บทที่ 19 ภยันตรายจากจิตรกรรมราชวงค์ซ่ง
บทที่ 19 ภยันตรายจากจิตรกรรมราชวงค์ซ่ง
การควบคุมอาการป่วยของเว่ยถิงนั้นซูเถาจำเป็นต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนเพื่อให้สามารถรักษาได้อย่างสมบูรณ์ ชึ่งเขาได้จงใจทิ้งระยะห่างเวลาการรักษาไว้เพื่อเป็นตัวคานอำนาจระหว่างเขากับหยานจิ้ง ซึ่งหากเขารักษาเว่ยถิงเร็วเกินไปมันจะเป็นผลเสียต่อเขา หยานจิ้งเป็นคนที่น่ากลัว และตัวเขาก็ไม่ใช่เป็นคนเดียวที่อยู่บนโลกนี้ เขาต้องระวังไม่ให้หยานจิ้งมาคุกคามคนรอบข้างเขา
หยานจิ้งดูสง่ามากเมื่อเธอกำลังกินอาหาร ซึ่งทำให้ซูเถารู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าแค่การกินอาหารจะทำให้ผู้หญิงดูมีสเน่ห์ขนาดนี้ ราวกับว่าการกินนั้นเป็นงานศิลปะสำหรับเธอ ด้วยมุมมองที่งดงามนั้น มันทำให้ซูเถาเกิดความอยากอาหารมากขึ้นไปอีกและเขาได้จัดการอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
หยานจิ้งสังเกตเห็นว่าซูเถานั้นกำลังกินอาหารอยู่ แต่สายตาที่กล้าหาญของเขานั้นจ้องมาที่หน้าอกของเธอ การที่เขาสามารถทำตัวหมกมุ่นได้ขนาดนี้นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่น่าทึ่งเลยทีเดียว
หยานจิ้งจิบน้ำ ก่อนจะทำลายความเงียบในตอนนั้นด้วยคำพูดของเธอ “เดี๋ยวชั้นจะให้คนของชั้นไปส่งนายหลังจากอาหารมื้อนี้จบลง นายต้องมาที่นี่อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งเพื่อรักษาเว่ยถิง”
ซูเถาเช็ดปากก่อนที่จะตอบกลับด้วยความลำบากใจ “ชั้นงานยุ่งนะ !”
หยานจิ้งยิ้ม “ชั้นจะจ่ายค่ารักษาให้เอง เท่าไหร่ล่ะ ?”
ถ้ามีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ง่ายขึ้น ดังนั้น ซูเถาจึงโก่งราคา “ครั้งละ 1,000 หยวน”
หยานจิ้งครุ่นคิดสั้นๆก่อนจะเสนอ “ชั้นให้ครั้งละ 2,000 เลยเป็นไง ?”
ซูเถาตอบตกลงทันดีโดยไม่ลังเล “ตกลง !”
เขาเป็นคนทำให้เว่ยถิงต้องตกอยู่ในสภาพนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมารักษาเว่ยถิงแทน แถมได้เงินค่ารักษาสูงลิ่วซะด้วย มันอาจจะดูแปลกๆหน่อยแต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร
หลังจากกินอาหารเสร็จ คนขับรถของหยานจิ้งได้พาซูเถาออกไป เลขาฯของหล่อนได้ถามเธอสั้นๆ “นี่เป็นการเจอกันครั้งที่สองระหว่างพวกคุณทั้งสอง คุณคิดยังไงกับเขา ?”
เลขาฯดันแว่นของเธอเป็นเวลาเดียวกับที่หยานจิ้งตอบ “เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เห็นนะ ถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่ประสีประสาเท่าไหร่ แต่เขาก็ดูสงบดีทีเดียว”
หยานจิ้งถอนหายใจ “เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเราจะพาเขามาเพื่อรักษาเว่ยถิง จิตใจของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าทักษะทางการแพทย์ของตัวเขาเองเลย มันทำให้ชั้นออยากจะรู้เกี่ยวกับตัวเขามากขึ้นไปอีก”
เลขาฯยิ้ม “ในความคิดของชั้น ชั้นคิดว่าคุณประเมินเขาไว้สูงมากทีเดียวนะ”
หยานจิ้งตอบ “หวังกุ้ยเฟิง เธอเคยเจอเขามาก่อนด้วยใช่มั้ย ?”
“ชั้นประทับใจในตัวเขานะ , แพทย์หนุ่มผู้มีความสามารถสูงส่งแห่งศตวรรษ” เลขาฯตอบด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ
หยานจิ้งถอนหายใจ “พวกเขาต่างก็มีอะไรที่เหมือนกัน แต่พอเทียบกับหวังกุ้ยเฟิงแล้ว ซูเถานั้นดูจะคาดเดาได้ยากมากกว่า”
เลขาฯรู้สึกประหลาดใจในการประเมินของเธอซึ่งให้ซูเถาดูเหนือกว่าก่อนที่เธอจะตอบกลับ “แต่คุณเพิ่งจะพบกับเขาแค่สองครั้งเองนะ”
หยานจิ้งข้องใจ “เธอสงสัยในสายตาของชั้นงั้นเหรอ ?”
เลขาฯกอดอกก่อนจะยิ้ม “มิกล้าค่ะ ! คุณคงคิดจะร่วมมือกับเขาและคงไม่หลงสเน่ห์เขาใช่ไหม ?”
หยานจิ้งตอบ “ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้เขายังมีค่าสำหรับชั้น เว่ยถิงยังคงปฏิเสธที่จะคุยกับชั้น แต่ชั้นคิดว่าเราน่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยฝีมือของซูเถา ดังนั้น เค้าจึงเป็นการลงทุนระยะสั้นที่คุ้มค่ากับชั้นมาก”
“งั้นหมายความว่าเราจะยกเลิกการรื้อถอนย่านถนนเก่างั้นเหรอ ?” เลขาฯถามด้วยความประหลาดใจ
สายตาของหยานจิ้งดูล้ำลึกมากก่อนที่จะพูดต่อ “ศาลาว่าการของเมืองได้ให้คำจำกัดความของนักลงทุนต่างชาติไว้ว่าเป็นพวกที่ชอบจะถือเอาแผ่นดินของเราและเปลี่ยนมันเป็นกลายเป็นโครงการสำหรับนักท่องเที่ยว โดยที่ทางศาลาว่าการของเมืองต้องการขอความร่วมมือจากเราในการที่จะพัฒนาประเทศนี้ มันไม่สำคัญว่าย่านถนนเก่าจะถูกรื้อถอนหรือไม่ ประเด็นมันอยู่ที่เว่ยถิงจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง”
หงเชงกรุ๊ปได้รับเอกสารที่เกี่ยวกับการรื้อถอนมาได้ซักพักใหญ่แล้ว หลังจากการรื้อถอนจัดการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะเปิดให้ประมูลเพื่อที่จะทำกำไร แต่ในตอนนี้ พวกเขาจำเป็นจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้ เพราะทางศาลาว่าการเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้พวกเขา
“ถ้างั้น คุณตั้งใจจะพัฒนาย่านถนนเก่าร่วมกันกับนักลงทุนต่างชาติคนนั้นงั้นเหรอ ?” เลขาฯถาม
หยานจิ้งตอบ “ชั้นได้สืบมาอย่างละเอียดแล้วว่านักลงทุนต่างชาติคนนั้นเป็นบุคคลสำคัญของทางหางโจว ถ้าเธอมีความประสงค์ที่จะลงทุนร่วมกับเรา พวกเราก็จะได้รับการสนับสนุนจากเธออย่างเต็มที่ โดยที่เราสามารถนั่งรอนับเงินได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากนี้ นักลงทุนคนนั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับซูเถาอีกด้วย เธอเป็นคนไข้ของเขา”
สิ้นเสียงหยานจิ้ง เลขาฯได้ถามเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าอย่างงี้ มันจะไม่เป็นการขัดผลประโยชน์กับซูเถาหรอกเหรอ ?”
หยานจิ้งขมวดคิ้วก่อนที่จะตอบกลับ “คิดว่าชั้นจะปล่อยเขาไปง่ายๆงั้นเหรอ ?”
ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมงเย็นซึ่งซูเถาได้กลับมาที่ตำหนักของเขาเรียบร้อยแล้ว อากาศโดยรอบนั้นอบอุ่น ผู้เฒ่าสูกับผู้เฒ่าเฉินต่างก็ถือพัดใบปาล์มพลางนั่งเล่นหมากรุกอยู่ ซูเถาได้ให้กุญแจตำหนักกับผู้เฒ่าสูเพื่อให้เขาเฝ้าร้านให้ ซูเถายังคงมีภาระหน้าที่ในโรงพยาบาลเจียงหัว และเขาไม่สามารถปล่อยตำหนักเอาไว้เฉยๆได้ ดังนั้น ผู้เฒ่าสูยินดีที่จะช่วยแจกจ่ายยาที่ซูเถาได้แยกเตรียมไว้ให้ เขาเพียงแค่ทำตามที่ใบสั่งยาเขียนเอาไว้อย่างเคร่งครัดเท่านั้น
ในตอนที่ซูเถาได้กลับมาถึงและเอากล่องยาวางไว้ที่เคาเตอร์ เขาได้ยินผู้เฒ่าสูตะโกนเข้ามา “แม่หนูไคมาหาหมอซูอีกแล้วเหรอ ? เขาเพิ่งจะกลับมาถึงเองนะ ให้เขาพักหายใจซักแป๊ปก่อนไม่ได้เหรอ ?”
ผู้เฒ่าเฉินขัดจังหวะขึ้นมา “นายจะไปขัดจังหวะพวกเขาทำไม มีสมาธิหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวก็ได้แพ้อีกหรอก”
ไคหยานหน้าแดงก่อนที่เธอจะเอาขนมมาให้ “ชั้นเอาขนมมาให้ , แล้วก็ได้โปรดเถอะ ชั้นอายนะ”
ผู้เฒ่าสูหัวเราะ “พ่อของเธอเป็นที่รู้จักในเรื่องความขี้เหนียว แต่เธอนั้นใจกว้างกว่ามาก เธอน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าพ่อเธอนะ”
ซูเถาเงยหน้าขึ้นและเห็นไคหยานเดินเข้ามาในร้านขายยา ในวันนี้เธอมัดผม สวมชุดเดรสสีกรมท่า และใส่ถุงน่องสีพีช สวมรองเท้าแตะสีขาว ดูรวมๆแล้วเรียบง่ายแต่สง่างามมากทีเดียว
ซูเถายิ้มก่อนที่จะเริ่มบทสนทา “พ่อของเธออาการเป็นยังไงบ้าง ?”
ไคหยานพยักหน้าก่อนจะยิ้ม “เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อตอนกลางวันนี่เอง ชั้นมานี่เพื่อขอบคุณนายแทนพ่อของชั้น นอกจากนี้ เพื่อแสดงถึงความขอบคุณ ชั้นอยากให้นายมากินข้าวเย็นที่บ้านชั้นคืนนี้นะ”
ซูเถาลังเล “นั่นเป็นความตั้งใจของเธอหรือของพ่อเธอกันล่ะ ?”
ไคหยานยิ้ม “นายไม่กลัวแม้แต่พวกนักเลง แต่นายกลับกลัวพ่อชั้นเนี่ยนะ ?”
ซูเถายิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะยักไหล่ “กับพวกนักเลงชั้นใช้แค่หมัดก็จัดการพวกมันได้แล้ว แต่กับพ่อเธอ ชั้นทำได้แค่อดทนเท่านั้นแหละ”
ในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าสูก็ได้ขัดจังหวะขึ้นมา “เรื่องปกติน่าที่ลูกเขยจะกลัวพ่อตาน่ะ !”
ไคหยานหูแดงขึ้นหลังจากได้ยินประโยคนั้น เธอตอบกลับอย่างมีมารยาท “อาหารเยอะขนาดนั้นยังทำให้พวกคุณเงียบไม่ได้อีกเหรอ ?”
เธอหันไปหาซูเถาก่อนที่จะอธิบาย “วางใจเถอะ , พ่อชั้นบอกให้ชั้นมาเชิญนายเองแหละ ตอนนี้พ่อของชั้นใจอ่อนลงแล้ว เขาไม่ทำให้นายลำบากใจหรอก”
ซูเถาเกาหัวก่อนจะยิ้มตอบ “ก็ได้ งั้นชั้นจะไปกินข้าวเย็นที่บ้านเธอ”
พอเห็นซูเถาตอบตก สีหน้าของไคหยานก็เต็มไปด้วยความสุข “งั้นชั้นจะกลับไปเตรียมมื้อเย็นนะ !”
พอเห็นไคหยานเดินกลับออกไปอย่างมีความสุข ซูเถายิ้ม เขาเข้าใจความรู้สึกของไคหยานดี แต่มันก็น่าเสียดายเพราะยังมีเรื่องอื่นคอยกวนใจซูเถา
เนื่องจากเขาไปกินข้าวเย็นที่บ้านของไคหยาน เขาไม่สามารถไปมือเปล่าได้ เขาจึงได้เตรียมยาชุดบำรุงร่างกายเอาไว้เมื่อเขาไปถึงร้านขายของเก่า แม้ว่าใบหน้าของเขายังคงมีสีเหลืองอยู่บ้าง แต่อาการโดยรวมก็ถือว่าหายดีแล้ว แผลของเขาก็หายดีและเขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง
พอเห็นซูเถามาพร้อมกับของขวัญ ไคซงพูยิ้ม “นี่เป็นแค่การนัดกินข้าวเย็นเท่านั้นเอง ทำไมต้องเอาของขวัญมาด้วยล่ะ ?”
ซูเถายิ้มก่อนจะตอบกลับ “ลุงไค คุณเพิ่งหายป่วย ผมจึงได้เตรียมยามาเพื่อช่วยในการบำรุงร่างกาย กินพวกนี้วันละครั้งแล้วมันจะทำให้คุณฟื้นฟูพลังกายได้เร็วยิ่งขึ้นภายในหนึ่งอาทิตย์”
ไคซงพูดตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ชั้นต้องขอโทษนายด้วย , ก่อนหน้านี้ชั้นเสียมารยาทกับนาย อย่าได้ถือโทษโกรธชั้นเลยนะ”
ซูเถาโบกมือก่อนจะยิ้ม “ผมรู้ว่าทำไมคุณถึงทำแบบนั้น แต่ไคหยานก็ได้โตขึ้นพร้อมกับมีความคิดเป็นของตนเองแล้ว ผมคิดว่าคุณไม่ควรที่จะไปบีบบังคับเธอมากจนเกินไป”
ไคซงพูอธิบาย “มันมีเหตุผลอยู่ พอดีเรื่องมันยาวน่ะ”
ในตอนนั้นเอง ไคหยานก็ได้เข้ามาพร้อมกับนำจานมาด้วย ไคซงพูจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “เอาไวน์มั้ย ?”
ซูเถายิ้ม “ในฐานะหมอ ผมคิดว่าคุณน่าจะเลี่ยงแอลกอฮอล์นะ”
ไคซงพูพยักหน้าเห็นด้วย “ชั้นจะทำตามที่หมอแนะนำ งั้นเปลี่ยนไวน์เป็นชาก็แล้วกัน”
เนื่องจากสถานการณ์ที่ไคหยานพบเจอนั้นดันไปกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของซูเถา ไคซงพูนั้นดูจะช่างพูดมากกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก การที่ไคซงพูนั้นเกี่ยวข้องกับพวกของโบราณและเขาต้องเดินทางรอบโลกบ่อยๆ ดังนั้น เขาจึงเริ่มที่จะแบ่งปันเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับพวกของโบราณกับซูเถา
แต่ไคซงพูนั้นรู้สึกประหลาดใจที่ซูเถาไม่เพียงแต่จะรู้จักศัพท์เกี่ยวกับพวกของโบราณเท่านั้น เขายังสามารถอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัตถุโบราณได้อีกด้วย
ไคซงพูสังเกตเห็นกล่องยาของซูเถาก่อนที่จะถาม “ชั้นเคยคุยกับผู้เฒ่าซูเมื่อก่อน ชั้นได้ยินมาว่าบรรพบุรุษตระกูลซูนั้นทุกคนต่างก็ล้วนประกอบวิชาชีพโรคศิลป์กันทั้งหมด กล่องยานั้นเป็นของที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นงั้นเหรอ ?”
ซูเถายิ้มก่อนที่จะอธิบาย “กล่องยานั่นผมสั่งทำพิเศษขึ้นมาน่ะ เพียงแต่ผมใช้มันบ่อยมันก็เลยดูเก่าๆเท่านั้นเอง”
ไคซงพูลูบปาก “มันดูดีมากทีเดียวนะ มันดูราวกับเป็นของจากสมัยราชวงค์ซ่งเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อพวกเขาได้เคลียร์ใจกันเรียบร้อยแล้ว ซูเถาจึงได้เริ่มถามเกี่ยวกับอาการป่วยของไคซงพู “คุณได้รับพิษโทเมน ผมจึงสงสัยว่าบางทีอาจจะมีคนที่ใกล้ชิดคุณและพยายามวางยาคุณ คุณพอจะจำได้มั้ยว่าใครเป็นคนพยายามที่จะวางยาคุณ?”
ไคซงพูยิ้ม “มันเลี่ยงไม่ได้หรอกที่จะมีคนพยายามทำแบบนั้น ชั้นได้ฝากชีวิตไว้กับโชคชะตามานานแล้ว”
ซูเถารู้ได้ทันทีว่าไคซงพูนั้นไม่อยากที่จะคุยเรื่องนี้อีก ดังนั้นเขาจึงได้จิบชาก่อนจะถอนหายใจ
หลังจากเห็นกิริยาท่าทางที่สงบเสงี่มของซูเถา ไคซงพูได้กระซิบถามซูเถา “ชั้นอยากจะถามนายหน่อย นายจริงจังกับไคหยานหรือเปล่า ?”
ซูเถารู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันทีก่อนจะยิ้ม “ในตอนนี้ พวกเรายังเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นเอง”
ไคซงพูจ้องไปยังซูเถาด้วยความงุนงง “ถ้างั้น ชั้นขอให้นายรักษาระยะห่างกับไคหยานหน่อย”
ซูเถาไม่คิดมาก่อนว่าไคซงพูจะพูดเรื่องนี้ก่อนที่จะมีเสียงเอะอะดังขึ้นที่ประตู
ไคซงพูขมวดคิ้วก่อนจะเดินออกไป “เดี๋ยวชั้นไปดูหน่อยว่ามันเกิดเรื่องอะไรข้างนอก”
มีเสียงคนทะเลาะกันข้างนอกก่อนที่ไควงพูจะร้องขึ้นพร้อมกับเสียงของสิ่งของโดนทุบ ซูเถากับไคหยานจึงออกไปดูและก็พบว่าไคซงพูนั้นกำลังเอามือกุมท้องในขณะที่เขาโดนเหยียบหน้าอยู่
“เอาของออกมา ไม่งั้นชั้นจะเอาชีวิตแก”
ไคซงพูตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ชั้นได้มันมาจาก วัวแก่ ทำไมชั้นจะต้องให้แกด้วย ?”
“ไอ้ชั้นต่ำเอ้ย” ชายคนนั้นถ่มน้ำลายใส่ไคซงพู “วัวแก่ บอกว่าแกขโมยมันมา”
ไคซงพูไม่เห็นด้วย ก่อนที่เขาจะโต้เถียงกลับไป “ไร้สาระ , ชั้นซื้อมันมาในราคาหกล้านหยวน และชั้นก็มีใบเสร็จด้วย”
ชายคนนั้นหัวเราะเยาะ “ใบเสร็จมันปลอมกันได้ ของนั่นน่ะอย่างต่ำก็มีมูลค่าสูงถึงห้าสิบล้านหยวนแล้ว แกจะซื้อมันมาในราคาหกล้านหยวนได้ไง ชั้นได้จ่ายมัดจำไปแล้วสามล้านหยวน แต่ของดันไปอยู่ที่นายเนี่ยนะ ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ล่ะ ?”
ในตอนนี้ ไคซงพูคิดว่ามันเป็นไปได้อยู่สองทาง ถ้า วัวแก่ หลอกเขาและขายสินค้านั่นซ้อนกันสองครั้ง หรือไม่ก็ชายคนนี้ตั้งใจจะมาขู่กรรโชกเพื่อเอารูปภาพสมัยราชวงค์ซ่งไปจากเขา