บทที่ 172 หุบเขาชิงวิญญาณ
“อะไรนะ?! เด็กนั่นมีหมาป่าจันทราสีเงินเป็นสัตว์วิญญาณ? และก็หนีไปแล้วด้วย?”
หลังจากที่ผู้อาวุโสจ้าวกลับมารายงาย นายน้อยหนุ่มผู้นั้นก็ระเบิดโทสะออกมา กลุ่มของพวกเขายังคงวนเวียนอยู่รอบๆรังของวิหคเพลิงอมตะ
ปากปล่องภูเขาไฟนี้มีทางเข้าและออกเพียงทางเดียวเท่านั้น หากผู้ที่ออกมาคือเจียงอี้ อย่างนั้นก็สันนิษฐานได้ว่าผู้อาวุโสหงคงจะตายไปแล้วและแม้แต่เห็ดหลินจืออัคคีก็คงจะถูกช่วงชิงไปแล้วเช่นกัน
“แกว๊ก-แกว๊ก!”
เสียงร้องส่งเสียงร้องมาแต่ไกล เมื่อนายน้อยหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงจากนั้นก็ตะโกน “ถอยก่อน!”
การปรากฏตัวของวิหคเพลิงอมตะสองตัวผนวกกับเรื่องที่ว่าผู้อาวุโสหงอาจจะตายไปแล้ว ด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเพียงเท่านี้ เรื่องราวต่อจากนี้ก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น
หากพวกเขาไม่ถอยหนีเสียตั้งแต่เนิ่นๆ มันก็มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับออกไปอีกเลย
มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บใจนักที่พวกเขาลงทุนไปมากมายแต่สุดท้ายผลประโยชน์กลับตกอยู่กับผู้อื่น และทำได้เพียงหลบหนีออกมาพร้อมกับกล้ำกลืนความแค้นลงไป
นายน้อยหนุ่มถูกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวพาหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็จ้องมองไปยังทิศที่เจียงอี้หนีไปตลอดเวลาพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ไอ้สารเลว! หนีได้ก็หนีไป อย่าให้ข้าหาตัวเจ้าพบก็แล้วกัน มิฉะนั้นข้าจะทำทุกวิธีทางเพื่อบดขยี้ตระกูลของเจ้า! ใครก็ตามที่กล้ายั่วยุตระกูลซูแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย มันก็เท่ากับรนหาที่ตาย!”
……
อีกด้านหนึ่ง เจียงอี้มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและใช้เวลาหนึ่งวันในการวิ่งอ้อมหุบเขาหมื่นมังกรเพื่อเข้าสู่อาณาจักรเซิ่งหลิง
หลังจากที่เสียเวลาไปหนึ่งวันในหุบเขาอัคคีเมฆา เจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะหยุดพักและไม่แม้แต่จะตั้งกระโจมค้างแรมหรือเข้าไปพักในเมืองใดๆ เขาทำเพียงแค่หยุดพักเป็นครั้งคราวเพื่อชำระร่างกายตอนผ่านแม่น้ำเท่านั้น
หลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวันทั้งคืน พลังงานในร่างก็ถูกเผาผลาญมากเกินไปส่งผลให้ร่างกายของเขาซูบผอมและมีหนวดเคราที่รุงรังเหมือนกับคนพเนจร
“ย่าห์! เพลงดาบเงาวายุ!”
ตลอดทาง เจียงอี้ใช้เวลาว่างในการฝึกปรือทักษะวิชาระดับปฐพีขั้นสูงทั้งสามที่ได้ร่ำเรียนมาจากสำนักจิตอสูร
ในบรรดาทักษะวิชาทั้งสามนั้น ทักษะประเภทการเคลื่อนไหวเป็นทักษะที่เขาไม่สามารถฝึกได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ส่วนอีกทักษะก็เป็นทักษะประเภทฝ่ามือ แต่มันก็ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ซึ่งทำให้เขาไม่กระตือรือร้นที่จะฝึกมันนัก
ดังนั้นเจียงอี้จึงทุ่มเทสมาธิทั้งหมดกับการฝึกปรือ ‘เพลงดาบเงาวายุ’
ก่อนออกเดินทาง จูเก๋อชิงหยุนได้มอบสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณให้กับเขา แต่ซูรั่วเสวี่ยเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณอยู่ในมือเขา มันจะแสดงอานุภาพออกมาเทียบเท่ากับสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเจียงอี้ก็ยังไม่กล้ายืนยัน ในตอนนี้เขาเพียงแค่ต้องการฝึกเพลงดาบเงาวายุให้ชำนาญก่อนก็เท่านั้น
ย้อนกลับไปตอนที่ยังอยู่ในสำนัก เจียงอี้สามารถจดจำคำบรรยายของเพลงดาบเงาวายุได้อย่างไม่ตกหล่นและหลังจากที่ฝึกปรือไปช่วงหนึ่งแล้ว เขาก็ประสบความสำเร็จในการบรรลุขั้นเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทักษะวิชาระดับปฐพีขั้นสูงจะสลับซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถฝึกถึงขั้นบรรลุโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองวัน
หากบางคนที่มีศักยภาพไม่เพียงพอ บางทีคนผู้นั้นอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อสำเร็จขั้นบรรลุของทักษะวิชานี้
ฟิ้ววว!
หมาป่าจันทราสีเงินเร่งฝีเท้าด้วยความเร็วสูงสุดในขณะเดียวกันเจียงอี้ก็กวัดแกว่งดาบเกล็ดทมิฬอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกครั้งที่ดาบของเขาถูกฟาดฟันออกไป มันก็จะก่อให้เกิดกระแสลมที่รุนแรง ลมพายุทั้งหมดจะมาบรรจบกันที่ปลายกับซึ่งทำให้ดูคล้ายกับมังกรที่แหวกว่ายไปมา
“ไม่ใช่! มันไม่ใช่แบบนี้!”
สภาพแวดล้อมโดยรอบเต็มไปด้วยภูเขาและถิ่นทุรกันดาร ตลอดทั้งทางเจียงอี้ไม่ได้พบมนุษย์หรือสัตว์อสูรเลยแม้แต่ตัวเดียว ตอนนี้เขาเข้ามาในอาณาเขตของอาณาจักรเซิ่งหลิงแล้วและไม่จำเป็นต้องกังวลใจแม้ว่าจะถูกคนอื่นพบตัวเพราะเขามั่นใจว่าไม่มีใครรู้จักเขา
เวลานี้เจียงอี้จดจ่ออยู่กับการฝึกเพลงดาบเงาวายุ แต่ก็น่าเสียดายที่เขายังไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของมันได้
“ตามที่ตำราว่าไว้ ขั้นบรรลุของเพลงดาบเงาวายุสามารถใช้ขับเคลื่อนกระแสลมที่อยู่รอบกายและสร้างเป็นสนามพลังเพื่อตรึงร่างของศัตรู หากศัตรูไม่สามารถหลบหนีได้ การสังหารพวกมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป!”
“แต่ต้องทำอย่างไรถึงจะไปถึงขั้นนั้นได้กันนะ? แล้วสรุปสนามพลังมันคืออะไรกันแน่?”
“สนามพลังก่อตัวขึ้นได้อย่างไร? หรือจะเกิดจากการเหนี่ยวนำของกระแสลม?”
เจียงอี้มืดแปดด้านและจมอยู่กับปัญหาเหล่านี้อยู่หลายวัน แม้ว่าจะกวัดแกว่งดาบเป็นพันครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจสร้างสนามพลังขึ้นมาได้สำเร็จ ทุกการกวัดแกว่งของเขาทำได้เพียงแค่สร้างกระแสลมที่รุนแรงออกมาเท่านั้น
“หยุดก่อน!”
ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิท เจียงอี้ตัดสินใจหยุดพักและเก็บหมาป่าจันทราสีเงินกลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณจากนั้นก็ถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปเพื่อเพิ่มพลังให้กับมัน
ฟับบบ!
หลังจากนั้นเจียงอี้ก็เดินมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของต้นไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นดาบของเขาก็ฟันลงไปด้านหน้าพร้อมกับเหนี่ยวนำกระแสลมที่พัดผ่านไปยังปลายดาบ ดาบเกล็ดทมิฬทิ้งรอยผ่าไว้บนต้นไม้ก่อนที่มันจะระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“พลังทำลายของเพลงดาบเงาวายุไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่ข้ายังไม่สามารถเข้าถึงขั้นบรรลุของมันได้!”
เจียงอี้ถอยหายใจด้วยความเสียใจเล็กน้อย หลังจากที่ทำการทดลองกับต้นไม้อีกต้น เขาก็เริ่มนำเสบียงออกมารับประทาน กว่ายี่สิบสองวันที่เขาใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการฝึกปรือเพลงดาบเงาวายุ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนและไม่รู้ว่าจะไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่ภายในเวลาหกสัปดาห์หรือไม่
“เห็ดหลินจืออัคคี!”
เมื่อคิดถึงสมุนไพรที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ เจียงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขาเดาว่าของสิ่งนี้คงจะช่วยร่นระยะในเวลาในการบ่มเพาะพลังได้อยู่มากโข แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้วิธีปรับแต่งที่ถูกต้อง มิฉะนั้น มันอาจจะเสียสรรพคุณไป
นอกจากนี้เจียงอี้ยังไม่กล้าบริโภคมันสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะพลังที่บ้าคลั่งของมันอาจจะทำให้ร่างของเขาระเบิด
หลังจากที่เติมเต็มกระเพาะจนอิ่มแล้ว เจียงอี้ก็ทำการบ่มเพาะพลังด้วยเม็ดยามังกรปฐพี แต่เป็นเพราะว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากห้องบ่มเพาะพลังทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาลดลงมาก
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน แต่เขาก็ยังไม่สามารถไปถึงจุดสูงสุดของขอบเขตฉูติ่งได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการทะลวงสู่ขอบเขตจื่อฝู่แต่อย่างใด
“ไหมปีศาจนภา!”
เจียงอี้เกือบจะหลงลืมสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ชิ้นนี้ไปแล้ว เขานำมันออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและโคจรแก่นแท้พลังเพื่อขัดเกลามันอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของเขาไม่ใช่พลังวิญญาณและยังไม่รู้วิธีการขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์โดยใช้พลังวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงพึ่งพาวิธีที่ธรรมดาที่สุด นั่นก็คือการใช้แก่นแท้พลังขัดเกลาอย่างช้าๆ
คืนนี้ช่างเป็นค่ำคืนที่เงียบงัน…
วันรุ่งขึ้น เจียงอี้ตื่นขึ้นมาและออกเดินทางพร้อมกับทำความเข้าใจกับเพลงดาบเงาวายุไปด้วย เมื่อถึงยามราตรี เขาก็หาที่พักเพื่อใช้บ่มเพาะพลังและขัดเกลาไหมปีศาจนภา
แต่น่าเสียดายที่แม้จะผ่านไปแปดถึงเก้าวันแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงขั้นบรรลุของเพลงดาบเงาวายุและยังไม่สามารถขัดเกลาไหมปีศาจนภาได้สำเร็จเช่นกัน
“นี่คือภูเขาน้ำเต้าสินะ? เช่นนั้นหุบเขาชิงวิญญาณก็คงอยู่ข้างหน้านี้!”
ด้านหน้าของเจียงอี้ปรากฏภูเขาลูกหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับลูกน้ำเต้า หากดูตามแผนที่ หุบเขาชิงวิญญาณจะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเซิ่งหลิง
หากคำนวณตามระยะทางในตอนนี้ เขาจะสามารถไปถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่ได้ภายในเวลาสิบสามวัน
“ออกเดินทาง!”
เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากหุบเขาชิงวิญญาณแล้ว เจียงอี้ก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป ในเมื่อไข่มุกวิญญาณเพลิงสามารถดูดกลืนเพลิงโลกาได้ ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะมีปัญหาหากต้องการที่จะดูดกลืนเพลิงอเวจีเข้าไปอีก… ใช่ไหม?
“เอ๊ะ มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย?”
ด้วยประสาทการฟังที่ถูกยกระดับโดยแก่นแท้พลังสีดำอยู่ตลอดเวลา ทำให้เจียงอี้สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้อื่นได้อย่างง่ายดายแม้ว่าจะอยู่ห่างออกไป
จากนั้นเขาก็นำหมาป่าปีศาจจันทราสีเงินอ้อมไปอีกทาง ที่แห่งนี้อยู่ไม่ห่างจากพงไพรแห่งบาปมากนัก ดังนั้นการพบเจอกับนักผจญภัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ตลอดทาง เจียงอี้พบเจอกับกลุ่มจอมยุทธสองถึงสามกลุ่ม แต่ด้วยประสาทการฟังที่น่าตกตะลึงบวกกับความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงิน ทำให้การหลบเลี่ยงคนเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
เข้าสู่ช่วงพลบค่ำ ในที่สุดเขาก็มาถึงหุบเขาลึก ตัวเขาซึ่งนั่งอยู่บนหลังของปีศาจหมาป่าที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากหน้าผาสูงชันที่ยื่นออกมา หากทอดสายตามองก็สามารถมองเห็นหุบเขาลึกที่เต็มไปด้วยความมืดมิดได้อย่างไม่ยากเย็น
“พวกเราจะพักกันที่นี่ แล้วค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้!”
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสนิทในยามราตรี เจียงอี้ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยง ไม่นานนักเขาก็พบถ้ำที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลและใช้เป็นที่พักได้ เขาต้องการรอจนถึงวันพรุ่งนี้เพื่อออกสำรวจ หากว่ามันอันตรายเกินไป เขาก็จะยอมแพ้ เพราะอย่างไรเสียตอนนี้เพลิงโลกาก็เพียงพอให้เข้าใช้เป็นไพ่ตายเพื่อเอาตัวรอดไปได้อีกสักระยะแล้ว
“วู้-วู้!”
“วู้-วู้!”
แต่ในช่วงเที่ยงคืน ขณะที่เจียงอี้กำลังสะลึมสะลือ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประหลาดซึ่งไม่ทราบถึงแหล่งที่มา แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะดังก้องอยู่ในหัวของเขา
เสียงประหลาดนี้ราวกับมีมนต์สะกดที่ทำให้เขาถูกล่อลวงให้เดินไปยังในหุบเขาลึก
ดวงตาของเจียงอี้ยังคงปิดสนิทและอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เท้าของเขาเริ่มก้าวเดินออกไปอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้ ในไม่ช้าเขาก็ค่อยๆเดินออกจากถ้ำและมุ่งหน้าตรงไปยังหุบเขาลึก
แต่ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะตกลงไปในหุบเขาลึกนั้น สติของเขาก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งและฟื้นจากสภาวะดังกล่าว…