ได้ถึง 1000 หยด หากจะบรรลุขอบเขตกายทองคำที่ 4 ต้องมีโลหิตทองคำถึง 2000 หยด สุดท้าย การจะทะลวงขอบเขตกายทองคำขั้นสุดท้าย ต้องมีโลหิตทองคำ 3600 หยด
ถัดจากขอบเขตกายทองคำไปคือขอบเขตกายนิพพาน ซึ่งแข็งแกร่งเทียบเท่าขอบเขตไร้แบ่งแยก...
ตำรับโอสถผันปีศาจของหนิงฝานจะทำให้เขาทะลวงขอบเขตกายทองคำได้ แม้จะอยู่ในขอบเขตกายทองคำ มันก็ยังจะช่วยเขายกระดับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
แต่น่าเสียดายที่ยังขาดสมุนไพรสำหรับโอสถผันปีศาจอยู่หลายชนิด จึงไม่อาจเริ่มปรุงโอสถได้ทันที
ผ่านไปครึ่งเดือน ข่าวการถูกบุกจู่โจมของเผ่าหกปีกแพร่ไปทั่วทะเลไร้สิ้นสุด ขุมกำลังมากมายเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อหวังเข้ายึดครอง หนึ่งในนั้นคือเผ่าเนตรปีศาจและเผ่าเขาคู่
เพียงผู้ที่มาไม่มีขอบเขตไร้ดัดแปลงมาด้วย เมื่อพวกมันรู้ว่าหนิงฝานและเยว่หลิงคงอยู่ในเผ่า จึงไม่กล้าเข้าจู่โจม
หนิงฝานให้หลิงคงคอยปกป้องศพนางสวรรค์ เพื่อไม่ให้ใครมาทำร้ายนาง ส่วนศพนางสวรรค์ที่ฟื้นฟูทะเลสติได้ไม่น้อย ความรู้สึกต่างๆของนางจึงค่อยๆเริ่มกลับมาบ้าง ทุกครั้งที่นางหวงหรือมีความสุข นางจะกัดหนิงฝานจนเป็นรอย
นอกจากนี้นางจะรู้จักการหาข่าว ซึ่งนางได้บอกสิ่งที่นางรู้กับหนิงฝาน
ในวันที่หนิงฝานมอบอนุสรณ์ปีศาจที่ไม่มีประโยชน์ให้กับราชาสุสานบุบผา ราชาสุสานบุบผา เผ่าเนตรปีศาจ และเผ่าเขาคู่ได้ต่อสู้กันอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายอนุสรณ์นั่นก็ตกอยู่ในมือของราชาสุสานบุบผา
การที่พวกมันทั้งสามร่วมมือ แต่ก็จบลงด้วยนิกายสุสานบุบหักหลัง ซ้ำยังได้อนุสรณ์ปีศาจไปครอง สร้างความอับอายใหญ่หลวงให้กับเผ่าปีศาจทั้งสอง
ยามนี้จะเหลือก็เพียงอนุสรณ์ปีศาจที่เผ่าปีศาจทั้งสองถือครองไว้เอง และยามนี้ก็ไม่รู้ว่าพวกมันเปิดฉากต่อสู้แย่งชิงกันหรือยัง
หลิงคงได้พูดคุยกับหนิงฝานในวันที่เขาจงใจชิงอนุสรณ์ปีศาจ และคืนให้ราชาสุสานบุบผา ระหว่างที่พูดคุย นางไม่เห็นว่าหนิงฝานจะเดือดเนื้อร้อนใจ ราวกับเขาจงใจทำบางสิ่งลงไป
หนิงฝานไม่ได้เล่าให้นางฟังว่าเขาดึงเอาปราณปีศาจที่อยู่ภายในนั้นออกมาทั้งหมด ทั้งยังสลักอักษรเหล่านั้นมาเก็บไว้แล้ว... เหตุที่เขาไม่บอกนาง เพราะกลัวว่าความลับจะแพร่งพราย หากเรื่องนี้รู้ไปถถึงหูแดนสวรรค์ เซียนจำนวนมากอาจเคลื่อนไหว
หากรู้มากก็จะยิ่งเป็นภัยมาก ดังนั้นการที่ไม่บอกนางนับว่าปลอดภัยกับตัวนางมากกว่า
ครึ่งเดือนผ่านไป...
ยามนี้เผ่าหกปีกเตรียมศิลาฟื้นฟูให้ใช้ได้แล้ว อาการบาดเจ็บของเฉวียนยี่ก็ดีขึ้น จึงนำหนิงฝานไปยังศิลาฟื้นฟูด้วยตนเอง
เขามุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นหอคอยสูงหมื่นจ้า เป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของเผ่า และเป็นเขตหวงห้ามที่ไม่ให้ผู้ใดเข้าไป
ในรอบรัศมีของหอคอยแสนลี้ มีข่ายอาคมถูกวางเอาไว้นับ 100 ชั้น… หอคอยแห่งนั้นแบ่งออกเป็น 7 ชั้นย่อย แต่ละชั้นอัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการรักษา
และหอคอยแห่งนั้นก็คือศิลาฟื้นฟูของเผ่าหกปีก
ใต้หอคอยแห่งนั้นมีโลหิตและซากศพปีศาจจำนวนมากที่ถูกเตรียมเอาไว้
ผู้ที่อนุญาติให้เข้าไปในหอคอยแห่งนั้นคือหนิงฝานเพียงผู้เดียว คนอื่นๆในเผ่าไม่มีสิทธิ์
หนิงฝานยอมทำทุกสิ่งก็เพื่อจะได้ใช้ศิลาฟื้นฟูรักษาศพนางสวรรค์ในวันนี้
หากมีผู้ใดในเผ่าหกปีกขัดขวาง หนิงฝานจะทำลายที่นี่ทิ้ง
“หอคอยสีเงินแห่งนี้คือสถานที่ที่จะช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้… เมื่อครั้งที่เผ่าหกปีกของข้ายิ่งใหญ่ บรรพบุรุษของเราเคยได้เป็นสหายกับนักบวชสตรีผู้หนึ่งของ ‘บ่อหยกคุนหลุน’ แห่งแดนสวรรค์ตะวันตก ท่านผู้นั้นจึงได้มอบหอคอยนี้เอาไว้เป็นของขวัญ… หอคอยแห่งนี้แบ่งออกเป็น 7 ชั้น เรียงตามขอบเขตพลังตั้งแต่ขอบเขตเปิดเส้นชีพจรไปจนถึงขอบเขตไร้แบ่งแยก ซึ่งในแต่ละชั้นจะมีพลังการรักษาที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ส่วนสหายเต๋าสมควรเข้าไปยังชั้น 5 แต่สำหรับภรรยาท่านแล้ว ข้าเกรงว่านางอาจทนพลังการรักษาในชั้น 5 ไม่ได้”
“ขอบคุณสหายเต๋าที่เตือน” หนิงฝานจ้องมองหอคอยพลางขบคิด
หอคอยแห่งนี้คล้ายกับหอคอยของวิหารสาบสูญมาก
วิหารสาบสูญเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งของแดนสวรรค์เหนือ มีหอคอยที่ช่วยเร่งเวลาการฝึกฝนจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป
บ่อหยกคุนหลุนเองก็เป็นขุมกำลังระดับหนึ่งของแดนสวรรค์ตะวันตก ขึ้นชื่อเรื่องหอคอยสำหรับฟื้นฟูรักษา
บ่อหยกคุนหลุนคือขุมกำลังของซื่อหวูเสีย ร่างจริงของนางคือนักบวชของที่นั่น
ในอดีตยามที่หนิงฝานไปช่วยน้องชายจากนิกายเทียนหลีโม่ เขาเอาชนะซื่อหวูเสียแล้วจับนางมาลบความทรงจำ
เมื่อขบคิดดูดีๆ ดูเหมือนยามนั้นที่นางชิงตัวหนิงกู่ไป อาจไม่ใช่เจตนาของนาง
และเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้ปล่อยนางไป เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่านางจะไม่ทำร้ายจื่อเฮ่อ… ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะได้คำตอบแล้ว เพียงแต่มันค่อนข้างหน้าเศร้า
“ซือซือ...” ที่หนิงฝานยอมปล่อยนางไป ไม่ใช่เพราะนางคือนักบวชแห่งบ่อหยกคุนหลุน แต่เป็นเพราะนางคือซือซือเท่านั้น...
หากนางประสบอันตราย ไม่ว่ายังไง เขาก็จะช่วยนาง… นางคอยปกป้องจื่อเฮ่อ คอยดูจื่อเฮ่ออยู่ตลอด นางไม่มีทางทำร้ายจื่อเฮ่อ
ผิดกับหนิงฝานที่เคยทำร้ายนาง…
“แสง...” ศพนางสวรรค์ยื่นมือน้อยๆของนางกุมมือหนิงฝานไว้ นางสัมผัสได้ถึงความทุกข์ใจของหนิงฝาน จึงอยากจะปลอบเขา
“เหว่ยเหลียง… ถึงข้าจะหาดวงจิตของเจ้าพบ แต่ข้าก็ไม่อาจทำให้ดวงจิตของเจ้าคืนร่างได้… ถึงข้าจะรักษาทะเลสติของเจ้าได้ แต่ก็เจ้าก็ยังไม่อาจได้ดวงจิตของเจ้าคืนร่างได้ บางทีเจ้าอาจเป็นได้เพียงศพปีศาจเช่นนี้… จื่อเฮ่อ เซียวหวน เหว่ยเหลียงน้อยในป่าภูติพราย พวกนางทั้ง 3 คือดวงจิตของเจ้า...”
ศพนางสวรรค์ยื่นมือน้อยๆของนางมาป้องปากหนิงไว้ ไม่ให้เขากล่าวต่อ
“แสง… ดี… ข้า… มาก...”
“ข้า… มี… ความสุข… มาก… ผีเสื้อ… น้อย...”
“ไป...”
นางจูงมือหนิงฝานไปยังหอคอย ยามนี้นางไม่ได้เป็นเพียงศพปีศาจแล้ว นางมีสติหยั่งรู้มากกว่าเดิม และเริ่มเข้าใจที่จะปลอบประโลม
“เยว่เอ๋อร์..” หนิงฝานหันมองเยว่หลิงคง
นางเองก็ราวกับจะรู้ความคิดหนิงฝาน จึงกล่าวขึ้นก่อน “เจ้าพาเหว่ยเหลียงไปรักษาเถอะ… ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง ข้าจะไม่ให้ใครมารบกวนพวกเจ้าเด็ดขาด!” นางกล่าวพลางหันมองไปยังคนของเผ่าหกปีกเพื่อข่มขู่
นางเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลง มีนางเป็นคนคุ้มกันให้ ผู้ใดจะกล้ารบกวนหนิงฝาน หากผู้ใดกล้า นางจะสังหารมันทิ้งทันที
คนของเผ่าหกปีกไม่กล้ากล่าวคำเพราะหวาดกลัว พวกมันเห็นแล้วว่าหลิงคงแข็งแกร่ง นางคนเดียวเอาชนะขอบเขตไร้ดัดแปลง 2 คน ขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลงอีก 2 คนได้เพียงลำพัง
หากราชาสุสานบุบผาไม่มาขัด พวกมันทั้ง 4 คงถูกนางสังหาร
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป ก่อนที่ท่านหมิงจะออกจากหอคอย ห้ามผู้ใดย่างกรายเข้ามาที่นี่เด็ดขาด ผู้ใดขัดคำสั่ง ฆ่า!” เฉวียนยี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ชายชราไม่กล้าปล่อยให้ผู้ใดมารบกวนหนิงฝาน
“เยว่เอ๋อร์… ข้ามอบทาสไร้ดัดแปลงทั้ง 4 ไว้ปกป้องเจ้า” หนิงฝานนำทาสไร้ดัดแปลงออกมาให้นางทั้งหมด เขาจะได้รักษาศพนางสวรรค์อย่างวางใจ
ทาสไร้ดัดแปลงทั้ง 4 ยืนอยู่ข้างหลังหลิงคง พวกมันแผ่แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว ปราณสังหารหนาแน่น แม้เป็นผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงขั้นกลางก็ไม่กล้ายั่วยุนาง
ยามนี้สมควรถึงเวลาที่จะรักษาศพนางสวรรค์แล้ว
ศพนางสวรรค์อยากจะจูงมือหนิงฝานไป แต่หนิงฝานกลับกอดนางไว้แนบอก แล้วมุ่งเข้าหอคอยทันที
“แสง...”
“เหว่ยเหลียง เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะรักษาเจ้าให้ได้! หากหอคอยแห่งนี้ไม่อาจรักษาเจ้าได้ ข้าจะพาเจ้าไปแดนสวรรค์ตะวันตก ไปยังบ่อหยกคุนหลุน… หอคอยรักษาที่นั่นสมควรช่วยเจ้าได้!”
เมื่อก้าวเข้าไปในหอคอย หนิงฝานได้ยินเสียงสวดที่ดูเก่าแก่โบราณดังขึ้น
“ช่วยชีวิต เอาชนะการเข่นฆ่า... สังหารปีศาจ สิ่งใหม่กำเนิดแทนที่”
แสงสองสายฉายอาบร่างของหนิงฝานและศพนางสวรรค์ หนิงฝานสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของนางกำลังดีขึ้นย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อแสงฉายอาบร่างหนิงฝาน เขารู้สึกเจ็บที่หน้าอกราวกับกำลังถูกมันจู่โจม
สีหน้าหนิงฝานแปรเปลี่ยน ศพนางสวรรค์ได้รับการรักษา ส่วนเขากลับถูกจู่โจมราวกับหอคอยแห่งนี้กำลังต่อต้านเขา
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” หนิงฝานขบคิดถึงเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้
จากบทสวดที่ดังอยู่ภายในหอคอย มีใจความอยู่ 2 อย่าง คือ ช่วยชีวิต และเข่นฆ่า
ที่ศพนางสวรรค์ได้รับการรักษาอาจเป็นไปตามความสามารถในการช่วยเหลือ แต่เหตุใดหอคอยถึงมองว่าเขาเป็นปีศาจแล้วจู่โจมเขา?
หอคอยแห่งนี้ตั้งอยู่ในเผ่าหกปีก เผ่าหกปีกเป็นปีศาจ แต่หอคอยกลับไม่เคยทำร้ายคนของเผ่าหกปีก
“หรือจะเป็นเพราะโลหิตของโม๋หลัว!” แววตาหนิงฝานแปรเปลี่ยน
ในโลกของผู้ฝึกตนนั้น มนุษย์ ปีศาจ หรือเทพ ต่างกันแค่เพียงวิธีการฝึกฝน
แต่ในสมัยโบราณ มนุษย์มีหัวใจ อสูรมีดวงจิต และปีศาจมีโลหิต ซึ่งนั่นคือแก่นแท้ของความต่างระหว่าง 3 เผ่าพันธุ์
บางทีหอคอยอาจมองว่าเขาคือปีศาจโบราณ มันจึงจู่โจม… มันคงมองว่าปีศาจที่มีโลหิตปีศาจ คือปีศาจที่แท้จริง
ไม่ว่ายังไงบ่อหยกคุนหลุนก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับปีศาจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต่อต้านปีศาจโบราณเช่นนี้
ยามนี้หนิงฝานอยู่ในหอคอยชั้น 1 การจู่โจมของพลังรักษาในยามนี้ไม่นับเป็นอันใด
หนิงฝานขบคิด หากไปยังชั้นที่สูงกว่านี้ ศพนางสวรรค์น่าจะได้รับการรักษาที่ดีขึ้น แต่หนิงฝานก็ไม่มั่นใจว่าจะทนกับพลังการรักษาได้มากขนาดไหน
“แสง… โลหิต...” นางมองเห็นบาดแผลของนางที่ได้รับการเยี่ยวยา จึงรู้สึกดีใดมาก
แต่เมื่อนางเหลือบไปเห็นโลหิตที่มุมปากหนิงฝาน นางจึงเริ่มสงสัยและกังวล นางรู้ว่าโลหิตนั่นหมายความว่าหนิงฝานบาดเจ็บ
เหตุใดเขาถึงบาดเจ็บ? นางไม่เข้าใจ แสงนั่นสมควรจะรักษาเขา?
“อย่าคิดมากเลย ข้าไม่เป็นไร เราขึ้นไปข้างบนเถอะ”
หนิงฝานจับมือนางเดินขึ้นไปบนชั้นสอง เขาไม่สนใจว่าตนเองจะบาดเจ็บมากขนาดไหน เขาแค่ต้องการพานางไปยังชั้นที่สูงสุดให้ได้...