ตอนที่ 45 ได้เป็นหัวหน้าห้องในที่สุด!
หลังจากเสวี่ยอิ่งบันดาลโทสะจนหมดสิ้น เหอเมิ่งตัวอ่อนยวบไม่มีแรงยืนอีกต่อไป เมื่อฟังจากเสียงสดใสที่ดังกังวานทั่วห้องแล้ว มีกระดูกอย่างน้อยหกหรือเจ็ดชิ้นที่ถูกนางหัก
ป๋ายเสี่ยวเฟยเดินเนิบนาบไปข้างเหอเมิ่งก่อนจะจับข้อมือเขา ปราณกำเนิดพวยพุ่งในจุดนั้นอีกคราก่อนที่ป๋ายเสี่ยวเฟยจะดึงเส้นใยปราณกำเนิดออกมา
“เสร็จแล้วศิษย์พี่เหอเมิ่ง แต่ข้าหวังว่าข้าจะไม่มีโอกาสได้ใช้เจ้าหนอนนี้อีกในอนาคต”
ป๋ายเสี่ยวเฟยแสยะยิ้มหัวเราะที่เต็มไปด้วยความดูถูกพลางมองไปยังเหอเมิ่งที่ไร้สติ
ในอีกด้าน เสวี่ยอิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวเฟยขยับตัวออกห่างตามสัญชาตญาณทันทีเพราะหนอนกลืนกำเนิดไม่ต่างอันใดจากโรคที่รักษาไม่หาย ไม่ว่าหนอนกลืนกำเนิดจะมีภัยต่อเจ้านายของมันหรือไม่ก็ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้
“พวกเจ้าทั้งสามจะนอนอีกนานเท่าใด? พวกเจ้าไม่อยากค้นตราหยกของศิษย์ปีสามห้าคนนี้รึ?”
โม่ข่าและพวกที่แสร้งทำเป็นตายลุกขึ้นกระโจนหากลุ่มศิษย์ปีสามที่มีสภาพน่าอนาจทันที
ประสบการณ์สั่งสมได้จากการฝึก ทั้งสามกังวลเล็กน้อยเมื่อคราก่อน แต่ครั้งนี้ความโอหังกล้าหาญของพวกเขาไม่ด้อยไปกว่าป๋ายเสี่ยวเฟยแม้แต่น้อย ถึงแม้ข้างหน้าพวกเขาจะเป็นศิษย์ปีสามก็ตาม!
ศิษย์พี่สี่คนที่นอนอยู่บนพื้นมีแรงมากพอที่จะต่อต้าน แต่ด้วยการคงอยู่ของเสวี่ยอิ่งพวกเขาไม่กล้าแม้จะคิดจนกระทั่งพวกโม่ข่าถ่ายโอนหินชิงหลัวจากตราหยกไปหมด
พวกโม่ข่าเดินมาด้านข้างป๋ายเสี่ยวเฟย รอยยิ้มบนใบหน้าเพียงพอที่จะบอกความร่ำรวยของศิษย์พี่ทั้งห้า
“ศิษย์พี่ ศาลายาในเตาหลอมกฤษณาน่าจะยังไม่ปิด พวกท่านทั้งหมดจะอยู่ที่นี่หรือไปรักษาตัว?”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยจบ ศิษย์พี่ทั้งสี่ที่ยังขยับตัวได้ก็รีบแบกหามเหอเมิ่งจากไปทันที พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งเหลือบตามองป๋ายเสี่ยวเฟยและเสวี่ยอิ่ง
ศิษย์นักเรียนที่อยู่ข้างนอกเห็นดังนี้ พวกเขาแยกตัวออกเปินทางให้ศิษย์พี่วิ่งจากไป
ในขณะเดียวกัน ห้อง 807 กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามภายในใจพวกเขา!
จางชิงซานและจางชิงไห่ที่ซ่อนตัวอยู่ยอมล้มเลิกที่จะแก้แค้นอย่างสิ้นเชิง ขนาดศิษย์ปีสามยังไม่อาจทำอะไรป๋ายเสี่ยวเฟยได้แล้วพวกเขายังทำอันใดได้อีกนอกจากล้ำกลืนความอัปยศ
ฝูงชนค่อยๆ กระจายตัวกลับห้องในขณะที่นักเรียนชายที่เหลือหกคนของห้องเรียนคนเถื่อนรีบวิ่งเข้ามา
ในตอนแรกพวกเขากำลังรับชมปาหี่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่า ‘นักแสดง’ ในครานี้คือป๋ายเสี่ยวเฟยและพวก เมื่อพวกเขารู้เรื่องนี้ปัญหาก็ถูกคลี่คลายไปแล้ว สีหน้าพวกเขามีความกระวนกระวายขณะกระโจนเข้ามาในห้อง
“พี่หญิงเสวี่ย...”
ใบหน้าของทั้งกลุ่มเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเมื่อเห็นเสวี่ยอิ่งก่อนจะเปลี่ยนท่าทีอิริยาบถเป็นสำรวมพินอบพิเทา
“ไม่ต้องกังวล เรื่องทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว”
เสวี่ยอิ่งแสดงท่าทีสูงส่งของอาจารย์ออกมา นางสามารถผ่อนคลายได้เมื่อมีคนไม่กี่คนแต่นางต้องรักษากิริยาที่พึงกระทำของอาจารย์ไว้ด้วยจำนวนคนเช่นนี้
กลุ่มทั้งหกมองไปยังป๋ายเสี่ยวเฟย ความประหลาดใจแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงระคนยินดี ถึงแม้พวกเขาจะถูกผลักดันไปอยู่ริมฝูงชนเมื่อครู่ พวกเขาก็ยังได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นคร่าวๆ อยู่ดี สายตาหกคู่เต็มไปด้วยความเคารพชื่นชมอย่างอดไม่ได้
“พี่ใหญ่เฟย สมแล้วที่เจ้าเป็นหัวหน้าห้องของพวกเรา ท่าทีองอาจของเจ้าสยบคนนับไม่ถ้วนในสถาบัน!”
เป็นฉิงหนานที่กล่าวออกมา เสวี่ยอิ่งอดไม่ได้ที่จะตกใจกับคำว่า ‘หัวหน้าห้อง’
“หัวหน้าห้อง? เขา!?”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยพลางชี้นิ้วไปที่หน้าของป๋ายเสี่ยวเฟย สีหน้านางมีความประหลาดใจเจือปนสับสนเพราะนางมีความตั้งใจไว้ว่าจะจัดการทดสอบเล็กน้อยเพื่อเลือกหัวหน้าห้อง
“ใช่ ท่านเป็นคนเลือกเขาเองไม่ใช่หรือพี่หญิงเสวี่ย?”
ฉิงหนานรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดไป
“อย่าไปฟังที่ฉิงหนานพูด ข้าไม่เคยเอ่ยเช่นนั้น ในวันทดสอบเข้าสถาบัน เขาและจู๋ซือซือไม่ให้เวลาข้าอธิบายแล้วก็พูดเองเออเองว่าข้าเป็นหัวหน้าห้อง”
ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบอธิบายก่อนจะแย้มยิ้มประจบสอพลออย่างเจ้าเล่ห์
“พี่หญิงเสวี่ย ท่านต้องเชื่อในเด็กดีไร้เดียงสาเช่นข้า!”
เสวี่ยอิ่งอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชาขณะมองป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าประหลาด
‘ไร้เดียงสา? เด็กดี? หากเจ้าเป็นเช่นนั้นจริงทั้งสถาบันชิงหลัวคงเต็มไปด้วยเทวดา!’
เสวี่ยอิ่งคิดอยู่ในใจ
“อย่างไรเสียก็ต้องมีคนคอยจัดการธุระต่างๆ ในห้อง แต่เจ้าจะต้องรับผิดชอบให้ได้หากเจ้าทำห้องเรียนคนเถื่อนขายหน้า!”
เสวี่ยอิ่งยืนยันสถานะของป๋ายเสี่ยวเฟย นางไม่ลืมที่จะตักเตือนเขาด้วยก่อนจะเผยสีหน้าฉงนสงสัย
“เจ้าเลี้ยงหนอนกลืนกำเนิดได้จริงหรือ?”
ในที่สุดเสวี่ยอิ่งไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ในใจได้อีกต่อไป เพราะการเลี้ยงเพาะพันธ์หนอนกลืนกำเนิดเป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงเหลือเกิน
“เลี้ยงหนอนกลืนกำเนิด!?”
ฉิงหนานร้องเสียงหลง
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ขนาดในอาณาจักรแดนใต้ของพวกเรายังไม่อาจค้นพบวิธีฝึกหนอนกลืนกำเนิดให้เชื่องได้เพราะพวกมันเป็นสัตว์ที่พึ่งพาสัญชาตญาณในการมีชีวิตโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางสร้างสายสัมพันธ์กับมันได้!”
เมื่อผู้เชี่ยวชาญเป็นคนเอ่ยปาก ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบกลืนข้อแก้ตัวทั้งหมดที่เตรียมลงไปทันที เขายักไหล่พลางหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์
“เจ้าพูดถูกแล้วฉิงหนาน ข้าจะไปเลี้ยงหนอนกลืนกำเนิดได้อย่างไร? สิ่งนี้ถูกเกลียดชังภายในเทือกเขาไร้ขอบเขตและหายากยิ่งกว่าสัตว์อสูรที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ อย่าพูดถึงเลี้ยงดูเลย กระทั่งโอกาสจะได้เจอสักตัวยังแทบไม่มี”
“เช่นนั้นเจ้าหลอกเหอเมิ่งได้อย่างไร?”
คำถามใหม่ปรากฎขึ้นในใจทุกคน
“พวกเจ้าทุกคนเคยได้ยินชื่อเคล็ดวิชากลืนโลกาหรือไม่? ข้าแค่เพิ่มความเร็วในการไหลเวียนของปราณกำเนิดในจุดบรรจบเท่านั้น ใครใช้ให้เขาเชื่อเขาจริงๆ ล่ะ?”
ทุกคนในห้องได้รู้จักป๋ายเสี่ยวเฟยขึ้นอีกนิดเมื่อได้ยิน สายมายาช่างเหมาะสมกับเขาเหลือเกินเพราะทุกคนไม่เคยเห็นใครแปรเปลี่ยนเท็จให้เป็นจริงได้เก่งเท่าป๋ายเสี่ยวเฟยอีกแล้ว!
“ข้าได้ยินว่าเคล็ดวิชาอย่างกลืนโลกาต้องการผู้ชี้แนะ เจ้ารู้จักคนที่เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชานี้หรือ?”
อย่างไรเสียเสวี่ยอิ่งก็อายุมากกว่า ความรู้ที่นางสั่งสมมาเหนือล้ำนักเรียนพวกนี้เยอะ
“พ่อสี่สอนข้าเอง”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหัวเราะไม่ได้ปิดบังเพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักพ่อสี่ของเขา และมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปยังหุบเขาวีรบุรุษเพื่อไปหาพ่อสี่
“เจ้ามีความลับซ่อนไว้เท่าใดกันแน่? ยังเหลือไพ่กี่ใบในมือที่ยังไม่ได้เผย?”
เสวี่ยอิ่งมีรอยยิ้มบนใบหน้า นางพึงพอใจไม่น้อยกับ ‘หัวหน้าห้อง’ คนนี้
“ท่านจะรู้ในอนาคต มันมีเยอะเกินกว่าที่ข้าจะกล่าวไหว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยพูดตัดบทสนทนาปล่อยให้คนที่เหลือคาดเดาเพราะไพ่พวกนี้คือรากฐานในชีวิตเขา หากเขาเปิดเผยทั้งหมดแล้วเขาจะได้เปรียบเหนือผู้อื่นได้อย่างไร?
“เอาเถิด อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าเล่นตุกติกกับข้า มิเช่นนั้น...เจ้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
เสวี่ยอิ่งกำหมัดแน่นพลางเผยไพ่ตายอีกครา ไพ่ที่ชื่อว่าคำขู่!
“ท่านอย่ากังวล ข้าไม่เล่นตุกติกกับโฉมสะคราญ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ปล่อยโอกาสในการประจบสอพลอให้ลอยผ่าน เสวี่ยอิ่งมีรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้า
แต่นางหารู้ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวเฟยได้กล่าวคำทำนองนี้กับคนนับไม่ถ้วน...