บทที่ 25 ลูกศิษย์คนใหม่
บทที่ 25 ลูกศิษย์คนใหม่
ซูเถานอนอยู่บนเตียงพลางนึกย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้พวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้างนะ
ไคหยานและพ่อของเธอโต้เถียงอะไรกันบางอย่างที่หน้าร้านก่อนที่พวกเขาจะกลับเข้าไปในร้านของเขา ไม่ว่าพวกเขาจะทะเลาะกันมากแค่ไหนก็ยังคงรักกันดี นับเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมจริงๆ
เนื่องจากไคหยานได้เล่าเรื่องการแต่งงานผีให้ฟัง ซูเถาจึงเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับความเจ็บป่วยของเธอ ซูเถาไม่มั่นใจว่าจะสามารถรักษาโรคของไคหยานได้เนื่องจากมันต้องใช้เวลา
ซูเถานั่งอยู่ที่ประตูพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง เขาได้สัญญากับปู่ไว้ว่าจะดูแลตำหนักหลังจากที่เขากลับมายังหางโจว แต่ก่อนที่เขาจะรู้ถึงเรื่องนั้น ตัวเขาในตอนนี้ก็ตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนซะแล้ว
ตอนเริ่มต้นนั้นยากเสมอ แต่หลังจากจัดการบางอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ตำหนักก็กำลังมุ่งไปในทางที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน มันก็เหมือนกับการผูกมัดตัวเองไปด้วยเนื่องจากการเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลเจียงหัว สิ่งที่เขาต้องทำมันในตอนนี้ก็คือฝึกอบรมลูกศิษย์ของเขา และตำหนักจะได้พัฒนาไปสู่ทางที่ถูกต้อง
สำหรับเรื่องการรื้อถอนย่านถนนเก่านั้น เขาบอกได้เพียงว่าหยานจิ้งไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้มากนัก เขาแค่ต้องการจัดการเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยซึ่งมันสามารถแก้ไขได้ ท้ายที่สุด เขาได้ขอความช่วยเหลือจากเวร่า และถ้าเธอต้องการจะลงทุนในย่านถนนเก่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้วละก็ ที่นี่ก็จะได้รับการพัฒนาเช่นเดียวกัน
ซูเถาออกกำลังกายยามเช้าอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก ขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเช้าซึ่งเสี่ยวจิงจิงได้เดินทางมาถึงพร้อมกับแบกกระเป๋ามาด้วย
เสี่ยวจิงจิงนั้นเป็นเด็กสาวที่ดูธรรมดาๆ หากจะมีตรงไหนที่เป็นจุดเด่นก็คงจะเป็นดวงตาที่สดใสของเธอ
เมื่อซูเถาเห็นเหงื่อที่ใบหน้าของเธอ เขาถาม “นี่เธอคงไม่ได้เดินมาใช่มั้ยเนี่ย ?”
เสี่ยวจิงจิงพยักหน้าก่อนตอบ “ที่นี่ห่างจากโรงเรียนแค่ 10 กว่ากิโลเท่านั้นเอง ชั้นเคยเดินบนภูเขามาก่อนเพื่อไปโรงเรียน ดังนั้นแค่นี้สบายมาก”
ซูเถาคิดในใจว่าฐานะทางบ้านของเสี่ยวจิงจิงคงจะลำบากพอดู เธอตื่นแต่เช้าและเลือกที่จะเดินมาเพื่อประหยัดค่าใช่จ่ายในการเดินทาง ทำให้ซูเถานั้นรู้สึกเห็นใจเธอ
ซูเถาได้ไตร่ตรองเรื่องนี้ก่อนจะพูดขึ้นมา “เธอต้องเตรียมตัวก่อนที่จะเข้ามาฝึกงานที่นี่ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาฝึกงานที่นี่ได้ ปกติแล้วที่นี่ไม่ต้องทำงานหนักมากนัก ซึ่งถ้าเธอสามารถแสดงผลลัพธ์ที่ดีเกี่ยวกับการฝึกงานได้ ชั้นก็จะจ่ายเงินให้สำหรับค่าฝึกงานของเธอ และถ้ามีวันไหนที่เธอสามารถรักษาคนได้ เงินส่วนตรงนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
แววตาของเสี่ยวจิงจิงเป็นประกายก่อนที่เธอจะตอบ “ชั้นจะพยายามเต็มที่ค่ะ !”
เธอสวมรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ซึ่งเธอสูงประมาณ 5 นิ้ว 3 ฟุต ผมดำขลับผูกเป็นทรงหางม้า เธอไม่ได้แต่งหน้ามาเลยและถึงแม้จะมีกระอยู่ที่ใบหน้าของเธอ พอมองดูแล้วเธอก็มีใบหน้าที่น่ารักทีเดียว
ซูเถาคิดว่าเสี่ยวจิงจิงคงจะยังไม่ได้กินอะไรมาแน่นอน จึงถามขึ้น “เธอทำอาหารเป็นมั้ย ?”
เธอหยักหน้า “ชั้นทำเป็นตั้งแต่อายุ 5 ขวบแล้ว”
ซูเถาชี้นิ้วไปยังด้านหลัง “มีวัตถุดิบอยู่ในครัวด้านหลัง เธอจะต้องรับผิดชอบในการทำอาหาร” คนจนนั้นจะต้องฝึกทำงานบ้านตั้งแต่อายุน้อย เด็กคนนี้คงจะลำบากมามากทีเดียว
เสี่ยวจิงจิงพยักหน้าก่อนที่จะเข้าไปในร้านขายยา ซูเถาก็กลับมาออกกำลังกายต่อ
การออกกำลังกายตอนเช้านั้นเป็นพื้นฐานของการรักษาพลังกายให้สูงอยู่เสมอ และในฐานะแพทย์ยอดเยี่ยมหากเขาไม่สามารถรักษาวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีได้ เขาจะไปรักษาคนไข้ได้อย่างไร ?
ในสายตาคนส่วนมาก พวกเขาต้องการแพทย์เมื่อพวกเขาป่วยเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงการป้องกันนั้นก็ถือเป็นกุญแจสำคัญ หากพวกเขารอจนอาการป่วยกำเริบขึ้นมา มันจะเป็นอันตรายต่อตัวพวกเขาเองถึงแม้ว่าอาการป่วยนั้นจะสามารถรักษาให้หายได้ก็ตาม ดังนั้นการมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์จะช่วยป้องกันจากการล้มป่วยได้
ถึงแม้ว่าแพทย์แผนตะวันตกจะเป็นที่นิยม แต่ก็ยังคงมีแพทย์แผนจีนคอยเป็นทางเลือกอยู่ เนื่องจากการดูแลสุขภาพของแพทย์นั้นเป็นสิ่งที่แพทย์แข่งขันกันไม่ได้
ซูเถากำลังฝึกเทคนิคเกี่ยวกับการออกหมัดที่เรียกว่า 'เทคนิคพลังคลื่นชีพจร' มันเป็นเพียงการเคลื่อนไหวง่ายๆเพียง 21 ขั้นตอนเท่านั้น แต่ถึงแม้จะง่ายแต่ทุกการเคลื่อนไหวนั้นเชื่อมโยงกัน และการเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ดูนิ่มนวลเหมือนมวยไท่เก็ก
เทคนิคพลังคลื่นภายในนั้นเป็นเทคนิคเกี่ยวกับการใช้หมัดและกำปั้นซึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือเล่มที่สามของตำราแพทย์จักรวรรดิ ถึงแม้มันจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับฝ่ามือสวรรค์ แต่มันก็ยอมเยี่ยมในการบำรุงลมปราณ
หลักการของเทคนิคพลังคลื่นภายในนั้นเป็นการกระตุ้นอวัยวะภายในทั้งห้าและลำไส้ทั้งหก เทคนิคการใช้หมัดจะเป็นการเก็บลมปราณเอาไว้ที่บริเวณช่องท้อง ในขณะที่เทคนิคพลังภายในจะถูกเก็บเอาไว้ที่จุดฝังเข็ม , อวัยวะภายในทั้งห้า , และทวารทั้งหก
ซูเถาค่อยๆขยับอย่างช้าๆทุกครั้ง หลังจากที่เขาออกกำลังกายเสร็จ ตัวเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อก่อนที่เสี่ยวจิงจิงจะตะโกนออกมาจากในครัว “อาหารเช้าเสร็จแล้ว'
“ขอบใจมาก” ซูเถาพยักหน้า ในตอนที่เขาเดินเข้ามา เสี่ยวจิงจิงก็ได้เตรียมน้ำชาเอาไว้ใส่ถ้วย ก่อนที่เธอจะเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าซูเถา “อาจารย์ , ได้โปรดดื่มชาซักถ้วย !”
ซูเถาอึ้ง ก่อนที่เขาจะยิ้ม “นี่เธอทำอะไรเนี่ย ?”
เสี่ยวจิงจิงยกมือขึ้นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “นี่ไม่ใช่พิธีการในการรับศิษย์ - อาจารย์หรอกเหรอ ?”
ซูเถาไอ ก่อนที่เขาจะกลั๊วคอและเริ่มเล่นสวมบทบาท “ในเมื่อเธอกราบชั้นเป็นอาจารย์ ชั้นก็จะรับเธอเป็นศิษย์ ตั้งแต่วันนี้ เธอจะเป็นศิษย์อาวุโสแห่งตำหนักของซูเถา”
ซูเถายอมรับว่าเขานั้นค่อนข้างตื่นเต้นทีเดียวเพราะนี่เป็นการรับศิษย์คนแรกของเขา
เสี่ยวจิงจิงไม่คิดว่าซูเถาจะรับเธอเป็นศิษย์ง่ายขนาดนี้ เธอรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก “ชั้น , เสี่ยงจิงจิง ขอสาบานว่าจะทำให้ดีที่สุดและจะไม่ทำให้ท่านต้องอับอาย”
ซูเถารับถ้วยน้ำชามาก่อนจะยกดื่มจนหมดและวางถ้วยเปล่าไว้ข้างๆ จากนั้นเขาได้ดึงเสี่ยวจิงจิงขึ้นมาก่อนจะสัญญากับเธอ “เธอมีความตั้งใจจริงที่จะเป็นศิษย์ของชั้น ชั้นจะสอนเธอด้วยความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่มี แต่เธอจะต้องรู้เอาไว้ด้วย ว่าชั้นทำได้เพียงแค่ชี้นำเธอเท่านั้น ที่เหลือเธอต้องพยายามด้วยตนเอง”
ซูเถารู้สึกประทับใจในทัศนคติของเสี่ยวจิงจิง ทันใดนั้นเธอก็ได้คุกเข่าลง
ในตอนแรก ซูเถาต้องการรับลูกศิย์หลายๆคนเพื่อให้เข้ามาช่วยงานที่ตำหนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาพบเสี่ยวจิงจิง ความคิดของเขาก็ได้เปลี่ยนไป หากเขาต้องการให้ตำหนักนั้นพัฒนาไปได้ดียิ่งขึ้น มันก็ต้องมีผู้ช่วย เนื่องจากเสี่ยวจิงจิงเป็นศิษย์คนแรกของเขา เธออาจจะเป็นผู้ช่วยของเขาได้ในอนาคต
อาหารเช้านั้นค่อนข้างเรียบง่าย มีโจ๊ก ผักดอง และไข่ ฝีมือการทำอาหารของเสี่ยวจิงจิงนั้นถือได้ว่าดีมาก ยิ่งโจ๊กนั้นทั้งหอมและหวาน ซูเถากินโจ๊กหมดไปสองชามก่อนจะพูดว่า “เธออยู่ที่นี่แทนหอพักที่โรงเรียนก็ได้นะ เพราะว่าเธอนั้นต้องฝึกงานที่ตำหนักนี่อยู่แล้ว”
เสี่ยวจิงจิงยิ้ม “อาจารย์ที่มหาลัยนั้นล้วนแต่อ่านจากในหนังสือมาสอนซึ่งชั้นจำมันได้หมดแล้ว ดังนั้น มันก็ไม่เป็นไรที่ชั้นจะไม่ไปมหาลัย เหตุผลที่ชั้นมาที่นี่ก็เพื่อที่จะเรียนรู้การเป็นแพทย์อัจฉริยะ”
ซูเถายิ่มก่อนจะถาม “แพทย์อัจฉริยะนี่คืออะไรงั้นเหรอ ?”
“ผู้ซึ่งรักษาและช่วยชีวิต” เสี่ยวจิงจิงตอบกลับ
ซูเถาส่ายหน้า เขาไม่ค่อยถูกใจกับคำตอบนั่นเท่าไหร่ “แต่แพทย์แผนตะวันตกก็สามารถรักษาและช่วยชีวิตได้เหมือนกันนี่”
คำพูดของเขาทำให้เสี่ยวจิงจิงงง ก่อนเธอจะถาม “งั้น , แพทย์คืออะไรล่ะ ?”
ซูเถาตอบ “ในกรณีเล็กๆเรารักษาอาการป่วย ในกรณีปานกลางเรารักษาคนป่วย ในกรณีใหญ่ๆเรารักษาประเทศ”
มีผู้หญิงคนนึงอุ้มเด็กสาวอายุหกเดือนมาที่แผนกกุมารแพทย์ที่โรงพยาบาลเจียงหัว ก่อนเธอจะถาม “หมอลู , ลูกชั้นป่วยเป็นอะไรงั้นเหรอ ?”
ลูชีเหมียว มองดูที่ฟิล์มอัลตร้าซาวน์อยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะพูดขึ้น “มันเป็นการพัฒนาที่ผิดปกติเกี่ยวกับสะโพก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นในเด็กแรกเกิดเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น และเด็กผู้หญิงมีโอกาสเกิดมากกว่าเด็กผู้ชายสิบเท่า”
หลังได้ยินดังนั้น ผู้หญิงคนนั้นกังวลเป็นอย่างมากก่อนจะถามหมอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แล้วชั้น...ควรจะทำยังไงดี ?”
ลูชีเหมี่ยวตอบ “มันเป็นอาการที่สืบทอดกันมาทางพันธุกรรม ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งมีโอกาส 90 % ที่จะสามารถรักษาให้หายเป็นปกติ”
หลังจากได้ยินดังนั้น หญิงสาวได้ถามไปยังหมอ “แล้วเราจะเริ่มกันได้เมื่อไหร่ ?”
ลูชีเหมี่ยวตอบ “เดี๋ยวกำหนดวันนัดก่อน”
สิ้นสุดคำพูดของหมอ หญิงสาวได้จากไปพร้อมกับลูกน้อยของเธอ
พอลูชูเหมี่ยวทำท่าจะเรียกคนไข้คนถัดไป โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น สามีของเธอโทรมา เสียงปลายสายซึ่งเป็นเสียงของเฉียวโบตอบกลับมา “ที่รัก , วันนี้ทำโอทีหรือเปล่า ?”
เออตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ชั้นมีกะวันอังคารกับวันพุธที่แผนกฉุกเฉินของแผนกกุมารแพทย์ เธอก็น่าจะรู้นี่ !”
เฉียวโบยิ้ม “ชั้นแค่โทรมาถามเท่านั้นเอง พอดีชั้นจะไปเที่ยวกับเพื่อนซักหน่อยเลยจะโทรมาบอกว่าชั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านนะ”
ลูชีเหมียวตอบกลับด้วยความรำคาญเล็กน้อย “โอเค แค่นี้นะ ชั้นทำงานอยู่”
หลังจากวางสาย เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ พวกเขาสองคนแต่งงานกันมาได้ปีนึงแล้ว เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เธอพบว่าสามีของเธอนั้นดูจะยุ่งๆเวลาตอนที่เธอทำโอที เธอจึงสลับกะกับเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่จะกลับบ้านมาและพบว่าสามีของเธอนั้นอยู่กับผู้หญิงซึ่งนอนเปลือยอยู่บนเตียง
เธอต้องการจะหย่ากับเฉียวโบเดี๋ยวนั้นเลย แต่พ่อสามีของเธอ เฉียวเต้อหาวได้ห้ามเอาไว้ซะก่อน ณ ตอนนั้นที่เธอยังคงแต่งงานกับเฉียวโบเพราะว่าเฉียวเต้อหาวเป็นคนขอร้องเอาไว้ พอเธอรู้ว่าสามีของเธอนั้นนอกใจเธอ จิตใจของเธอนั้นได้กลายเป็นดั่งน้ำแข็งในทันที
เฉียวโบยอมรับว่าเขาหยุดมองผู้หญิงคนนั้นจริง แต่จากปฏิกิริยาเล็กๆน้อยๆของเขา เธอพบว่าเฉียวโบยังคงยุ่งอยู่กับผู้หญิงคนนั้นและลักลอบเป็นชู้กัน
ลูชีเหมี่ยวรู้สึกสิ้นหวังและขยะแขยงกับครอบครัวนี้ มีหลายครั้งที่เธอพยายามจะหย่ากับเฉียวโบแต่เฉียวเต้อหาวก็มาหยุดเธอเอาไว้ทุกครั้ง เขาบอกว่าถ้าเธอหย่ากับเฉียวโบ เขาจะปลดเธอออกจากโรงพยาบาลเจียงหัว
หลังจากลูชีเหมี่ยววางสาย ได้มีพยาบาลเดินเข้ามา “เลขาฯเฉียวโทรหาคุณไม่ติดจึงได้โทรหาชั้นแทน เขาให้คุณไปพบเขาที่สำนักงานด้วย”
“เข้าใจแล้ว” ลูชีเหมี่ยวเก็บห้องของเธอก่อนที่จะเดินไปยังสำนักงานของเฉียวเต้อหาว
พยาบาลคนนั้นมองไปยังลูชีเหมี่ยวก่อนจะพึมพำด้วยความอิจฉา “หมอลูเป็นเหมือนกับดอกไม้ของโรงพยาบาลนี้ น่าเสียดายจริงๆที่ดันไปแต่งงานกับเพลย์บอยแบบนั้นซะได้”
ลูชีเหมี่ยวเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไป เฉียวเต้อหาวยิ้มก่อนจะมองไปที่เธอ “ทำไมเธอไม่ใส่ชุดที่ชั้นเพิ่งซื้อให้เธอไปล่ะ ?”
ลูชีเหมี่ยวตอบกลับ “ชุดมันไม่พอดีน่ะ ชั้นเลยโยนมันทิ้งไปแล้ว นี่คุณเรียกชั้นมาเพราะเรื่องแค่นี้งั้นเหรอ ?”
เฉียวเต้อหาวไออย่างเชื่องช้า “ไม่ใช่อยู่แล้ว , โรงพยาบาลของเรากำลังจะจัดตั้งกลุ่มพิเศษขึ้นมาเพื่อทำการดูแลเหล่าผู้นำและพวกนักลงทุนรายใหญ่ , ชั้นจะให้เธอเป็นรองหัวหน้ากลุ่มที่ว่า เลยเรียกมาเพื่อบอกให้รู้ไว้ก่อน”
“ก็ได้ , หมดแล้วใช่มั้ย ชั้นจะได้ไปซักที” หลังพูดจบ เธอหันหลังกลับแทบจะทันทีและเดินออกไป
เฉียวเต้อหาวมองไปยังลูชีเหมี่ยวก่อนจะถอนหายใจ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทั้งๆที่ลูกชายมีภรรยาที่สวยขนาดนี้ ทำไมถึงยังคิดนอกใจได้อีก