บทที่ 71 วีรกรรมของชายที่ชื่อ ดงซูบิน!
บทที่ 71 วีรกรรมของชายที่ชื่อ ดงซูบิน!
ผู้แปล loop
ในวันถัดมาเป็นวันอังคาร
วันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับดงซูบินเมื่อเขาตื่นนอนขึ้นมาเขาก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เขาปีนลงมาจากเตียงแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ตอนนี้เขาทำทุกอย่างเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว ตอนนี้ไม่เรื่องอะไรที่จะต้องกังวลอีกแล้ว ดงซูบินหยุดคิดเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมการพรรค เขาตบเบา ๆ บนหน้าผากของเขาเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะเตรียมตัวสำหรับการทำงานต่อไป
ที่ทางเข้าของสำนักงานสาขาเขตตะวันตกดงเห็นฉางจี้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
“ฉันไม่ได้บอกให้เธอมาที่ทำงานของฉันไม่ใช่หรอ เธอต้องการอะไร?”
“คุณคิดว่าฉันอยากจะมาที่หรือยังไง ก็คุณลืมโทรศัพท์ไว้!”
"โอเคโอเค! รีบกลับไปได้แล้ว!”
ฉางจี้คว้าโทรศัพท์ของเขาจากผู้หญิงคนนั้นอย่างกระวนกระวายและเก็บไว้ในกระเป๋าของเขาทันที จากนั้นเขาก็โบกมือให้ผู้หญิงคนนั้นกลับไป ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นภรรยาของฉางจี้ เธออายุประมาณ 30 ปี ดูที่ใบหน้าเธอจะเป็นโรคด่างขาวที่หน้าและลำคอของเธอก็มีรอยด่างขาวด้วยเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ฉางจี้ไม่เคยพูดถึงภรรยาของเขาในที่ทำงานเลย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยพาภรรยาของเขามาที่ทำงานสักที เพราะฉางจี้คงจะรู้สึกอับอายในภรรยาของตัวเอง แต่เมื่อฉางจี้มองไปรอบ ๆ เพื่อดูว่าเพื่อนร่วมงานคนใดของเขาเห็นภรรยาของเขาหรือไม่ เขาก็หันไปเจอดงซูบินที่กำลังจะข้ามถนนแล้วเดินข้ามมา
สีหน้าของฉางจี้ดูตื่นตระหนกแล้วพูดว่า “วันนี้นายมาทำงานเร็วดีนิ!”
“คงไม่เร็วเท่ากับพี่จี้หรอก!” จริงๆแล้วความเกลียดชังของดงซูบินที่มีต่อฉางจี้นั้นลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นหลังจากที่เห็นว่าฉางจี้ปฏิบัติต่อภรรยาของเขาเช่นนั้น
“นายรู้หรือป่าว การประชุมคณะกรรมการพรรคในวันนี้จะมีการหารือกันว่าใครจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองหัวหน้าฝ่ายกิจการทั่วไป” ฉางจี้จ้องไปที่ดงซูบินอย่างเย็นชา “น้องชายฉันได้บอกนายก่อนหน้านี้แล้วว่าฉันจะเป็นหัวหน้าภายในปีนี้ ฉันได้เสนอความช่วยเหลือที่จะดูแลนาย เพื่อให้นายเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของฉัน แต่นายเป็นคนเดียวที่ปฏิเสธข้อเสนอของฉัน ตอนนี้นายคงจะเสียใจใช่มั่ยล่ะ ตอนนี้ก็สายไปแล้ว! เมื่อคำสั่งลงมานายตายแน่ๆ! ฉันจะทำให้แน่ใจว่านายจะต้องเสียใจ!”
ดงซูบินมองมาที่เขา “พี่จี้แน่ใจแล้วหรือหรอพี่จี้จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งใรครั้งนี้”
ฉางจี้ได้แต่พูดจาอวดดีว่า“ฮ่าฮ่านายคิดว่าคนยังเกาแพนเหว่ยจะชนะฉันเหรอ? ฝันไปเถอะ!”
ดงซูบินได้แต่กำกำปั้นของเขา เขาจะไม่ปล่อยให้ฉางจี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างแน่นอน ถ้าไม่ยังงั้นดงซูบินจะไม่สามารถทำงานที่นี้ต่อไปได้
ตอนนี้สำนักงานกิจการทั่วไป ผู้คนเริ่มมาถึงที่ทำงานกัน
ดงซูบินรู้สึกได้ว่าวันนี้บรรยากาศในสำนักงานนั้นดูแตกต่างจากทุกวัน ดงซูบินรู้สึกได้ถึงความตึงเครียด
ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกิดขึ้นเกาแพนเหว่ยเดินเข้ามาในสำนักงานและเห็นได้ชัดว่าเขาดูอารมณ์ไม่ค่อยดี วันนี้เขาไม่ได้ทะเลาะกับฉางจี้เหมือนเมื่อสองสามวันก่อน เขาเพิ่งวางกระเป๋าเอกสารไว้ที่โต๊ะทำงานแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าแผนกปางปิน ฉางจี้เหลียวมองเขาอย่างมั่นใจและจากนั้นก็ออกเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเมืองของผู้ว่าทางการเมืองโจว
ณ สำนักงานคณะกรรมการการเมือง
สำนักงานนี้ดูสลัวๆ ผ้าม่านหนาปิดกั้นแสงแดดไม่ให้เข้ามาในห้อง
ฉางจี้ยืนอยู่ข้างผู้ว่าการทางการเมืองโจวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว:“ลุงโจวครับเกี่ยวกับเรื่องการเลื่อนตำแหน่งนั้น……”
โจวเกาได้วางแผนเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เขารี่ตาลงและพูดขัดจังหวะฉางจี้ขึ้นมา “ฉางจี้หลานรัก ลุงสัญญากับพ่อของหลานไว้แล้วว่าจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยหลานนะ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล มันจะไม่มีปัญหาใด ๆ หลานควรกลับไปทำงานและในช่วงเวลานี้หลานก็ไม่ควรมาที่สำนักงานของลุง หลานคงเข้าใจเรื่องนี้ดี” ข้าราชการส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะรับปากว่าจะวิ่งเต้นเรื่องตำแหน่งหรือผลประโยชน์สักเท่าไรเพราะพวกเขาต้องระวังตัวอยู่เสมอ แต่เนื่องจากผู้ว่าการเมืองโจวพูดเช่นนั้นออกมาแล้วว่าไม่มีปัญหาใดแน่นอนมันก็หมายความว่า เขามั่นใจ 100% ในการช่วยเหลือเรื่องวิ่งเต้นนี้ให้กับฉางจี้
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ฉางจี้รู้สึกมั่นใจและขอบคุณเขาอย่างตื่นเต้น "ขอบคุณ. ลุงโจวมากๆเลยครับ ผมจะเอาของขวัญมามอบให้ลุงภายหลังจากจบเรื่องนี้นะครับ”
ที่จริงแล้วโจวเกาเองก็ไม่ชอบวิธีที่ฉางจี้พูดออกมาเพราะมันเป็นการพูดตรงเกินไป เขาขมวดคิ้วและโบกมือไล่ฉางจี้ออกไป
หลังจากออกจากห้องมา ฉางจี้ก็รู้สึกดีเป็นอย่างมาก เขาเดินกลับไปที่สำนักงานของเขาพร้อมยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
อีกด้านหนึ่งของอาคาร
ดงซูบินได้รับโทรศัพท์จากเสี่ยวหยานขอให้เขาไปหาเธอที่ห้องทำงาน
มีชายอีกคนหนึ่งในห้องทำงานรองหัวหน้าสำนักสาขาเสี่ยวหยาน ผู้ชายคนนั้นอายุประมาณเดียวกับเธอและเขาดูตาโต ข้างๆผมของเขามีผมริ้วสีขาวห้อยลงมาและเขาดูเป็นคนที่จริงจังมาก
ดงซูบินเคยเห็นชายผู้นี้มาก่อน เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการพรรคสำนักงานเขต, เลขานุการคณะกรรมการเพื่อการตรวจสอบวินัยซองโฉจือ เขานั้นสนิทกับเสี่ยวหยานมาก
“หัวหน้วเสี่ยว, เลขานุการโฉ”
เมื่อเสี่ยวหยานเห็นดงซูบินเขาก็พยักหน้าตอนรับก่อนที่มอบเอกสารให้กับดงซูบิน “ทำสำเนาเอกสารนี้และส่งต้นฉบับไปที่ห้องเก็บเอกสาร”
ซองโฉจือหันหน้ามองดงซูบินอย่างเงียบ ๆ
ดงซูบินรับเอกสาร"ครับ. มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับหัวหน้าเสี่ยว?”
“ไม่มีแล้ว กลับไปทำงานเถอะ.”
หลังจากดงซูบินออกจากห้องไปซองโจฉือก็หัวเราะออกมาและส่ายหัว “คนๆนั้นคือซูบินที่เธอกำลังพูดถึงใช่ไหม เธฮต้องการที่จะผลักดันให้เขาเข้ารับตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักงานกิจการทั่วไปสินะ? มีบางเรื่องที่เธอควรรู้ไว้ว่าผู้ว่าการทางการเมืองโจวเขามีผู้สมัครอยู่ในใจแล้วและมันก็ยากที่จะเปลี่ยนใจเขาได้”
เสี่ยวหยานสยายผมของเธอ:“ฉันไม่คิดว่าจะชนะผู้ว่าการทางการเมืองโจวได้ แต่ฉันแค่อยากลองดูเท่านั้น”
ซองโจฉือยิ้ม "ดี. สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็คำแนะนำดี ๆ สองสามคำเท่านั้น แต่ฉันก็ยังต้องถามเธออยู่ว่า คนที่เธอเลือกดูเหมือนจะเป็นคนธรรมดาเกินไป อีกทั้งเขาอายุน้อยมากและไม่มีประสบการณ์แล้วดูเหมือนจะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามคุณสมบัติที่พวกเราต้องการ ฉันสงสัยว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
เสี่ยวหยานได้แต่จิบน้ำชาอย่างช้าๆแล้วยิ้มให้ “พี่ซอง พี่ไม่สามารถตัดสินซูบินได้แค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาหรอกนะ”
“โอ้เหรอ?” ซองโฉจือพูดต่อว่า “อย่างงั้นช่วยบอกหน่อยสิว่าไอ้หนุ่มคนนั้นมันมีอะไรดี”
เสี่ยวหยานเริ่มพูดช้าๆ “พี่เคยได้ยินสิ่งที่ซูบินทำหลังจากที่เขาเข้าร่วมกับสำนักงานกิจการทั่วไปหรือยัง ฮ่าฮ่า……พี่เองก็เป็นนักกีฬาตอนที่พี่ยังหนุ่มๆและพี่ซองก็เป็นคนที่มีความกล้ามากๆ แต่พี่ซองพวกเราทั้งคู่เองก็เคยเห็นไฟโหมกระหน่ำในสำนักงานของหลี่ชิงถูกไหม หากพี่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ในวันนั้นพี่จจะกล้าที่จะวิ่งเข้าไปในสำนักงานเพื่อไปเอาเอกสารที่ติดอยู่ในกองเพลงนี้หรือป่าว?”
ซองโฉจือเงียบไปทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เสี่ยวหยานกล่าวต่อไปว่า“แต่ซูบินนั้นกล้าที่จะเขาไปและเขาสามารถนำเอกสารนั้นออกมาได้ด้วย”
ซองโฉจือได้แต่พยักหน้า
“พี่เองก็น่าจะได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลเมื่อสองสามวันก่อน ผู้รักษาประตูของเราได้รับบาดเจ็บระหว่างช่วงทดเวลาบาดเจ็บและคู่แข่งของเราก็ได้จุดโทษ ในสถานการณ์เช่นนั้นใครกันที่กล้าที่จะกล้าบอกว่าเขามีความมั่นใจว่าจะรับลูกโทษนั้นได้?” เสี่ยวหยานวางถ้วยชาของเธอลง “แต่ซูบินกับกล้าที่จะเสนอตัวออกมาและเขาก็รับลูกโทษนั้นได้จริงๆ” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเสี่ยวหยานก็หยุดพูดไปสักพักก่อนจะพูดต่อไปว่า “และในเกมถัดไปของวันรุ่งขึ้นมันเป็นการแข่งขันที่ยากลำบากมากๆ ใน 2 นาทีสุดท้ายผู้เล่นคนหนึ่งของเราได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มีตัวสำรองเหลือแล้ว เขตของเราเกือบจะลงเล่น 8 เกมโดยไม่ชนะแม้แต่ครั้งเดียว ในขณะนั้นแม้แต่ผู้เล่นพรีเมียร์ลีกอังกฤษก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่ซูบินลงไปที่สนามและทำประตูในวินาทีสุดท้ายได้!”
ซองโฉจือหัวเราะออกมา “จากสิ่งที่เธอพูด……ซูบินคนนี้มีเป็นที่มีความสามารถจริงๆ”
“เขาน่าทึ่งยิ่งกว่านั้นอีก”เสี่ยวหยานแตะที่โต๊ะด้วยปลายนิ้วของเธอ “วันนั้นฉันไปที่สำนักการเมืองเพื่อไปประชุมและฉันได้พบกับเพื่อนเก่า เราคุยกันสั้น ๆ และเราคุยกันเรื่องการแข่งขันฟุตบอล แต่เมื่อฉันพูดถึงชื่อของซูบินเพื่อนของฉันก็รู้จักเขาเช่นกัน เธอเป็นหนึ่งในผู้สัมภาษณ์ของซูบินและเธอบอกกับฉันว่าเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการสัมภาษณ์ มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ”
ซองโฉจือถามด้วยความอยากรู้ "มันเกิดอะไรขึ้น?"
เสี่ยวหยานหยุดสักครู่แล้วเปิดประตูห้องทำงานของเธอ มันมีเสียงฝีเท้าข้างนอกและพนักงานก็เดินผ่านห้องทำงานของเธอไปพร้อมถือเอกสาร หลังจากพนักงานคนนั้นเดินผ่านไปแล้วเสี่ยวหยานก็ปิดประตูแล้วมองไปที่ซองโฉจือที่กำลังอยู่ในความมึนงงอยู่ “พี่ซองคนที่เดินไปเมื่อตะกี้ พี่จำสีเสื้อของเขาได้ไหม เสื้อตัวนั้นคือดีไซน์เป็นัยไงและสีของรองเท้าของเขาคือสีอะไร”
ซองโฉจือถึงกับตกตะลึง “เธอหมายถึงอะไรกัน”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากดูว่าพี่ซองจะจำรายละเอียดเหล่านั้นได้หรือไม่”
“เสี่ยวหยาน เธอกำลังล้อเล่นกับฉันเหรอ? เธอไม่ได้บอกให้ฉันจดรายละเอียดพวกนั้นก่อนนิและความสนใจของฉันในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่คนๆนั้นด้วย”
เสี่ยวหยานกลับไปยังที่นั่งของเธอ “นี่คือเหตุผลที่ฉันบอกว่าซูบินช่างน่าอัศจรรย์ ในระหว่างการสัมภาษณ์ผู้สัมภาษณ์หลักพยายามให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ และพยายามถามเรื่องยากๆสำหรับเขาและจงใจถามคำถามแบบเดียวกับที่ฉันถามพี่ซองนี้แหละ แต่ในตอนนั้นมีถึง 3 คนที่เดินผ่านห้องในวันนั้น ซูบินไม่เพียง แต่จดจำสีของเสื้อและดีไซน์ของเสื้อของพวกเขาได้ เขายังจดจำดีไซน์ของกสร้อยคอได้อีกรวมกระทั้งรองเท้าที่มีรอยสกปรกหรือแม้แต่สีของเชือกผูกรองเท้า”
ซองโฉจือถึงกับขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไร?”
เสี่ยวหยานเธอยิ้มออกมา “ฉันก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอม แต่มันเป็นความจริง ซูบินทำเช่นนั้นจริงๆ”
“......”
ตอนนี้ในห้องของเธอนั้นได้ยินแต่เสียงของเครื่องปรับอากาศเพียงเท่านั้น
เสี่ยวหยานมองไปที่ซองโฉจือ “ตอนนี้พี่ยังคิดว่าซูบินเป็นคนธรรมดาอยู่รึป่าวล่ะ? ฉันคิดว่าเขาน่าทึ่งมากๆเลยล่ะ!”