ตอนที่แล้วตอนที่ 41 ‘ยุคสมัย’ ของนักเชิดหุ่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 43 เจ้าเรียกใครว่าหมา?

ตอนที่ 42 สมดุลหรือจี๋เซี่ยน?


“ยุคสมัยที่สามคือยุคแห่งความสมดุล!”

เล่ยซานเอ่ยเสียงทุ้มลึกต่อป๋ายเสี่ยวเฟยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งหวัง ป๋ายเสี่ยวเฟยประหลาดใจเล็กน้อย

“สมดุล?”

“ใช่ โดยที่หุ่นเชิดตัวแรกจะต้องถูกปรับปรุงให้มีความสามารถดีที่สุด หุ่นเชิดที่เหลือล้วนเป็นหุ่นเชิดต่างๆ นานาเพื่อไว้รับมือกับสถานการณ์ในหลายรูปแบบ คือการเพิ่มโอกาสเอาตัวรอดในการต่อสู้นั่นเอง”

“ยุคสมัยสมดุลแตกต่างจากยุคสมัยแรกเริ่มที่ผสมปนเปมั่วไปหมด ในขณะเดียวกันก็ดึงเอาจุดเด่นของยุคสมัยจี๋เซี่ยนไว้ด้วย นี่เป็นวิธีเลือกใช้หุ่นเชิดของคนส่วนใหญ่”

“นักเชิดหุ่นระดับสูงคนหนึ่งจะมีได้มากสุดคือห้าตัว เพียงห้าตัวก็พอให้ชดเชยข้อบกพร่องของพวกมันและทำให้เจ้ากลายเป็นนักเชิดหุ่นที่เก่งกาจได้”

ความตั้งใจของเล่ยซานไม่ยากที่จะคาดเดา เขาต้องการให้ป๋ายเสี่ยวเฟยเลือกเส้นทางสมดุลแทนเส้นทางจี๋เซี่ยน

ป๋ายเสี่ยวเฟยครุ่นคิดอยู่นานเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ความแน่วแน่ของเขาเกี่ยวกับการเลือกหุ่นเชิดถูกสั่นคลอน

“ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดทุกคนจึงมองสายมายาในแง่ไม่ดีนัก”

ป๋ายเสี่ยวเฟยเค้นออกมาคำถามหนึ่งหลังจากนิ่งเงียบไปนาน เป็นคำถามที่ไม่ว่าเขาจะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกเสียที

ในอีกด้าน หลังจากป๋ายเสี่ยวเฟยถามออกมาทุกคนในห้องยกเว้นหลินหลีเผยสีหน้าราวกับกำลังจะบอกว่า

‘เจ้าเด็กเกินไป’

ขนาดสือเฉินเองก็เป็นเช่นนี้

“ข้าคิดว่าสหายเจ้าช่วยตอบได้”

เล่ยซายหันไปมองสือเฉินพลางกล่าว สือเฉินตื่นตกใจเล็กน้อย ร่องรอยความตื่นตระหนกปรากฎบนใบหน้าองอาจของนาง

“พะ...เพราะว่า...”

สือเฉินไม่อาจทำใจให้เย็นลงได้ จนกระทั่งมือของเสวี่ยอิ่งแตะสัมผัสไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา

“สงบใจไว้ อย่าเร่งรีบ”

เสวี่ยอิ่งแย้มยิ้มอบอุ่น สือเฉินสงบใจลงได้ในที่สุด

“เพราะความสามารถของสายมายาจะถดถอยลงในระดับหลังๆ ภาพลวงตาปกติทั่วไปมีผลแค่เพียงจิตใจของนักเชิดหุ่น แต่การฝึกปรือวิญญาณเป็นสิ่งที่นักเชิดหุ่นทุกคนต้องเรียนรู้ เมื่อนักเชิดหุ่นเก่งกาจขึ้นสภาพจิตใจของพวกเขาย่อมแข็งแกร่งดุจเหล็ก จึงเป็นเรื่องยากอย่างมากที่สายมายาจะจัดการกับนักเชิดหุ่นระดับเดียวกัน”

ผู้ใหญ่ทั้งสามในห้องพยักหน้าเห็นด้วยกับคำตอบของสือเฉิน ถึงแม้จะเป็นห้องเรียนคนเถื่อน ศิษย์นักเรียนในห้องก็ยังมีความรู้พื้นฐานติดตัว

แน่นอนว่าไม่นับป๋ายเสี่ยวเฟย...

“ข้าควรยอมแพ้เพียงเพราะมันอาจจะอ่อนแอในภายภาคหน้า?”

ป๋ายเสี่ยวเฟยมีสีหน้าประหลาด เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นเหตุผลธรรมดาเช่นนี้

“แค่นี้ไม่พอหรือ? เจ้าคงไม่ได้อยากตายใช่หรือไม่?”

เฟ่ยกวงสืออดถามออกมาไม่ได้ สุ้มเสียงโอ้อวดเกินจริงเจือปนการตักเตือน

“หากแค่เพราะเหตุผลนี้ ข้าจะไม่ยอมแพ้ในสายมายา จากคำพูดของพวกท่าน มีเพียงคนน้อยนิดเท่านั้นที่ยังเป็นนักเชิดหุ่นสายมายา ใช่หรือไม่? หากปณิธานของข้าผู้ชื่นชอบสายมายาตั้งแต่เยาว์วัยสั่นคลอน เช่นนั้นคงไม่มีนักเชิดหุ่นสายมายาหลงเหลือในอนาคตอีกแล้ว”

เล่ยซานมีสีหน้าตกตะลึง

เขาเคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน แถมเจ้าของคำพูดยังเป็นคนใกล้ตัวของเขา แต่จุดจบของคนผู้นั้นไม่สวยเท่าไรนัก...

“การมีอุดมการณ์เป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าหนูน้อย เจ้าไม่อาจปล่อยให้จุดแข็งของเจ้าสูญเปล่าไปได้! หุ่นเชิดลอกเลียนแบบหายากกระทั่งหนึ่งร้อยปีจะเจอสักตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนมากมายเพียงใดจะต่อสู้แย่งชิงตัวเจ้าหลังจากเจ้าออกจากสถาบันชิงหลัว?”

เล่ยซานเอ่ยอย่างกระตือรือร้น อาจเป็นเพราะป๋ายเสี่ยวเฟยช่างคล้ายคลึงกับคนที่เขารู้จักเหลือเกินและเขาไม่อยากให้ป๋ายเสี่ยวเฟยเดินเส้นทางเดียวกับนาง หรือเขาจะหมายความอย่างที่เขาพูดและไม่อยากให้เมล็ดพันธุ์ที่อาจจะกลายเป็นตำนานเดินในหนทางที่ผิด...

“ปู่เล่ย ท่านคิดมากเกินไปแล้ว ข้าป๋ายเสี่ยวเฟยไม่เคยมีความคิดที่จะพึ่งพาหรือกลายเป็นมีดของผู้อื่น ข้าต้องการเพียงอิสรภาพและข้าจะไม่ทำสิ่งใดที่ขัดต่อความเชื่อนี้”

คำพูดของป๋ายเสี่ยวเฟยหนักแน่นเป็นอย่างมาก เขาเผยให้เห็นความดื้อดึงมากกว่าสิบปีออกมา

แต่สำหรับชายชราเล่ยซานแล้ว ความดื้อรั้นนี้เป็นผลพวงจากความเยาว์วัยไม่ประสีประสาโลก...

“ไอ้หนู เจ้า...”

เฟ่ยกวงสือชี้นิ้วใส่หน้าป๋ายเสี่ยวเฟย แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยบันดาลโทสะ เล่ยซานห้ามปรามเขาด้วยหนึ่งสายตา

“เด็กหนุ่ม เจ้าอย่าใช้อารมณ์”

ครั้นเล่ยซานสังเกตว่าวิธีทั่วไปไม่อาจโน้มน้าวป๋ายเสี่ยวเฟยได้ สุ้มเสียงของเขาแปรเปลี่ยนราวกับจะใช้แผนใหม่

“อย่างไรเสียเจ้าก็เพิ่งมีเพียงหุ่นเชิดตัวเดียว ยังมีเวลาอีกนานให้เจ้าตัดสินใจ เจ้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ใครจะรู้ หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจหรือมีความคิดใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

ศึกครานี้จบลงด้วยหนึ่งประโยค ทั้งเฟ่ยกวงสือและเสวี่ยอิ่งเข้าใจเป็นอย่างดีถึงน้ำหนักของคำพูดพวกนั้น เฟ่ยกวงสือที่อยากจะสั่งสอนป๋ายเสี่ยวเฟยสักคราเป็นอันต้องสลดลงเล็กน้อย

“ขอบใจปู่ อืมม เรียกปู่ฟังดูดีกว่าเยอะ ปู่เล่ยเรียกแล้วเหมือนผู้หญิงยังไงไม่รู้”

ป๋ายเสี่ยวเฟยหัวเราะชอบใจ เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา

“ฮ่าฮ่า! เรียกข้าตามที่เจ้าอยาก ข้าเบื่อหน่ายเหลือเกินกับวิธีมากมายที่ผู้คนใช้เรียกข้า ถูกเรียกว่าปู่สบายใจกว่าเยอะ”

เป็นเรื่องยากในการหาใครสักคนที่มีรสนิยมเน่าเฟะเหมือนกันในชีวิต ยิ่งกับคนใหญ่คนโตด้วยแล้ว...

“ปู่ พวกเราถือได้ว่าเป็นสหายหรือไม่?”

ป๋ายเสี่ยวเฟยเลิกคิ้วพลางพูดประโยคที่ทุกคนแทบจะสำลักน้ำลาย กระทั่งเสวี่ยอิ่งยังอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านจ้องป๋ายเสี่ยวเฟย สีหน้านางราวกับอยากบีบคอเขาให้ถึงแก่ความตาย

ตัวเล่ยซานเองยังชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวร่อเสียงดังพลางตอบกลับ ป๋ายเสี่ยวเฟยถกแขนเสื้อขึ้นแสดงทีท่า ‘วีรบุรุษ’ ของเขาโดยมีเล่ยซานนั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเราะบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ปรบมือชอบอกชอบใจในตัวป๋ายเสี่ยวเฟย

“ข้าช่วยเหลือเจ้าได้แต่ข้าไม่มีอิทธิพลเหนืออันดับค่าหัวที่เจ้าพูดถึง สิ่งที่ข้าทำได้คือเปลี่ยนวิธีการของเจ้า เจ้าคิดอย่างไร?”

เล่ยซานเผยรอยยิ้มที่มิอาจคาดเดาหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขามอบทั้งความหวังและความไม่แน่นอนให้ป๋ายเสี่ยวเฟยในเวลาเดียวกัน

“เอาสิ อย่างไรก็ยังดีกว่าถูกอัดจนเละ”

ป๋ายเสี่ยวเฟยตอบรับสีหน้าผ่อนคลาย คงเป็นเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาและนิสัยมองโลกในแง่ดี

“เจ้าจะไม่ถามหรือว่าเป็นวิธีแบบไหน?”

เล่ยซานกะไว้ว่าจะทำเป็นเงียบขรึมยั่วให้ป๋ายเสี่ยวเฟยกังขา แต่ท้ายสุดแล้วกลับเป็นเขาที่เป็นฝ่ายสงสัยแทน

“มีอะไรให้ถาม? ข้าเชื่อว่าวิธีของปู่เหมาะสมที่สุด เพราะท่านก็อายุปูนนี้แล้ว หากไม่สามารถคิดวิธีดีๆ ได้ ท่านคงไม่เหมาะจะเป็นเจ้าของผมหงอกท่วมหัวนั่น”

คำพูดของป๋ายเสี่ยวเฟยน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก เขาราวกับไม่รู้จักคำว่าเกรงกลัว

“ฮ่าฮ่า! ข้าจะรอชม อย่าให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ!”

“เจ้าเด็กเหลือขอ...เรียกแบบนี้ถนัดปากข้ากว่า เจ้าไม่ต้องพูดกำกวมกับข้าอีกเพราะข้าอยู่ถึงอายุปูนนี้ได้เห็นเล่ห์กลมาแล้วเยอะแยะมากมาย”

เล่ยซานเอ่ยคำคล้ายกับที่ป๋ายเสี่ยวเฟยได้พูดกับเขา อากัปกิริยาของเล่ยซานบ่งบอกทุกสิ่ง

“ตามที่ท่านต้องการ ปู่”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด