เซียนเหนือวิถี บาทที่ 106 (ฟรี)
บาทที่ 106
เมื่องานจบ หงเซียวพาซิ่วจู จินหลิน ไปพบกับฉงฮุ้ยจินกับพวกที่โรงเตี๊ยมที่พวกเขาเข้าพำนัก เมื่อทุกคนขับขี่นกโจโคโบะเข้ามาพักที่โรงเตี๊ยม ทำให้เจ้าของโรงเตี๊ยมถึงกับปรนนิบัติพวกเขาเป็นพิเศษ
พวกเขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่แยกจากกันแล้ว พวกเขาก็พากันฝึกฝนอยู่ที่นั่น ทั้งช่วยให้พลังปราณของพวกเขาก้าวหน้ากันรวดเร็วขึ้นแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูร่างกายของฉงฮุ้ยจินรวดเร็วกว่าเดิมอีกด้วย และก็ทำการเพาะเลี้ยงไข่นกโจโคโบะจนครบคน จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าไปที่เมืองเฉิงซึ่งตอนนั้นฟื้นฟูสภาพแล้ว เส้าฉีลูกชายเถ้าแก่เมืองเฉิงได้ขอติดตามท่องเที่ยวกับพวกเขาเมื่อเห็นว่าครอบครัวปลอดภัยดี และนอกจากนี้ฝูซันและเสียวเจียวได้ตกลงเป็นคนรักกับฉงฮุ้ยจินแล้ว ทำเอาหงเซียวถึงกับอึ้งว่า กระทั่งเปลี่ยนตัวกันเรียบร้อยแล้วก็ยังไม่ทิ้งลาย
ด้วยความกระอักกระอ่วน ซิ่วจูเห็นเช่นนั้นเธอก็เปลี่ยนใจไม่กลับไปหาอดีตคุณชายหงเซียวอีก แต่ติดตามหงเซียวคนปัจจุบันแทน ด้วยเธอคุ้นเคยกับหน้าตาของหงเซียวมากกว่า ทั้งไม่อยากเข้าไปแทรกกลางระหว่างหนึ่งชายสองหญิง
ฉงฮุ้ยจินเปิดให้ดูร่างกาย จากที่ขาดครึ่งตัว ตอนนี้มีร่างกายส่วนล่างปรากฏขึ้นมาแล้วแต่ยังเล็กอยู่ในสภาพเด็กสามขวบดูไม่สมส่วนกัน
“ไปพักที่บ้านตระกูลหงกัน” หงเซียวกล่าวชักชวน หลังจากที่คุยสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว
พวกเขาเคลื่อนย้ายไปบ้านตระกูลหงกันเป็นขบวนใหญ่ ทุกคนต่างขี่นกโจโคโบะเข้าไปในตระกูลหง
“เจ้าเห็นขบวนคนพวกนั้นหรือเปล่าที่ตามหลังคุณชายหงเซียวไป”
“ใช่ ทุกคนล้วนขี่หลังสัตว์อสูร นี่ต้องเป็นตระกูลใหญ่จากเมืองอื่นแน่”
“ข้าว่า นี่อาจจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังคนชายหงเซียวแน่ เป็นคนที่หนุนหลังตระกูลหง ทำให้ตระกูลหงกระโดดมาเป็นตระกูลอันดับสองรองจากตระกูลจูของท่านเจ้าเมือง”
“ข้าเห็นด้วย”
เสียงร่ำลือทำนองนี้แพร่ขยายไปทั่วเมือง แน่นอนว่าต้องเข้าหูตระกูลใหญ่ทั้งหมดอยู่แล้ว
หงเซียวพาพวกเขาไปพบกับหงหมิงและบรรดาผู้อาวุโสตระกูลหง กล่าวว่า “ท่านพ่อ นี่เพื่อนข้า พวกเขาเป็นคนที่ให้ความรู้ในด้านการเพาะพันธุ์นกให้กับข้า”
“ขอบคุณท่าน ขอให้พวกท่านมาเป็นแขกของตระกูลหง ให้พวกเราได้เลี้ยงรับรองขอบคุณท่าน” หงหมิงและผู้อาวุโสทำการคารวะ
ฉงฮุ้ยจินประสานมือรับอย่างกระอักกระอ่วน กล่าวว่า “ท่านผู้นำตระกูลกล่าวเกรงใจไป พวกเรามารบกวนท่านแล้วครานี้”
พวกเขาคุยกันชั่วขณะก่อนที่จะแยกย้ายไปพักยังที่พักที่ตระกูลหงจัดไว้ให้
หงเซียวต้องการให้พวกเขาได้ทะลวงปราณเข้าสู่เขตแก่นปราณในตระกูลหงอย่างวางใจ แทนการฝึกปราณอยู่ที่โรงเตี๊ยมซึ่งอาจถูกรบกวนได้ตลอดเวลา
คืนนั้นพวกเขาทั้งสิบหกคนต่างพากันเข้าสู่เขตแก่นปราณระดับหนึ่ง มีเพียงเส้าฉีเท่านั้นที่เพิ่งเข้าสู่ระดับเจ็ดเขตชีพจรปราณ ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะเข้าสู่เขตแก่นปราณ
คืนนั้นของพวกเขาผ่านไปอย่างเงียบสงบในขณะที่อีกส่วนหนึ่งของตระกูลหงวุ่นวายอย่างหนักเพราะต้องเตรียมจัดงานเลี้ยงเจ็ดวันนับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป
“หลังจากการแข่งขันประจำตระกูลหนึ่งเดือนก็จะเป็นการคัดเลือกศิษย์สำนัก ผู้ที่มีสิทธิ์ต่างก็จะพากันเดินทางไปที่เมืองซีซึ่งอยู่ถัดไปจากเมืองสงด้านเหนือ ข้าคาดว่าเจ้าก็คงจะไปใช่หรือไม่” ฉงฮุ้ยจินถามหงเซียว เมื่อพวกเขาพบหน้ากันตอนเช้า
“นั่นเป็นเป้าหมายของข้าอยู่แล้ว” หงเซียวตอบ
“เสียดายที่ตระกูลหงเองก็รั้งเจ้าไว้ไม่ได้” ฉงฮุ้ยจินถอนหายใจ
“ข้าไปเข้าสำนัก ตระกูลหงจะได้ประโยชน์มากกว่าที่จะให้ข้าอยู่ที่ตระกูล” หงเซียวเฉลย
“ใช่ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น” ฉงฮุ้ยจินพยักหน้า
“สนใจที่จะเข้าไปเป็นศิษย์สำนักหรือไม่” หงเซียวยิ้มถาม
“ข้านะรึ ข้ามีวิชาเฉพาะทาง ไปเป็นศิษย์สำนักไม่ได้ประโยชน์อะไร สู้รอตำรายุทธที่พัฒนาแล้วจากเจ้าจะดีกว่า” ฉงฮุ้ยจินกล่าว “ดังนั้นจอมยุทธพเนจรอย่างข้าขอผ่าน”
หงเซียวยิ้ม นึกในใจว่าอดีตคุณชายตระกูลหงช่างเหลวไหลอย่างแท้จริง หากว่าตนเองไม่เข้ามา ตระกูลหงคงจบสิ้นไปในรุ่นนี้
“แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่าข้าจะไปสมัครเข้าสำนักยุทธ ดังนั้นเจ้าจะต้องแวะเวียนมายังตระกูลหง คอยดูแลแทนข้า เข้าใจหรือไม่” หงเซียวกล่าว
“นั่นไม่มีปัญหา พวกเราจะอยู่เป็นแขกประจำตระกูลหง ตระกูลหงคงไม่ตระหนี่ที่จะเลี้ยงดูพวกเรา” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
“ไม่มีปัญหาถ้าเจ้าทำเครื่องรางและนกโจโคโบะให้ตระกูลอย่างเท่าเทียม ทั้งยังต้องคอยปกป้องรักษาตระกูลด้วย หากตระกูลหงหายไป เจ้าจะเอาที่ไหนซุกหัวนอน” หงเซียวเริ่มไม่เกรงใจเมื่ออีกฝ่ายดูไม่เกรงใจเลยสักนิด
“นั่นเรื่องง่ายๆ ตกลงตามนั้น” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
“ดี ในเมื่อทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว ข้ามีความรู้ใหม่มาสอนพวกเจ้า ดูให้ดี” หงเซียวกล่าว
“โห พี่ใหญ่มีความรู้ใหม่ แต่กลับปิดเงียบไม่บอกข้า” จินหลินประท้วง
“ข้าต้องการรอทุกคนพร้อมหน้า จะได้พูดให้ฟังในครั้งเดียว เจ้าชักจะอภิสิทธิ์ไปแล้ว” หงเซียวหันไปทำหน้าดุใส่เธอ
จินหลินไม่กล่าวอะไร เธอแลบลิ้นใส่เขาแทน
หงเซียวเอาถ้วยเล็กๆมาหนึ่งใบ แล้วหยดสมุนไพรลงไปในนั้น ก่อนจะคว้านิ้วของฉงฮุ้ยจินมาเฉือนหยดเอาเลือดลงไปในถ้วยโดยไม่บอกกล่าว
“โอย เจ็บจังเลย” ฉงฮุ้ยจินทำท่าสูดปาก
“ตัวขาดครึ่งท่อนไม่เห็นจะร้องสักแอะ” หงเซียวกล่าว ก่อนจะสะกิดนิ้วตนเองหยดเลือดลงไปถ้วยบ้าง
เลือดของทั้งสองคนกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์
“อย่างที่พวกเราได้เห็น ถ้วยนี้ผสมสมุนไพรพิสูจน์เลือด ซึ่งถ้าหากว่าไม่ใช่เลือดของเลือดเนื้อเชื้อไข เลือดจะตกตะกอนแยกเป็นลิ่มเลือด แต่ถ้าเป็นสายเลือดสนิทชิดเชื้อ พ่อ แม่ ลูก จึงจะผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วทุกคนดูสิ” หงเซียวส่งถ้วยเลือดไปให้ทุกคนดู
เสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากทุกคน เป็นไปได้อย่างไรที่ ฉงฮุ้ยจิน กับ หงเซียว ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันในทุกด้านจะมีเลือดที่กลมกลืนกันดุจดังสายเลือดเดียวกันได้
“สิ่งนี้คือผลจากการที่พวกเราได้ก้าวเข้าสู่เขตแก่นปราณนั่นเอง วิชาปราณแพทย์ของพวกเรามีความสามารถในการควบคุมได้ถึงระดับนี้” หงเซียวกล่าว
ทุกคนต่างพากันตาเป็นประกาย
“และดูนี่” หงเซียวหยิบเครื่องมือชิ้นหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ เป็นลูกศิลากลมที่มีการบันทึกอักขระยันต์ฝังไว้ข้างใน
“หินตรวจอายุกระดูก” มีบางคนรู้จัก และคนนั้นก็คือฉงฮุ้ยจิน
หงเซียวยืมมันมาจากคลังตระกูลหง เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่างให้ทุกคนดู
“ยี่สิบปี” ฉงฮุ้ยจินส่งพลังปราณเข้าไปในนั้น ทำให้เกิดตัวเลขปรากฏขึ้นมาบนผิวลูกกลมนั้น เขาส่งผ่านลูกหินนั้นไปให้คนต่อไป
“ยี่สิบสี่ปี” ฉงฮุ้ยจินอ่านตัวเลขจากหินที่ฝูซันถือไว้ออกมา ทำให้เธอหน้าแดง มีแววขุ่นเคืองแง่งอน เธอรีบส่งหินต่อไปให้กับคนอื่น โดยฉงฮุ้ยจินรีบกุมมือเธอไว้และกล่าวปลอบโยน
เมื่อทุกคนได้ประเมินอายุตนเองเรียบร้อยแล้ว หงเซียวก็รับหินนั้นกลับมา กล่าวว่า “ดูนี่”
เลขที่ขึ้นบนหินคือยี่สิบ ตอนแรกนั้นทุกคนต่างก็ไม่แปลกใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สีหน้าทุกคนต่างก็แปรเปลี่ยนไป ต่างพากันแตกตื่นสุดระงับ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ผู้แต่ง: จากการทดสอบพบว่า การใช้ตอนซ่อนนั้นไม่มีประโยชน์สำหรับเพื่อนนักอ่านที่รักเลย ผมจึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และ สามตอนนี้จะเปิดฟรีให้อ่านทุกคน อีกอย่างหนึ่ง ต่อไป ทุกตอนที่ลงท้ายด้วย 0 - 3 จะเปิดเป็นตอนฟรีทั้งหมดครับ