บทที่ 2 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (2)
บทที่ 2 คุณหนูผู้มั่งคั่ง (2)
ห้องโถงขนาดใหญ่ที่ประดับประดาอย่างหรูหราสวยงาม มีเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมอย่างไพเราะเพราะพริ้ง บรรดาผู้ชายผู้หญิงที่สวมชุดหรูหรามีราคากำลังยืนจับกลุ่มคุยกันกระจัดกระจายเป็นกลุ่มๆอยู่ทั่วห้อง
ฉีเซิงนั่งอยู่ในมุม มุมหนึ่งของห้องโถง สีหน้าของเธอสงบราบเรียบไม่มีร่องรอยของความรู้สึกใดๆปรากฏให้เห็นบนใบหน้า งานเลี้ยงในวันนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อฉลองวันให้กับคุณนายหนานกง และเป็นวันที่ซวีเฉิงเยว่ตั้งใจจะเปิดเผยเรื่องของซูอี้อี้กับพ่อแม่ของหนานกงจิ่ง
ความปรารถนาทั้งหมดของซวีเฉิงเยว่คือ การออกจากผู้ชายสวะอย่างหนานกงจิ่ง ปกป้องตระกูลซวีและทดแทนพระคุณพ่อแม่ ทำให้พวกท่านมีชีวิตที่สงบสุขในชีวิตบั้นปลาย
“เฉิงเยว่ ทำไมเธอถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ? แล้วคุณชายจิ่งไม่ได้อยู่กับเธอหรอ?” พูดจบเธอก็นั่งลงข้างๆถัดจากฉีเซิง เจ้าของเสียงพูดเป็นสาวน้อยน่ารัก รูปร่างบอบบาง เส้นผมหยักศกคล้ายลอนคลื่นถูกปล่อยให้ระกับใบหน้าอันอ่อนเยาว์
จากข้อมูลที่ฉีเซิงได้รับมา เจ้าหล่อนชื่อหลานเสวี่ย ดูเผินๆเธอดูเหมือนจะเป็นเพื่อนที่แสนดีของซวีฉีเยว่ ใช่...ครั้งหนึ่งซวีเฉิงเยว่เองก็เคยคิดว่ามันเป็นอย่างนั้น ซวีเฉิงเยว่จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากหลานเสวี่ย เมื่อคราวที่ตระกูลซวีเผชิญกับวิกฤติ คราวนั้นไม่เพียงหลานเสวี่ยไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เธอกลับพูดจาดูถูกถากถางเธอด้วยซ้ำ
ไหนจะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงจิ่งและซูอี้อี้อีกล่ะ ก็เป็นหลานเสวี่ยเพื่อนที่แสนดีคนนี้อีกนั่นล่ะ ที่คาบข่าวมาบอกซวีเฉิงเยว่
“ไม่รู้สิ” ฉีเซิงตอบเสียงเรียบ
“ฮึ..แม่คนแผนสูง! อย่ามาทำตัวแสนดีใกล้ๆฉัน รีบๆไสหัวไปไกลๆ ไป๊ !! ชิ่วๆ !!
หลานเสวี่ยพบว่าปฏิกิริยาตอบรับของซวีเฉิงเยว่ออกจะประหลาดไปนิดนึง แต่เธอก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะคิดว่าซวีเฉิงเยว่อาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดีก็ได้ หากเธอเป็นซวีเฉิงเยว่ แล้วเห็นคู่หมั้นไปทำตัวสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่น เธอก็คงจะรับไม่ได้เหมือนกัน
“เฉิงเยว่ เมื่อกี้ฉันเห็นซูอี้อี้ด้วยล่ะ” เสียงของหลานเสวี่ยเต็มไปด้วยความกังวล แต่สีหน้าของเธอกลับไม่ได้เป็นเหมือนกับน้ำเสียงของเธอนัก
“คุณชายจิ่งเป็นคู่หมั้นของเธอ เธอจะปล่อยให้ยัยผู้หญิงหน้าด้านคนนั้นฉกไปไม่ได้น่ะ” หนานกงจิ่งมักจะถูกเรียกว่าคุณชายจิ่งจากคนในวงการธุรกิจ เนื่องจากพ่อของเขายังไม่ได้ยกตำแหน่งผู้สืบทอดให้กับเขา
ฉีเซิงกวาดตามองท่าทีของหลานเสวี่ย เจ้าหล่อนไม่ได้พยายามที่จะปกปิดเจตนาที่แท้จริงแม้แต่น้อย
ฉีเซิงอดประหลาดใจไม่ได้ ‘ยัยซวีเฉิงเยว่ต้องตาถั่วขนาดไหนที่มองว่า แม่นี่หวังดี?”
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง ที่เคยมีคนกล่าวไว้ว่า IQ ของตัวร้ายผู้หญิงและตัวประกอบมักจะอยู่ใน่โหมดออฟไลน์เสมอ
“ซูอี้อี้มางานนี้ได้ยังไง?” ฉีเซิงเอ่ยถามหลานเสวี่ยแกนๆ เธอยังไม่คิดจะเป็นศัตรูกับหนานเสวี่ยในตอนนี้
แน่นอน...ฉีเซิงรู้อยู่แล้วงานนี้นากเอกต้องมา ปกตินิยายทุกเรื่อง นอกจากพระเอกแล้ว นางเอกมักจะมีชายหนุ่มฐานะสูงส่งไม่ยิ่งหย่อนกว่าพระเอกมาอุทิศตัวดูแลเธอด้วยความปรารถดีอยู่เสมอ
และนั่นล่ะบทของหลิงฮ่าว...พระรองอันดับหนึ่ง ผู้ควงซูอี้อี้มางานนี้
“หล่อนมากับคุณชายเล็กตระกูลหลิง เล่นหูเล่นตากับคุณชายจิ่งแล้ว ยังจะหน้าด้านไปยั่วยวนคุณชายหลิงอีก วิธีต่ำตมไร้ยางอายอย่างนี้ ไม่รู้ว่าแม่นั่นไปร่ำเรียนมาจากที่ไหน” สีหน้าของหลานเสวี่ยเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ฉีเซิงกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่เธอกลับถูกขัดด้วยน้ำเสียงอันน่าดึงดูดเสียงหนึ่งจากทางด้านข้างของเธอ หากตั้งใจฟังดีๆจะสัมผัสได้ถึงความอดกลั้นในน้ำเสียงนั้นด้วย
“เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้?”
“คุณชายจิ่ง” หลานเสวี่ยรีบลุกขึ้นยืนแทบทันที ความกังวลในใจเริ่มก่อตัวขึ้นทันที
‘คุณชายจิ่ง คงไม่ได้ยินที่เธอพูดหรอกใช่ไหม?’
หนานกงจิ่งพยักหน้าให้หลานเสวี่ยอย่างเย็นชาและไม่เป็นมิตร หลานเสวี่ยขยิบตาส่งสัญญานให้กับฉีเซิงก่อนจะขอจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่ฉีเซิงและหนานกงจิ่ง
ฉีเซิงเงยหน้าขึ้นสำรวจใบหน้าของหนานกงจิ่ง ในฐานะพระเอกแน่นอนว่ารูปร่างหน้าตา และออร่าของหนานกงจิ่งย่อมโดดเด่นแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป เธอแอบเดาะลิ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ แม้ว่าสีหน้าของเธอจะดูเหมือนเฉยชาอยู่ก็ตาม เธอไม่ลุกขึ้นด้วยซ้ำ
“ฉันแค่รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายเลยนั่งพัก” เสียงนี้ย่อมเป็นเสียงของซวีเฉิงเยว่ที่หนานกงจิ่งเคยได้ยิน แต่แทนที่เสียงของเธอจะน่ารำคาญเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้น้ำเสียงของเธอกลับเรียบเฉย ‘วันนี้ซวีเฉิงเยว่กินยาผิดมาหรือไง’
“คุณแม่ของฉันกำลังตามหาเธออยู่” หนานกงจิ่งนึกจุดประสงค์ที่เขาตามหาเธอขึ้นมาได้
เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องเดินตามหาเธอด้วยซ้ำ เพราะเธอมักจะเกาะติดเขาไปแทบจะทุกที่ แต่วันนี้เธอกลับไม่มาวนเวียนอยู่รอบๆตัวเขา การที่ต้องออกมาเดินตามหาเธอครั้งนี้มันทำให้เขาหงุดหงิด ยิ่งหนานกงจิ่งนึกถึงตอนที่เห็นซูอี้อี้เดินควงแขนเข้ามาในงานพร้อมกับหลิงฮ่าว ความโกรธในใจของเขายิ่งพุ่งพรวด ยิ่งเมื่อเห็นสองคนนั้นทำท่าทางสนิทสนมกันเป็นพิเศษ สายตาที่มองมาที่ฉีเซิงยิ่งดูเกรี้ยวกราด
“มองฉันทำไม? วันนี้ฉันยังไม่ได้เข้าไปวุ่นวายกับนายด้วยซ้ำ!” ฉีเซิงรู้สึกรำคาญสายตาทิ่มแทงของเขา
‘อะไรกันยะ? แค่เพราะว่านายเป็นพระเอกใช่ไหม นายถึงจะไปเดทกับใครก็ได้ ทั้งๆที่มีคู่หมั้นอยู่ทนโท่ทั้งคน? ต่อให้นายไม่ชอบคู่หมั้นของนายแค่ไหน นายก็ควรไปถอนหมั้นกับเธอให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยไปคบหาดูใจกับคนนายชอบ นี่สิถึงจะเป็นลูกผู้ชายตัวจริงและถือได้ว่าเป็นการกระทำที่รับผิดชอบต่อทั้งคนรักและคู่หมั้น !!!’
“วันนี้อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย” หนานกงจิ่งกดเสียงต่ำเตือน
“ โอ้ ! นี่หน้าตาฉันดูเหมือนพวกชอบก่อเรื่องเรอะ? ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งมากเข้าใจไหม? เข้าใจตรงกันนะ!!’
ทั้งคู่เดินตรงไปยังบันไดชั้นบน ระหว่างทางฉีเซิงปิดปากเงียบ เธอไม่พูดไม่จาไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆกับหนานกงจิ่งทั้งสิ้น
การที่ซวีเฉิงเยว่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน หนานกงจิ่งคิดว่าเธอกำลังเล่นตัวเพื่อให้เขาสนใจ ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บการกระทำของเธอมาใส่ใจ หนานกงจิ่งไม่เคยชอบเธอและไม่มีวันชอบ
ฉีเซิงผู้กำลังใช้ความคิด เพื่อหาหนทางในการถอนหมั้นผงะซวนเซหลุดออกจากภวังค์ เมื่อชนเข้ากับแผ่นหลังของหนานกงจิ่ง “เกิดอะ- ไรขึ้น?” เธอกลืนคำถามลงท้องทันที เมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนอยู่ตรงหน้า
‘นี่คงตรงกับสำนวนที่ว่า ‘หนทางคับแคบพานพบศัตรูใช่ไหม? ซูอี้อี้กับหลิงฮ่าวกำลังยืนอยู่ข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขากำลังจับมือกันอยู่!!!’
หญิงสาวหน้าตาน่ารักแบบไร้เดียงสา ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั้นคือซูอี้อี้ เธอสวมชุดราตรีสีขาวบริสุทธิ์ที่ออกแบบมาอย่างประณีต ตัวชุดออกแบบมาให้รัดตรึงช่วงเอวเพื่ออวดเอวที่เพียวบาง เธอดูสวยบริสุทธิ์ไร้ที่ติ เมื่อรวมกับการแต่งหน้าอย่างเบาๆของเธอ
เมื่อสายตาของเธอประทะเข้ากับหนานกงจิ่ง ซูอี้อี้ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอสังเกตเห็นฉีเซิงยืนอยู่ด้านหลังของหนานกงจิ่ง ร่องรอยความเจ็บปวดก็ฉายแววขึ้นบนใบหน้าของเธอทันที
ฉีเซิงเดินเยื้องผ่างผ่านหน้าหนานกงจิ่งก่อนจะพูดกับเขาว่า “ฉันจะล่วงหน้าไปหาคุณป้าก่อนนะ”
“คุณซวีคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ” ซูอี้อี้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร เธอแสดงสีหน้าราวกับว่ากลัวฉีเซิงจะเข้าใจเธอผิด
ฉีเซิงชะงักฝีเท้าและหยุดลงตรงหน้าของซูอี้อี้ เธอปรายตามองซูอี้อี้ “อะไรที่คุณซู คิดว่าดิฉันเข้าใจคุณผิดคะ?”
‘แหม...คุณนางเอกผู้ยิ่งใหญ่! ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ หล่อนจะมาตอแยฉันทำไม ?’
“ฉัน....” ซูอี้อี้สะอึก เห็นได้ชัดว่า เธอตั้งตัวไม่ถูกกับท่าทางของฉีเซิง
“อย่าให้มันมากไปนักนะซวีเฉิงเย่ว!” หนานกงจิ่งส่งเสียงตำหนิ
‘ไปตายซะไอ้กร๊วก!! ฉันคนนี้ทำอะไร? ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ อย่าถือหางกันให้มากเกินไปหน่อยเลยน่า’ ฉีเซิงสูดลมหายใจลึก
“เผอิญว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันจึงไม่มีอารมณ์จะมาต่อปากต่อคำกับพวกคุณ”
[ โฮสต์ กรุณาหยุดคิดหาวิธีฆ่าพระเอก] เสียงเย็นเยียบของระบบดังขึ้นขัดขวางจินตนาการของฉีเซิง
ฉีเซิงฮัมในลำคอตอบรับระบบ ก่อนจะผละมุ่งหน้าไปหาคุณนายหนานกง
มองตามแผ่นหลังของคนที่เดินจากไป หนานกงจิ่งค่อนข้างจะประหลาดใจ ‘วันนี้ซวีเฉิงเยว่คงจะกินยาผิดมาจริงๆนั่นแหละ’
“ช่วยดูและเธอแทนฉันด้วย” หนานกงจิ่งมองหลิงฮ่าว
“ไม่จำเป็นต้องให้นายมาสั่ง ยังไงฉันก็ดูแลกระต่ายน้อยของฉันอยู่แล้ว”
ความสงสัยของหนานกงจิ่งที่มีต่อซวีเฉินเยว่บินหายไปทันที เมื่อได้ยินประโยคยั่วโมโหของหลิงฮ่าว เขาเขม้นมองหลิงฮ่าว ก่อนจะลูบหัวซูอี้อี้อย่างปลอบประโลม “อย่ากังวลไปเลยนะอี้อี้ ฉันจะรีบแก้ปัญหาเรื่องซวีเฉิงเยว่ให้เร็วที่สุด”
ซูอี้อี้กัดริมฝีปากของเธอก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
โถงทางเดินกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง ทันใดนั้นประตูบานหนึ่งก็เปิดออก บอดี้การ์ดร่างกายกำยำสองคนก็เดินเข้ามา พวกเขาเบี่ยงตัวออกมายืนอยู่ข้างๆประตูอย่างสุภาพ จากชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากประตูบานนั้น ชายคนนี้ไม่ได้สวมชุดทักซิโด้เหมือนกับคนอื่นๆที่มาร่วมงาน บนร่างกายของเขามีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำสนิท ปลายแขนเสื้อถูกพับขึ้นเล็กน้อย จนเผยให้เห็นนาฬิกาแบรนด์ดัง เขาก้าวเดินไปบนโถงทางเดินที่ไร้ผู้คนอย่างไม่รีบร้อน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย