ตอนที่ 41 ‘ยุคสมัย’ ของนักเชิดหุ่น
ถึงแม้เฟ่ยกวงสือจะตกตะลึงแต่เขาไม่ได้เอ่ยอันใด สีหน้าของเขาไม่อาจหลุดพ้นจากสายตาของป๋ายเสี่ยวเฟยผู้มีเหตุจูงใจไปได้
“เป็นถึงการลอกเลียนแบบระดับสูง เจ้าหนู อนาคตเจ้าไร้ขีดจำกัด เจ้าชื่ออันใด?”
สุ้มเสียงของชายชรามีความสนิทชิดเชื้ออย่างยิ่งยามเอ่ย แววตาที่มองมายังป๋ายเสี่ยวเฟยมีความชื่นชมและพึงพอใจอยู่หลายส่วน
“ป๋ายเสี่ยวเฟย”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มกริ่ม หายากที่เขาจะตอบอย่างซื่อตรงเช่นนี้...
“โอ? เจ้าแซ่ป๋าย? หากเจ้าเด็กสาวลั่วซีรู้เข้า เจ้าลำบากแน่”
เล่ยซานหัวเราะพลางกล่าวราวกับกำลังนึกคิดเรื่องน่าขันอยู่ คนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
‘รองเจ้าสถาบันลั่วซี...’
‘เด็กสาว...’
ป๋ายเสี่ยวเฟยตัวสั่นสะท้าน เขาพลันปรับความเข้าใจอายุของเล่ยซานใหม่อีกครา
‘เขาไม่ใช่แค่ชรา! เขาเป็นคนรุ่นดึกดำบรรพ์ชัดๆ !’
“ข้าได้พบเจอท่านรองเจ้าสถาบันลั่วซีแล้ว นางเป็นคนให้ใบผ่านเข้าสถาบันแก่ข้าเอง”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวความจริงที่ทำให้เล่ยซานและเฟ่ยกวงสือผู้เพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกต้องตะลึง ข่าวสารนี้น่าตกใจเป็นอย่างมากเพราะพวกเขารู้จักลั่วซีดี
“เด็กสาวผู้นั้นให้เจ้าผ่าน!?”
กระทั่งเล่ยซานที่อายุปาเข้าไปร้อยปีกว่าไม่อาจปกปิดความตื่นเต้น เขาอดไม่ได้ที่จะถามออกมา สายตาที่จ้องมองป๋ายเสี่ยวเฟยราวกับมองตัวประหลาด
“ท่านรองเจ้าสถาบันลั่วซีเป็นคนดีมาก แต่นางอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปและข้ามั่นใจว่าข้าสามารถแก้ความเข้าใจผิดระหว่างเราได้”
คำกล่าวของป๋ายเสี่ยวเฟยเกินจริงไปมาก เขาโอ้อวดความสามารถของตนเองเสียจนสวรรค์ยังต้องอับอาย
การโอ้อวดได้รับความสนใจจากเล่ยซานและเฟ่ยกวงสือไม่น้อย สำหรับพวกเขาแล้วใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนี้ต้องกล้าหาญเป็นอย่างมาก
“สมแล้วที่เป็นวีรบุรุษหนุ่ม ข้าไม่ได้ยกย่องนับถือใครมานาน เจ้าเป็นหนึ่งในนั้น!”
เล่ยซานหัวร่อเสียงดัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างป๋ายเสี่ยวเฟยและลั่วซีทำให้เล่ยซานมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวเฟย
“เจ้าสามารถขออะไรข้าก็ได้หากทำสิ่งที่เจ้าพูดให้เป็นจริงสำเร็จ ขอแค่เป็นสิ่งที่ข้าทำได้ข้าจะเต็มใจทำตามคำขอของเจ้า”
ทุกคนในห้องตื่นตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่เล่ยซานเอ่ย
สิ่งที่เล่ยซานสามารถทำได้มีเยอะเกินไป ขนาดเสวี่ยอิ่งและเฟ่ยกวงสือยังไม่รู้เลยว่าขอบเขตที่เขาทำได้ใหญ่โตเพียงใด
จากฐานะของเล่ยซานแล้ว พวกเขาไม่อาจคิดถึงเรื่องที่เกินความสามารถของเล่ยซานได้เลย...
“ข้าจะจำไว้ปู่เล่ย ท่านไม่อาจกลับคำพูดได้ในภายหลัง”
ถึงเขาจะตะลึงแต่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้โง่ เมื่อมีสมบัติตกจากฟ้าเป็นใครก็ต้องเก็บ
“ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ”
เล่ยซานเอ่ยคำมั่นรับรองป๋ายเสี่ยวเฟยพลางลูบเคราหนาทึบของเขา ทุกคนในที่นี้ยกเว้นหลินหลีมองป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสายตาอิจฉากันถ้วนหน้า
ป๋ายเสี่ยวเฟยหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนจะลากบทสนทนากลับเข้าเรื่องเดิม อย่างไรเสียเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการจัดการกับอันดับค่าหัว เพราะหากไม่ได้เล่ยซานช่วย เขาอาจต้องฟันฝ่าอุปสรรคอีกมากซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำสำเร็จ
“ปู่เล่ย ท่านไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อมาดูเสี่ยวเอ้อหรือคุยเกี่ยวกับท่านรองเจ้าสถาบันลั่วซีใช่หรือไม่?”
“แน่นอน การยืนยันตัวตนของเจ้าในฐานะนักเชิดหุ่นลอกเลียนแบบเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้การพูดคุยเรื่องอื่นๆ มีความหมาย”
เล่ยซานหยุดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อ
“เจ้ามีแบบแผนเลือกหุ่นเชิดในอนาคตแล้วหรือไม่?”
นี่คือสิ่งที่เล่ยซานอยากพูดคุยกับป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างแท้จริง นอกจากป๋ายเสี่ยวเฟยแล้วคนอื่นยิ่งนิ่งเงียบรอฟังคำตอบของเขา
“ข้ามี”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยตอบด้วยความแน่วแน่เป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของเขา ทุกคนพลันเงี่ยหูฟังทันที
“เป็นเช่นไร?”
เล่ยซานยิ้มกริ่มท่าทีมิผิดแผกไปจากปู่ใจดีข้างบ้านแม้แต่น้อย
“ลอกเลียนแบบเป็นหนึ่งในแขนงของสายมายา และสายมายาเหมาะสมกับอุปนิสัยของข้า ข้าจึงวางแผนไว้ว่าจะเลือกหุ่นเชิดสายมายาในอนาคตเพื่อชดเชยในจุดที่เสี่ยวเอ้อบกพร่อง”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวจบ เสวี่ยอิ่งและคนอื่นมีสีหน้าสลดลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคำตอบนี้คือสิ่งที่พวกเขาไม่อยากได้ยินมากที่สุด
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะใช้หุ่นเชิดเท่าใดเพื่อ? อย่างไรเสียคนหนึ่งคนสามารถมีหุ่นเชิดได้เพียงเจ็ดตัว”
อย่างน้อยจะต้องถึงระดับแตกฉานหากต้องการควบคุมหุ่นเชิดเจ็ดตน!
หนทางของป๋ายเสี่ยวเฟยสู่การบรรลุจุดหมายนี้ยังอีกยาวไกล...
“ทั้งหมด! หากข้าเลือกได้ หุ่นเชิดทั้งหมดของข้าจะเกี่ยวข้องกับมายา แน่นอนว่าข้าจะพิจารณาเลือกหุ่นเชิดช่วยชีวิตที่ล้ำเลิศ แต่ข้าจะไม่เลือกหุ่นเชิดจากสายอื่น”
คำตอบของเขายังคงแน่วแน่ไม่หวั่นไหวราวกับว่าเขาได้ผ่านการคิดวิเคราะห์หลายครั้งจนนับไม่ถ้วนมาแล้ว
เล่ยซานแย้มยิ้มเล็กน้อยไม่ปฏิเสธไม่ตอบรับ
“เจ้าหมายความว่าเจ้าตั้งใจจะเลือกเส้นทางจี๋เซี่ยน?”
เล่ยซานเอ่ยคำศัพท์ที่เขาไม่เคยได้ยิน เขาจ้องมองลึกไปในดวงตาของป๋ายเสี่ยวเฟย
(จี๋เซี่ยน=สุดโต่งในด้านใดด้านหนึ่ง)
ป๋ายเสี่ยวเฟยหดตาลงเล็กน้อย สีหน้าฉงนสงสัยปรากฎขึ้น เขาตอบกลับด้วยคำถาม
‘จี๋เซี่ยน?’
“อา เจ้ายังไม่ได้เรียนคาบทฤษฏี เช่นนั้นข้าจะอธิบายแทนอาจารย์ทฤษฏีในอนาคตของเจ้าละกัน”
“เมื่อครั้นยุคสมัยแรกของนักเชิดหุ่นปรากฎขึ้น การเลือกหุ่นเชิดเป็นหัวข้อถกเถียงกันมาโดยตลอด แต่เมื่อกาลเวลาผ่านพ้น คนส่วนใหญ่ได้มีบรรทัดฐานในที่สุด แนวความคิดของยุคสมัยแรกเกิดขึ้นต่อจากนี้”
“ยุคสมัยเป็นตัวแทนของสามัญสำนึกเมื่อยามนักเชิดหุ่นตัดสินใจเลือกหุ่นเชิดในช่วงเวลานั้นๆ จนถึงตอนนี้มีทั้งหมดสามสามัญสำนึกด้วยกัน ยุคสมัยที่พวกเราอยู่ในขณะนี้คือยุคสมัยที่สามของนักเชิดหุ่น แต่หนทางจี๋เซี่ยนที่เจ้าเลือกคือแนวความคิดจากยุคลสมัยที่สอง”
เมื่อเล่ยซานกล่าวจบ ป๋ายเสี่ยวเฟยเพียงเข้าใจอย่างหยาบๆ เท่านั้นและมันมีน้ำหนักไม่เพียงพอในการเปลี่ยนความคิดของเขา
“มันแตกต่างจากยุคสมัยนี้อย่างไร?”
“ยุคสมัยแรกเป็นยุคบุกเบิก ในเวลานั้นนักเชิดหุ่นทุกคนล้วนมุ่งมั่นหวังว่าตนจะได้เป็นดั่งเทพในตำนาน พวกเขาจึงเลือกหุ่นเชิดหลากหลายชนิด ผู้ที่มีหุ่นเชิดมากความสามารถและหุ่นเชิดพิเศษมากที่สุดคือนักเชิดหุ่นแนวหน้า ยุคสมัยนี้ถูกเรียกว่ายุคแห่งความหลากหลาย นักเชิดหุ่นส่วนใหญ่ต่อสู้ตามลำพังได้ให้กำเนิดตำนานหลายคนจริงๆ”
“แต่หลังจากผ่านการปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่า มีคนค้นพบวิธีการตอบโต้ยุคสมัยแห่งความหลากหลาย และมันคือหนทางจี๋เซี่ยนที่มุ่งเน้นไปที่หุ่นเชิดตัวแรก ส่วนหุ่นเชิดที่เหลือมีไว้เพียงเพื่อสนับสนุนหุ่นเชิดตัวแรกเท่านั้น เสริมสร้างความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดตัวแรกให้ถึงระดับน่าหวาดหวั่น เป็นหนทางนี้เองที่เอาชนะยุคสมัยแรกได้ในที่สุด”
“แต่ในยุคสมัยจี๋เซี่ยนไม่ต่างอันใดไปจากเล่นเป่ายิ้งฉุบ สายป้องกันเอาชนะสายลอบสังหาร สายลอบสังหารเอาชนะสายจู่โจมระยะไกล สายจู่โจมระยะไกลเอาชนะสายพิฆาต... เป็นเหตุให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากว่าตนเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า แต่มีผลผลิตที่น่าหวาดเกรงเกิดขึ้น กองกำลังจี๋เซี่ยน!”
“มันคือกลุ่มของคนที่เดินทางในสายจี๋เซี่ยนมารวมกลุ่มกันเพื่อชดเชยข้อเสียของกันและกัน ที่น่าหวาดหวั่นก็คือกองกำลังจี๋เซี่ยนไม่ได้จางหายไปตามกาลเวลา พวกเขายังคงมีอยู่ให้เห็นในทวีปหากแต่พวกเขาไม่ใช่สามัญสำนึกของยุคปัจจุบันอีกต่อไปแล้ว”
เล่ยซานหยุดตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวเฟยรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาโดยพลัน
ป๋ายเสี่ยวเฟยถามอย่างเหลืออด
“เช่นนั้นยุคสมัยที่สามเล่า? ยุคสมัยของพวกเราเป็นอย่างไร?”
เล่ยซานดื่มชาที่เสวี่ยอิ่งตระเตรียมไว้ให้อึกใหญ่ลงไป บนใบหน้ามีรอยยิ้มจางก่อนจะเริ่มเอ่ยอย่างเชื่องช้า...