บทที่ 39 เรื่องราวสั้นๆของการแย่งผู้ป่วย
บทที่ 39 เรื่องราวสั้นๆของการแย่งผู้ป่วย
มีผูหญิงคนหนึ่งได้เดินออกจากแผนกกุมารเวชาศาสตร์และมุ่งตรงไปยังชั้นสอง เธอเพิ่งได้รับแจ้งมาว่าคนไข้ของเธอถูก “แย่ง” ไป ซึ่งมันเป็นข้อห้ามของโรงพยาบาลนี้
เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าแผนก TCM จางจ้าวยืนยิ้มขวางทางเธออยู่ “หัวหน้าแผนกลู่ , ผมต้องขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย แต่เกรงว่าคุณต้องรอข้างนอกไปก่อนในขณะที่หัวหน้าซูกำลังรักษาผู้ป่วยอยู่”
ลู่ชีเหมียวยืนขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “เธอคนนั้นเป็นคนไข้ของชั้น , ชั้นกำลังติดตามอาการและรักษาเธออยู่ พวกนายไม่ควรยื่นมือเข้ามายุ่ง ไม่งั้นอาการของเธออาจจะทรุดหนักลงได้ !”
จางจ้าวยักไหล่พลางชี้ไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่และถอนหายใจ “แม่ของเด็กนั่งคุกเขาอยู่ที่แผนกลงทะเบียนผู้ป่วยอยู่ข้างนอกในขณะที่ลูกของเธอกำลังป่วย หัวหน้าซูจึงได้เข้าไปช่วยเธอ เธอจะบอกว่านี่เป็นการแย่งผู้ป่วยไม่ได้หรอกนะ”
ลู่ชีเหมียวอึ้ง เธอยังคงเรียบเรียงเหตุการณ์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังรู้สึกไม่พอใจ “ถึงยังไงก็ต้องบอกชั้นก่อน , แต่พวกนายกลับยื่นมือเข้ามายุ่งทันทีเนี่ยนะ ?”
แต่เดิมเธอก็ไม่ชอบขี้หน้าซูเถาอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นมันเหมือนเป็นการราดน้ำมันลงบนกองไฟเพิ่มเข้าไปอีก เธอคิดว่าซูเถาจงใจแย่งคนไข้ของเธอไป
จางจ้าวยิ้ม “เอางี้ไหม , เดี๋ยวผมจะบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าซูเองเมื่อเขาออกมาแล้ว”
“ชั้นจะเข้าไปคุยกับเขาเอง !” ลูชีเหมียวตอบกลับ
“ตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่มั้ง” จางจ้าวขมวดคิ้ว
เธอตอบกลับอย่างเยือกเย็น “พวกนายแย่งคนไข้ของชั้นไป , แล้วนายคิดว่าสิ่งที่แผนก TCM มันเหมาะสมงั้นเหรอ ?”
เธอไม่ได้โกรธ แต่เธอกำลังเป็นห่วงผู้ป่วยของเธออยู่
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นลู่ชีเหมียว เธอได้ดึงจางจ้าวมาเพื่ออธิบาย “คุณหมอลู่เป็นหมอที่ดูแลไข้ของลูกสาวชั้น เจียวเจียว เธอเป็นคนเดียวที่ยังรักษาพวกเราในขณะที่โรงพยาบาลหยุดให้บริการกับเรา และเธอยังเป็นคนจ่ายค่ารักษาพยาบาลของลูกสาวชั้นด้วยเงินของเธอเองอีกด้วย พวกเราต้องขอโทษเธอจริงๆที่หนีออกไปโดยไม่บอกอะไร”
ลู่ชีเหมียวถอนหายใจ “ชั้นได้วางแผนเอาไว้ว่าตั้งใจจะให้สิทธิ์ผ่อนผันให้กับลูกสาวเธอ มันสามารถเลี่ยงค่ารักษาได้ แต่พวกเธอดันหนีไปซะก่อน เรื่องนี้ก็เลยถูกพับเก็บไป”
“รักษาฟรีงั้นเหรอ ?” ผู้หญิงคนนั้นอึ้งหลังจากได้ยินที่ลู่ชีเหมียวพูด
เมื่อเห็นว่าลู่ชีเหมียวยังคงเป็นห่วงคนไข้ของเธอ จางจ้าวได้พูดขึ้น “ใจเย็นไว้ เดี๋ยวพอหัวหน้าซูออกมาแล้วเขารู้เรื่องนี้ เขาไม่แย่งคนไข้ของเธอไปแน่นอน ไว้เขาตรวจผู้ป่วยเสร็จแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า ?”
ด้วยรูปลักษณ์อันงดงามของเธอ มันสามารถดึงดูดสายตาของคนที่แผนก TCM ได้เป็นอย่างดี ลู่ชีเหมียวนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในนามของมาดอนน่าแห่งโรงพยาบาลนี้ (มาดอนน่า เป็นชื่อของนักร้องที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงยุค 80s จนได้ฉายาว่าราชินีเพลงป๊อปเลยทีเดียว เป็นคนเก่งแถมยังสวยมากอีกด้วย : ผู้แปล ) และถึงแม้เธอจะแต่งงานแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นคู่รักในอุดมคติของหมอทุกๆคน ด้วยลูปลักษณ์และความสามารถของเธอ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูเถาดูอ่อนเพลียเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาจากห้องวินิจฉัย ทันใดนั้น แม่ของเด็กผู้หญิงได้เข้าไปถามเขาทันทีด้วยความเป็นห่วง “คุณหมอ , ลูกสาวชั้นเป็นยังไงบ้าง ?”
“ตอนนี้เธอหลับอยู่ เดี๋ยวพอเธอตื่นขึ้นมาก็ดีขึ้นเอง” ซูเถาปลอบแม่ของเด็ก
ลู่ชีเหมียวยืนขึ้นก่อนจะมุ่งไปยังซูเถาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูท่าทางมั่นใจจังนะ ! แผนก TCM ของนายสามารถถรักษาคนไข้ที่แม้แต่แผนกุมารเวชศาสตร์ยังรักษาไม่ได้ง่ายๆได้เหรอไง ?”
จางจ้าวรีบเข้ามาอธิบาย “หัวหน้าลู่เป็นเจ้าของไข้ของหนูน้อยเจียวเจียว เธอกำลังจะใช้สิทธิ์ยกเว้นค่ารักษาพยาบาลให้กับเด็กคนนี้”
ซูเถาขมวดคิ้ว เขารู้ในทันทีว่านี่มันเริ่มจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาซะแล้ว เขายิ้ม “ชั้นแค่ใช้การฝังเข็มเพื่อรักษาอาการของเธอเพียงชั่วคราวเท่านั้น เธอยังคงต้องใช้ยาในการรักษาโรคระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์ของเธอ”
ได้ยิงดังนั้น ลู่ชีเหมียวเดินเข้าไปในห้องและอุ้มเจียวเจียวออกมา
จางจ้าวถอนหายใจ “หัวหน้าซู , คนนั้นคือลูกสะใภ้ของเลขาเฉียว ขืนไปยุ่งกับเธอมากๆคุณจะเดือดร้อนเอาได้นะ”
พอเห็นรอยยิ้มของจางจ้าว ซูเถาถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิด จางจ้าวอาจจะคิดว่าตัวเขานั้นเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเพราะเขาไม่อยากให้เรื่องนี้มันปะทุออกมา
ที่จริง เขาได้รักษาเด็กคนนั้นด้วยหัตถ์สวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ถ้าหากเขาบอกไปว่าเขาได้รักษาเจียวเจียวไปแล้ว หากลู่ชีเหมียวได้ใช้สิทธิ์ละเว้นค่ารักษา แล้วใครจะเป็นคนจ่ายค่ารักษาครั้งก่อนล่ะ ?
เขาจึงไม่รับผู้ป่วยคนนี้ให้แอทมิท เขาคิดแค่เรื่องของครอบครัวของเด็กคนนั้นเท่านั้น
อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ลูชีเหมียวได้ตรวจเช็คอาการของเจี้ยวเจี้ยวอย่างละเอียด ความเจ็บปวดของเธอที่จุดไฮโปทลามัสในสมองของเธอได้หายไปแล้ว เธอหายดีและกลับมาแข็งแรงอย่างสมบูรณ์แล้ว...
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ?” สีหน้าเคร่งขรึมปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ มันไม่น่าจะหายได้ในทันที คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าซูเถานั้นได้รักษาเธอไปเรียบร้อยแล้ว
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ โรคระบบประสาทอัตโนมัติเสียศูนย์เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในเด็กอายุระหว่าง 3-9 ปี ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ตะวันตกนั้นทำได้แค่เพียงรักษาความผิดปกติตามที่พบเห็นเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจะมีการรักษาได้สำเร็จในทางแพทย์แผนจีน แต่เกือบทั้งหมดนั้นต้องรักษาโดยแพทย์ผู้มากประสบการณ์เท่านั้น พวกเขาได้รักษาตามประสบกาณ์ที่พบเจอมาและใช้ยาเพื่อฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะภายในและการทำงานของหลอดเลือด
ดังนั้น เธอจึงสรุปได้ว่าทั้งยาแบบตะวันตกและยาจีนสามารถรักษาได้เพียงการควบคุมระบบประสาทเท่านั้น มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถรักษาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
อย่างไรก็ตาม ซูเถากลับใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวในการรักษาเจียวเจียว มันทำให้เธอไม่อยากเชื่อและมันได้ล้มล้างแนวคิดเกี่ยวกับการแพทย์ของเธอไปจนหมดสิ้น
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นพร้อมกับมีข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักเข้ามา “การโกหกสีขาวนี่มันแสดงให้เห็นถึงความใจดีของหมอจริงๆ” (โกหกสีขาว คือการโกหกที่ส่งผลดีให้กับอีกฝ่าย : ผู้แปล)
ข้อความนี้ต้องมาจากซูเถาแน่นอน เขาต้องการให้เธอช่วยเหลือครอบครัวของเจียวเจียว
ลู่ชีเหมียวมองไปยังเอกสารที่เธอได้เตรียมเอาไว้ โรงพยาบาลได้อนุมัติเรียบร้อยแล้ว แถมเธอยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยาที่ได้พัฒนาตัวยารักษาโรคประสาทนี่อีกด้วย ซึ่งพวกเขายินดีจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ซึ่งเจียวเจียวนั้นถูกพรากไปจากแม่ของเธอจึงทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
เมื่อเธอเดินออกมาสำนักงานของเธอ เธอได้เห็นผู้ชายซึ่งยืนอยู่ข้างๆแม่ของเจียวเจียว เขายืนขึ้นทันทีเมื่อเห็นลู่ชีเหมียว “คุณคือหัวหน้าแผนกลู่ใช่มั้ย ? ผมเป็นนักข่าวจากสำนักข่าวฮั่นโจวซิตี้ ได้ยินมาว่าโรงพยาบาลนี้ได้ละเว้นค่ารักษาให้หนูน้อยเจียวเจียวนี่เรื่องจริงใช่มั้ย ?”
ลู่ชีเหมียวอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับ “อยู่แค่ช่วงการเตรียมการเท่านั้นเอง ยังไม่ได้รับการอนุมัติ”
นักข่าวถามต่อ “โรงพยาบาลนั้นมีความตั้งใจที่จะมองเห็นถึงผู้ป่วยจริงๆ ผมขอถามหน่อยว่าเจียวเจียวจะมีโอกาสได้รับการละเว้นค่ารักษาหรือเปล่า ?”
มันเป็นคำถามที่ค่อนข้างจะตอบยากสำหรับเธอ เนื่องจากเจียวเจียวนนั้นหายดีแล้ว “ไม่มีอาการป่วยไหนรักษาหายได้ 100% แต่ชั้นจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
นักข่าวยิ้ม “ช่างเป็นหมอที่ใจดีจริงๆ ผมจะใช้เส้นสายของนักข่าวในการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลของเจียวเจียว ถึงแม้ว่าเธอยังมีหวังในการได้รับการงดเว้นค่ารักษาพยาบาลก็ตาม แต่ครอบครัวของเธอยังคงติดหนี้ค่ารักษาพยาบาลครั้งก่อนอยู่ เราไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวของเจียวเจียวถูกทำลายลงเพราะอาการป่วยเด็ดขาด”
ลู่ชีเหมียวพนักหน้า “คุณนี่เป็นนักข่าวที่มีความรับผิดชอบจริงๆ”
“คุณก็เช่นกัน” นักข่าวยิ้มตอบ
ลู่ชีเหมียวไม่ได้คุยกับนักข่าวต่อ ยาที่สามารถรักษาอาการได้ชะงักด้วยที่ไม่มีผลข้างเคียงนั้นสามารถช่วยผู้ป่วยได้มาก ในประเทศนี้มียาที่ว่าเพียงแค่ 10 โควต้าเท่านั้น เธอได้ใช้เส้นสายของเธอในการรับมา 1 โควต้า
แม้ว่าเจียวจียวจะได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว และเธอไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอีกต่อไป แต่แต่่ลู่ชีเหมียวก็ยังคงตัดสินใจที่จะให้โควต้าของเธอ
มันอาจจะเป็นเพราะข้อความจากซูเถา มันอาจจะขัดต่อจรรยาบรรณของเธอ แต่มันก็เป็นการแสดงความเมตตาของคนเป็นแพทย์
ได้มีบทความตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์วันพุธของสำนักข่าวฮั่นโจวซิตี้ เป็นเรื่องราวของลู่ชีเหมียว หมอจากแผนกกุมารเวชศาสตร์ที่ช่วยเหลือคนไข้ นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์เล็กๆที่เขียนถึงความไม่ลงรอยกันเล็กน้อยระหว่างเธอกับซูเถา
“อาจารย์ , คุณได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วยล่ะ !” หวังเผิงตะโกนในขณะที่มือถือหนังสือพิมพ์อยู่
“ เหตุการณ์ 'การฉกฉวย' ได้เกิดขึ้นในขณะที่หัวหน้าลู่กำลังพยายามช่วยเหลือคนไข้ แต่มันได้กลายเป็นว่าหัวหน้าแผนก TCM ซูเถา ข้ามขั้นตอนการลงทะเบียนและได้แบกเด็กผู้หญิงไปที่แผนก TCM เพื่อทำการรักษาในทันที่เขาเห็นอาการของเด็กนั้นทรุดหนักลง การแย่งคนไข้ถือเป็นข้อห้ามระหว่างแผนก แต่ทั้งซูเถาและลู่ชีเหมียวได้แสดงถึงความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งสองคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะแพทย์ และด้วยความช่วยเหลือของหัวหน้าแผนกซู ทำให้อาการของเด็กหญิงเจียวเจียวนั้นดีขึ้นอย่างมาก...
หมอของโรงพยาบาลเจียงหัวได้เห็นถึงความโชคร้ายของผู้ป่วย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ แต่โรงพยาบาลเจียงหัวก็ยังยื่นมือเข้าช่วยเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหมอ ดังนั้นในฐานะนักข่าว ผมอยากจะขอร้องต่อสาธารณชนในการระดมทุนเพื่อเป็นการแสดงความรักของคุณต่อเด็กหญิงเจียวเจียว...”
เสี่ยวจิงจิงยิ้ม “ถ้านักข่าวคนนั้นพูดถังตำหนักก็ดีสิ มันคงเป็นการโฆษณาที่น่าจะเห็นผลชัดเจนเลยล่ะ”
จ้าวเจี้ยนตอบกลับ “ตัวเอกของเรื่องนี้คือหมอลู่ชีเหมียวนะ อาจารย์น่ะเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้นเอง”
เมื่อมองดูที่รูปของลู่ชีเหมียวในหน้าหนังสือพิมพ์ จ้าวเจี้ยนกล่าวขึ้น “ช่างงามอะไรอย่างนี้ ทั้งใบหน้าและจิตใจ !”
พอเห็นเหล่าลูกศิษย์หยอกเล่นกัน ซูเถายิ้ม ลู่ชีเหมียวเป็นคนที่มีเหตุผลเนื่องจากเธอได้ใช้การโกหกขาวในการแก้ไขปัญหานี้ เขาจึงบอกได้เลยว่าเธอไม่ใช่คนที่เย็นชาเหมือนกับใบหน้าของเธอเองแน่นอน
ซูเถาได้ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่งข้อความไป “ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะถ่ายรูปขึ้นขนาดนี้ รูปคนบนหนังสือพิมพ์ดูดีกว่าตัวคุณจริงๆซะอีก”
“ไปตายซะ !” ลูชีเหมียวตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
ซูเถากล่าวขึ้น “เอาล่ะ , พวกเราจะเริ่มฝึกพิเศษกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะเตรียมเข้าแข่งทัวร์นาเม้นท์ของมหาลัยเจียงหนาน พวกเราต้องทำผลงานดีๆให้ได้ !”
พอได้ยินซูเถาดังนั้น หวังเผิงยิ้ม “อาจารย์ ผมเกรงว่าจะมีเพียงแค่ศิษย์พี่เท่านั้นที่มีโอกาสในเรื่องนี้”
ซูเถาโบกมือ “รู้ไว้ด้วยว่าหมอที่ยอดเยี่ยมนั้นจำเป็นต้องมีความกล้าหาญและความมั่นใจที่จะท้าทายในสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่วันนี้ พวกนายทุกคนจะต้องยู่ที่นี่ พวกนายมีเวลาพักผ่อนคนละ 4 ชั่วโมง และพลังงานของพวกนายทั้งหมดจะต้องทุ่มเทให้กับการแข่งขันครั้งนี้”
ทั้งสามคนฟังอย่างเงียบๆเพราะพวกเขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว
เมื่อจ้าวเจี้ยนได้ยินว่าเขาสามารถพักที่ตำหนักได้ เขาได้มองไปยังเสี่ยวจิงจิงด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็ได้อยู่ชายคาเดียวกันกับเธอแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเธอนั้นมีเพียงแค่ซูเถา โดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามองเขาเลย มันทำให้เขารู้สึกผิดหวัง
หวังเผิงยกมือ “อาจารย์ , ผมขออะไรหน่อยได้ไหม ?”
“อะไรล่ะ ?” ซูเถาถามกลับ
“ให้ผมได้ลองครีมเสริมความงามนั่นด้วยได้ไหม” หวังเผิงกล่าว
จ้าวเจี้ยนยิ้ม “หวังเผิง นี่นายรักสวยรักงามกับเขาด้วยเหรอ ?”
หวังเผิงหน้าแดง “ทุกคนต่างก็ปรารถนาความสวยความงามกันทั้งนั้นแหละ , ถ้าหน้าชั้นสิวน้อยลงเมื่อไหร่ หล่อกว่านายแน่นอน !”
สิ่งที่หวังเผิงพูดมานั้นเป็นช่องทางสำหรับธุรกิจได้เช่นกัน ถ้าจะทำให้ครีมบำรุงนี่สามารถรักษาสิวได้ด้วย สิ่งที่ซูเถาต้องทำคือการแก้ไขครีมนี่นิดหน่อยก่อนจะเปลี่ยนให้มันเป็นครีมเสริมความงามที่สามารถรักษาสิวได้
ซูเถาตอบกลับ “ชั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่นายต้องสัญญากับชั้นก่อนว่านายจะตั้งใจขยันเรียนด้านสมุนไพร ในอนาคตนายอาจจะสร้างครีมของตัวเองขึ้นมาก็ได้”
เมื่อได้ยินซูเถาตกลง ดวงตาของหวังเผิงก็เป็นประกาย “มั่นใจได้เลยอาจารย์ !”