เซียนเหนือวิถี บาทที่ 111 (ฟรี)
บาทที่ 111
และแล้วก็ถึงวันเวลาที่ทุกคนจะต้องเข้าร่วมคัดเลือกศิษย์ของสำนักต่างๆ ซึ่งปกติแล้วผู้ที่เข้าถึงเขตแก่นปราณที่มีอายุไม่เกินยี่สิบห้าปีมักจะได้รับการเลือกในทันทีแต่ก็จะต้องแสดงฝีมือให้กับสำนักต่างๆเห็นด้วย ส่วนผู้ที่อยู่ในเขตชีพจรปราณจะต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบสามปี ทั้งยังต้องแข่งขันกันเองแสดงศักยภาพของตนให้กับสำนักต่างๆเพื่อให้รับตนเองเป็นศิษย์ แต่โอกาสที่จะได้สำนักดีๆก็จะลดน้อยถอยลงไปเช่นกันเพราะว่าคนที่อยู่ในเขตชีพจรปราณนั้นมีมากมายนัก
ณ ลานโล่งนอกเมืองซีด้านตะวันตก ปกติสำนักยุทธทั่วเขตตะวันออกจะพากันมารับสมัครศิษย์ใหม่ที่นี่ แต่ไม่ใช่เพียงแต่ที่นี่ที่เดียว พวกเขายังรับสมัครที่เมืองใหญ่เมืองอื่นด้วย
ที่ด้านหน้าลานทดสอบนั้นคนที่จะเข้าไปได้จะต้องมีการตรวจสอบระดับพลังก่อน ซึ่งผู้ที่มีพลังระดับแก่นปราณจะถูกส่งตัวไปยังอีกด้านหนึ่งเพื่อตรวจสอบอายุ แยกจากผู้ที่มีพลังระดับชีพจรปราณที่จะตรวจสอบอายุตรงนั้นในทันที ดังนั้นจึงมีเครื่องตรวจสอบพลังเครื่องใหญ่ตั้งอยู่ด้านหน้าสุด เมื่อวางมือลงไปบนแท่นและปล่อยพลังออกไปในนั้นเล็กน้อย เครื่องก็จะสามารถแสดงผลได้ว่าคนผู้นั้นมีระดับพลังเท่าไหร่
เครื่องตรวจสอบพลังนั้นมีหลายเครื่องเพื่อรองรับคนจำนวนมาก ดังนั้นแถวของคนที่จะเข้าทำการทดสอบนั้นจึงมีไม่มากนักเพียงสองสามร้อยคนต่อแถว
ส่วนเครื่องตรวจสอบอายุนั้นสำหรับระดับแก่นปราณแล้วมีเพียงเครื่องเดียว และสามารถแสดงผลทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปโดยไม่ต้องแผ่พุ่งพลังเข้าไปในนั้นแม้แต่น้อย ซึ่งหากว่าคนที่ก้าวเข้าไปนั้นมีอายุเกินยี่สิบห้ามันจะส่งเสียงร้องเตือนโดยทันที และแน่นอนว่าผู้เฝ้าเครื่องก็จะไม่ปรานีคนที่คิดคดโกงคนนั้นทันทีเช่นกัน พวกเขามักจะถีบคนผู้นั้นกระเด็นออกมาในทันทีโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
ถัดจากเครื่องทดสอบอายุแล้ว ก็จะเป็นลานกว้างสำหรับการประเมินฝีมือ ซึ่งก็จะมีหลากหลายวิธีตามแต่ละกฏเกณฑ์ของแต่ละสำนักจะวางเอาไว้ ซึ่งสำนักที่จะวางกฎเกณฑ์การประเมินนั้นก็คือสำนักใหญ่ทั้งเจ็ด นั่นก็คือสำนักกระบี่เมฆาวายุ อารามจิตพิสุทธิ์ พรรคมังกรท่อง ตำหนักสราญรมย์ ยอดเขาเทียมเซียน ค่ายคุณธรรม วิมานวาสนา
สำนักกระบี่เมฆาวายุนั้นจัดตั้งแคร่กระบี่ อารามจิตพิสุทธิ์เพียงเลือกหญิงสาวจึงไม่สนใจจัดตั้งเครื่องมืออะไร พรรคมังกรท่องจัดตั้งหินใหญ่หลายก้อนให้ยก และแท่นทดสอบพลัง ตำหนักสราญรมย์จัดวางเครื่องดนตรี หมากล้อม ชุดพู่กันม้วนกระดาษ ยอดเขาเทียมเซียนนั้นเน้นหนักทางด้านการผลิตสิ่งต่างๆ เขาเพียงถามคำถามให้ผู้สนใจตอบ ค่ายคุณธรรมเน้นถามคุณธรรมและดูบุคลิกลักษณะโหงวเฮ้งของผู้เข้าทดสอบ ส่วนวิมานวาสนานั้นเท่าที่ผ่านมา พวกเขามีศิษย์น้อยมากและคนที่รับไปแต่ละคนนั้นเกิดจากความต้องตาต้องใจไร้กฏเกณฑ์ใดๆทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าจะเป็นเขตแก่นปราณหรือชีพจรปราณเสียด้วยซ้ำ
แถวแต่ละแถวหดสั้นลงไปเรื่อยๆ สี่ดรุณีนั้นรอเขาอยู่นอกลาน เพราะว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนถูกกันออกไปจากที่แห่งนั้น แต่รอบๆตัวของพวกเธอนั้นคราคร่ำไปด้วยผู้ชายไม่ว่าจะหนุ่มหรือสูงอายุ
ชุดของเธอนั้นโค้งเว้าได้สัดส่วน ออกแบบมาขับเน้นความสวยของหญิงสาวมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามชุดของพวกเธอก็ดูแทบไม่แตกต่างไปจากชุดปกติเท่าไหร่นัก เพียงแต่มีการปรับปรุงบ้างเล็กน้อยเท่านั้น
ที่โดดเด่นก็คือพวกเธอแต่ละคนนั้นหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หน้าตาสดใส เมื่อหงเซียวได้พูดถึงการปรับปรุงสภาพผิวกาย ส่วนสัด ความสวยงาม ความเป็นธรรมชาติ พวกเธอที่ห่วงเรื่องนี้อยู่แล้วจึงสามารถจัดการปรับปรุงตัวเองได้อย่างง่ายดายด้วยปราณเซียนไร้ลักษณ์
พวกเธอต่างคนต่างมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง จินหลินสดใส เหมยเหมยนุ่มนวล ซิ่วจูน่ารัก และซีชี่ที่สำรวม
มีชายหลายคนที่หมดความสนใจในงานคัดเลือก พวกเขาหันมาสนใจเด็กสาวเหล่านี้อย่างจริงจัง แต่เมื่อเห็นสายตาดุร้ายไร้อารมณ์ของจินหลินที่กวาดมองมา พวกเขาก็รู้สึกเหมือนมีพลังไร้สภาพ “กดดัน” พวกเขาอย่างต่อต้านไม่ได้
ใช่แล้วจินหลินเพิ่มแรงกดอากาศใส่พวกเขาด้วยปราณของเธอ ดังนั้นใครที่คิดจะเข้าไปใกล้ต่างรู้สึกไม่สบายกาย รู้สึกหนัก หายใจไม่ออก และรู้สึกว่ามีแรงผลักดันพวกเขา
ดังนั้นรอบกายของพวกเธอในระยะสามเมตรจึงไม่มีใครอยู่ในนั้นได้
พวกเธอเห็นหงเซียวที่งดงามสง่าถือพัดจีบเดินเข้าไปยังแท่นตรวจสอบพลัง และสร้างความฮือฮาให้กับทุกคนเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่ดูเป็นคุณชายมากนี้ถึงกับมีพลังปราณในเขตแก่นปราณ จนสาวๆหลายคนที่จ้องมองเขาโดดเด่นนับตั้งแต่เข้าไปในแถวแล้วอดกรีดร้องในใจด้วยความหลงไหลไม่ได้
“เจ้าตามข้ามา” ชายในอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าสวมชุดเครื่องแบบสีน้ำทะเลหน้าตาเฉยเมยเรียกตัวหงเซียวให้ตามเขาไป เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเหมือนกับคุณชายที่เดินตามข้ารับใช้ไม่มีผิด
หงเซียวเดินผ่านเครื่องตรวจอายุไปโดยไม่มีปัญหาอะไร เขาถูกชักนำไปยังลานประเมินฝีมือซึ่งมีคนยืนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วสิบกว่าคน สามคนในกลุ่มนั้นหันมามองเขาแล้วยิ้มให้ พวกเขาไม่ใช่ใครอื่น จูหยาง ลู่ฮวง และเซียหลาน
พวกเขาอยู่ด้านหน้าสุด แยกออกมาจากอีกกลุ่มที่อยู่ด้านหลังซึ่งมีจำนวนนับพัน
“เฮ้ เพื่อนเซียว เจ้ามาช้านะ” จูหยางกระซิบ ในเมื่อในที่นี้ไม่มีใครคุยกันเลย เขาจึงไม่กล้าพูดเสียงดังไปนัก แม้ว่ากรรมการผู้ตัดสินจะยังมาไม่ถึงก็ตาม
จูหยางหันไปมองเด็กสาวทั้งสี่ที่อยู่นอกลานประลองกับบรรดาชายที่รายล้อมแล้วหัวเราะหึหึ กล่าวต่อว่า “แต่ข้าเข้าใจ”
หงเซียวแทบจะเอามือกุมขมับ เจ้าเข้าใจอะไรกัน
ไม่นานนักก็มีเสียงระฆังดังกังวาน คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากเรือนหลังใหญ่ที่ใกล้ๆกับจุดคัดกรองคน พวกเขาเดินเร็วมาก เพียงก้าวอย่างสบายๆไม่กี่ก้าวพวกเขาก็มาถึงบนเวทีของผู้ตัดสินและนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้
“เริ่มการคัดเลือกศิษย์” ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากในหมู่กรรมการด้านล่างก้าวออกมากล่าวเสียงดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ จนทุกคนต่างก็เงียบเสียงลง
“พวกเจ้ารับฟังไว้ นี่เป็นการคัดเลือกศิษย์ของสำนักต่างๆกว่าร้อยสำนัก ดังนั้นจงแสดงฝีมือของพวกเจ้าอย่างเต็มกำลัง หากฝีมือของพวกเจ้าเข้าตาสำนักใด เจ้าก็จะได้เข้าสำนักนั้น และถ้าหากว่ามีสำนักมากกว่าหนึ่งที่ต้องใจเจ้า เจ้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกสำนักที่เจ้าพึงพอใจได้”
“อันดับแรก การคัดเลือกศิษย์ในเขตแก่นปราณ พวกเจ้าสามารถใช้เครื่องมือใดๆ ที่จัดไว้บนลานนี้หรือสิ่งที่เจ้ามี มาแสดงฝีมือหรือความสามารถพิเศษของพวกเจ้าออกมาได้ และหากสำนักไหนต้องการรับเจ้าเป็นศิษย์ สำนักนั้นก็จะเรียกชื่อเจ้าเอง จงเริ่มแสดงฝีมือของเจ้าออกมาได้”
“คนแรก เฉาฮุ่ย” กรรมการขานชื่อ
เฉาฮุ่ยเป็นชายร่างกำยำอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี ก้าวออกมาจากกลุ่มพวกเขา เขาเดินไปยังกองหินใหญ่ และทำการยกน้ำหนักให้ทุกคนดูว่าเขายกได้หนักแค่ไหน ก่อนที่จะประทับฝ่ามือลงไปยังแท่นทดสอบพลังการโจมตี
“ฮึบ” บรึม ฝ่ามือเขาฟาดลงไปอย่างรุนแรงจนฝุ่นฟุ้งตลบ
“สองหมื่นชั่ง” กรรมการขาน ผู้คนต่างพากันฮือฮากับความรุนแรงของหมัดของเขา
“เจ้ามีอะไรจะแสดงอีกหรือไม่” กรรมการถาม
เฉาฮุ่ยพยักหน้า ก่อนที่จะแสดงวิชามวยชุดหนึ่ง ซึ่งเน้นความรุนแรงและการทำลาย ก่อนจะกลับเข้าไปในกลุ่ม
“คนต่อไป จูหยาง” กรรมการขาน
คุณชายจูหยางซึ่งสะพายกระบี่ที่หว่างเอวไปยืนอยู่ตรงกลาง เขาประกบนิ้วชี้ไปข้างหน้า
เช้ง กระบี่ที่ข้างเอวของเขาส่งเสียงกระหึ่มขณะที่พุ่งออกจากฝัก บินไปยังแคร่กระบี่
เช้ง เช้งๆๆๆๆ เมื่อผ่านแคร่กระบี่ กระบี่ทุกเล่มในแคร่ก็ส่งเสียงกระหึ่มและพุ่งออกจากฝักติดตามกระบี่ของจูหยางไป เขาทำการบังคับมันให้บินฉวัดเฉวียนไปทั่วลานชั่วขณะก่อนที่คืนกระบี่ทุกเล่มกลับคืนฝักอย่างถูกต้อง ก่อนจะทำมือเป็นท่าจบคืนกระบี่ของตนเองยังฝักกระบี่ แล้วทำการกลับไปยังกลุ่มคน
“คนต่อไป ลู่ฮวง” กรรมการขาน
ลู่ฮวงเดินไปกลางลาน เขาไม่ได้ทำอะไรมาก เพียงแค่นำกระปุกสุราออกมาเจ็ดกระปุก แล้วส่งให้กรรมการแจ้งว่าส่งให้ผู้ตัดสินทั้งเจ็ด ก่อนที่จะกลับไปในกลุ่ม เมื่อผู้ตัดสินทั้งเจ็ดเปิดกระปุกสุราพวกเขาก็หน้าแปรเปลี่ยน เมื่อกลิ่นหอมของสุราโชยพัดออกมา พวกเขาทดลองลิ้มชิมดู ก่อนที่จะพากันมองดูลู่ฮวงอีกหนึ่งรอบ
“คนต่อไป เซียหลาน” กรรมการกล่าว
เมื่อเซียหลานออกมายืนกลางลาน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เพียงโยนลูกเต๋าขึ้นไปบนฟ้าเกือบร้อยลูก เมื่อทุกลูกตกถึงพื้น มันก็เรียงตัวเป็นตาข่ายจัตุรัสด้านละเก้าลูก รวมทั้งสิ้นเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดลูก ทุกลูกล้วนขึ้นหน้าหนึ่งแต้ม
เมื่อเขาสะบัดมืออีกครั้ง ลูกเต๋าทั้งหมดก็กระดอนขึ้นไปบนฟ้าและตกกลับไปในมือของเขาหายไปในแหวนมิติจนหมด แล้วเซียหลานก็เดินกลับเข้าไปในกลุ่ม
“คนต่อไป ...” กรรมการขาน คนแต่ละคนต่างออกมาแสดงความสามารถ บางคนก็ออกไปดีดพิณ บางคนก็ออกไปแสดงวิชาหมัดฝ่ามือชุดหนึ่ง บ้างก็ใช้เครื่องมือที่กรรมการจัดหาให้ หรือก็นำสิ่งที่ตนเองมีออกมาแสดง มีกระทั่งคนที่มีปราณพิสดารที่ทุกหมัดฝ่ามือจะมีพลังคลื่นกระแทกกระทั้นออกไปรอบด้าน ทำให้แคร่อาวุธ ก้อนหินใหญ่ รวมไปถึงผู้คนบริเวณนั้นส่ายไหว
“คนสุดท้าย หงเซียว” กรรมการขาน