ตอนที่ 46 เลี่ยงหลบภัยพิบัติด้วยเงิน!
ในคืนราตรีที่เงียบสงบ เมื่อศีรษะของป๋ายเสี่ยวเฟยถึงหมอนเขาก็หลับลึกราวทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเขา
“พี่ใหญ่เฟย! ได้เวลาตื่นแล้ว!!!”
สุ้มเสียงคุ้นเคยดังกังวานอีกครา ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบกระโดดเหยงขึ้นจากเตียงเพราะ ‘คาบเรียนเสริม’ เมื่อวานยังตราตรึงอยู่ในจิตใจ!
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย พวกป๋ายเสี่ยวเฟยวิ่งเข้าไปในห้องเรียนก่อนที่ระฆังจะดัง เมื่อเขานั่งลงก็พลันถอนหายใจโล่งอกออกมา
การไม่ถูกลงโทษเป็นลาภอันประเสริฐ
“หืม ไม่เลว ไม่มีใครมาสาย”
เสวี่ยอิ่งดูราวกับเป็นอสูรร้ายต่อหน้านักเรียนทั้งสิบหกขณะที่นางยืนอยู่ที่แท่นวางหนังสือใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เป็นเช่นไร? เมื่อยขาหรือไม่?”
เมื่อครั้นได้ยินคำถาม นักเรียนทั้งหมดเผยสีหน้าเจ็บปวดเพราะขาทั้งสองไม่เพียงแค่เมื่อย ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาตื่นนอนพวกเขาเพียงหวังอยากสลับขาของตนกับผู้อื่นเหลือเกิน
“พี่หญิงเสวี่ย ท่านบอกว่าวันนี้จะไม่วิ่ง!”
เสียงบ่นโอดครวญดังจากปากโม่ข่าเปิดเผยให้เห็นความในใจของทุกคน อาจต้องมีคนเจ็บตายกันบ้างหากต้องวิ่งอีกในวันนี้...
“แน่นอน ข้ารักษาคำพูด อีกอย่างข้าไม่ใช่คนที่จะสอนพวกเจ้าในคาบเช้า อาจารย์ประวัติศาสตร์จะมาสอนแทน ถึงแม้มันจะน่าเบื่อ แต่อย่าให้ข้าจับได้ว่ามีใครไม่ตั้งใจเรียน!”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยเสียงเย็นชา ในใจทุกคนระรื่นชื่นมื่นขึ้นมาทันที เพราะเพียงพวกเขาไม่ต้องวิ่งพวกเขายินดีทำทุกสิ่ง!
หลังจากนางเอ่ยจบ ชายชราหนวดขาวพลันเดินเข้ามาในห้องก่อนจะทักทายเสวี่ยอิ่งภายใต้สายตาคาดหวังของศิษย์นักเรียนทุกคนในห้อง
“ข้าคืออาจารย์รับผิดชอบสอนประวัติศาสตร์ หูซานตัว หวังว่าพวกเราจะเข้ากันได้ดีในระหว่างสามเดือนนี้”
หูซานตัวเอ่ยตามมารยาทก่อนจะเริ่มการสอน แต่เพราะชื่อเสียงของห้องเรียนคนเถื่อน เขาไม่มีมุมมองที่ดีเกี่ยวกับนักเรียนสิบหกคนพวกนี้นัก มารยาทของเขามาจากหน้าที่การงาน
แต่เขาก็ต้องตกใจ เพราะไม่มีใครสักคนในหมู่สิบหกคนที่ไม่ตั้งอกตั้งใจฟังเขาสอน สายตาของพวกเขาที่ราวกับจ้องมองผู้มีพระคุณช่วยชีวิตยิ่งทำให้เขาประหลาดใจกว่าเดิม
“อาจารย์หู มีบางสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจเกี่ยวกับสงครามระหว่างหลิงเฟิงกับสื่อจิง”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยกมือขึ้นขัดการสอนของชายชรา แต่หูซานตัวกลับไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เพราะเมื่อมีศิษย์ถามคำถามหมายความว่าอย่างน้อยก็มีคนสนใจเรียน...
“พูดมา”
“เทือกเขาไร้ขอบเขตกีดกั้นระหว่างหลิงเฟิงและสื่อจิงเอาไว้ไม่มีทางที่พวกเขาจะเดินทางผ่านมาได้ มีเส้นทางเดียวคือหุบเขาวีรบุรุษที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางเทือกเขาไร้ขอบเขต แต่ข้าได้ยินว่าที่นั่นเป็นเขตหวงห้ามมานานแรมปีจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทหารจำนวนมากจะผ่านทางนั้น พวกเขาสู้รบกันอย่างไร?”
สีหน้าประหลาดใจของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่มีร่องรอยเสแสร้งแม้แต่น้อย แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาได้ยินมาเพราะความเข้าใจเกี่ยวกับหุบเขาวีรบุรุษของเขาล้ำลึกกว่าทุกคนในที่นี้แน่นอน
“ทางทะเล หลิงเฟิงค้นพบเส้นทางปลอดภัยในทะเลมรณะ พวกเขาเดินทางผ่านอาณาจักรพันเกาะในทะเลมรณะ ยึดครองอาณาจักรเล็กน้อยบางแห่งแล้วจึงเริ่มสงคราม”
ป๋ายเสี่ยวเฟยนั่งลงหลังจากได้รับคำตอบ บรรยากาศในห้องสดชื่นขึ้นทันทีเมื่อได้เขาเป็นผู้นำ คำถามมากมายหลังจากนั้นทำให้หูซานตัวอดไม่ได้ที่จะยิ้มแก้มแทบปริเพราะเรื่องเช่นนี้แทบไม่เกิดขึ้นใน ‘บริเวณคนรวย’
คาบเรียนช่วงเช้าไม่อาจเรียกได้ว่าสั้นหรือยาว ศิษย์จากห้องคนเถื่อนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการถกเถียงเรื่องราวต่างๆ หลังจากพวกเขาได้รับการ ‘ฝึกสอน’ จากเมื่อวานช่วงเช้าแล้ว คาบเรียนประวัติศาสตร์ที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายคนไม่ต่างอันใดไปจากคำอวยพรจากสรวงสวรรค์
ในอีกด้าน ภาพลักษณ์ของห้องเรียนคนเถื่อนในใจหูซานตัวเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อเขาเดินออกจากห้อง
“พี่ใหญ่เฟย จะดีแค่ไหนหากเราได้เรียนเช่นนี้ทุกเช้า!”
โม่ข่าอดทอดถอนใจไม่ได้ขณะที่พวกเขาจับกลุ่มอยู่รอบๆ ป๋ายเสี่ยวเฟย ทั้งหวู่จื๋อและสือขุยเอ่ยเห็นด้วยแทบจะทันที
“หากเจ้าเอาแต่เรียนแค่ประวัติศาสตร์ เจ้าไม่กลัวกลายเป็นเหมือนอาจารย์หูซานตัวในอนาคตรึ?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเหลือบมองโม่ข่าอย่างเหยียดหยามก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นเสวี่ยอิ่ง
“อาจารย์หูซานตัวชื่นชมพวกเจ้ามากและข้าเป็นคนที่ให้รางวัลคนดีทำโทษคนผิด เพราะฉะนั้นพวกเราจะไปกินมื้อเที่ยงที่บ้านร้อยรสกัน!”
เสียงโห่ดีใจดังทั่วห้องเมื่อนางกล่าวจบ
ทางสถาบันมีอาหารแจกให้แต่เมื่อเทียบกับอาหารที่ต้องจ่ายเงินแล้วมันช่างต่างราวฟ้ากับดินชนิดที่อาหารพวกแรกแทบจะกลืนไม่ลง อย่างไรก็ตามหากไร้ทรัพย์ก็ต้องอดทนกันไป นอกจากฟางเย่ไม่มีใครในห้องคนเถื่อนที่ร่ำรวยสักคน
ทุกคนจึงตอบตกลงทันทีเมื่อมีคนเลี้ยงมื้ออาหาร
“ข้าขอใช้โอกาสนี้ป่าวประกาศแต่งตั้งป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นหัวหน้าห้อง และเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนเขา ป๋ายเสี่ยวเฟยขออาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงทุกคน”
วินาทีแรกป๋ายเสี่ยวเฟยมีรอยยิ้มเต็มหน้า วินาทีต่อมาเหลือเพียงใบหน้าซีดไร้สีเลือด
เขาคิดไว้ว่าจะกินให้เยอะเพื่อสะสมพลังงานสำหรับเคล็ดวิชากลืนโลกา แต่ความจริงช่างโหดร้าย ไม่เพียงเขาไม่อาจกินอาหารโดยไม่ต้องจ่าย เขายังต้องเสียเงินชนิดแทบกระอักเลือด
แต่เขาไม่อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งเสวี่ยอิ่งได้...
ภายใต้ข้อเสนอแนะของเสวี่ยอิ่ง ป๋ายเสี่ยวเฟยนำทางกลุ่มใหญ่ไปยังบ้านร้อยรสอย่างไม่เร่งรีบเพราะสถานที่อย่างบ้านร้อยรสไม่มีทางคนเต็มแน่นอน
ป๋ายเสี่ยวเฟยทอดถอนใจอยู่ภายในเมื่อกลับมายังที่คุ้นเคย แตกต่างจากเสี่ยวเอ้อที่ตื่นเต้นสุดขีดในอ้อมแขนเขา
“เจ้าเห่าอะไร? หากเจ้ากินเยอะในมื้อนี้อย่าหวังว่าจะมีอาหารสุนัขให้เจ้าเดือนหน้า!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตบเสี่ยวเอ้อเข้าที่ศีรษะทำลายฝันหวานของมัน
“สวัสดี พวกท่านมาทั้งหมดกี่คน?”
หลังจากเดินเข้าไปในบ้านร้อยรส ดรุณีน้อยงามเยิ้มเดินมาต้อนรับ ผู้ที่สามารถมาทำงานที่นี่ได้มีเพียงนักเรียนในสถาบัน กล่าวได้ว่านี่เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของสถาบันชิงหลัว ศิษย์นักเรียนสามารถทำงานภายในสถาบันเพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนได้
แถมยังไม่ต้องเคารพนบนอบศิษย์พี่ในสถานที่เช่นนี้...
“สิบเจ็ดคนกับหมาหนึ่งตัว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยืนอยู่ข้างหน้าเลือดแทบไหลรินจากหัวใจขณะกล่าว ศิษย์พี่ผู้นั้นตกตะลึงเมื่อเห็นหน้าผู้มาเยือน
“เจ้าคือคนเมื่อวันก่อนที่...!”
ศิษย์พี่หญิงกลืนคำพูดที่เหลือลงคอ เพราะในมื้อนั้นที่ฉินหลิงหยานเป็นคนจ่าย มันไม่ได้มีแค่ฉินหลิงหยานที่หมายหัวเขาไว้ กระทั่งบริกรก็ยังจดจำเขาไม่ลืม
เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินคนที่สามารถเขมือบอาหารได้มากขนาดนั้น...
“พวกเราไม่ได้มากินเยอะเช่นวันนั้น ไม่ต้องกังวลว่าพวกท่านจะเหนื่อย”
หลังจาก ‘ปลอบ’ ศิษย์พี่หญิง ป๋ายเสี่ยวเฟยเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวภายใต้การนำทางของนาง เสวี่ยอิ่งทำตัวราวเจ้าบ้าน มือหยิบยื่นรายการอาหาร ปากพูดสั่งชื่อมากมายหลากหลายโดยไม่ยั้งคิด...
“เอาล่ะ เมื่อสั่งอาหารเสร็จแล้วก็เข้าเรื่องกันเลย”
ใบหน้าเสวี่ยอิ่งพลันแปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง ทุกคนในห้องสังหรณ์ใจไม่ดีทันที
ป๋ายเสี่ยวเฟยกลืนน้ำลายอึกใหญ่กล่าวถามแทนทุกคน
“อะไรหรือ?”
“เรื่องช่วยเหลือเจ้าจากภัยพิบัติ!”