บทที่ 168 การเดินทางด้วยตัวคนเดียว
ราวๆสามร้อยกว่ากิโลเมตรทางตะวันตกของหุบเขาเมฆาทมิฬ กลุ่มนักผจญภัยกำลังออกล่าสัตว์อสูรอยู่ในภูเขา ที่แห่งนี้ไม่ค่อยมีสัตว์อสูรชุกชุมนัก แม้แต่จอมยุทธเองก็ไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็น
ในเวลาปกติ เหล่าจอมยุทธจะไม่ล่าสัตว์อสูรในบริเวณนี้ หลังจากเจียงอี้เข้าควบคุมทำเลทองของหุบเขาเมฆาทมิฬและกลับไปยังสำนักได้ไม่นานก็มีกลุ่มนักผจญภัยขนาดใหญ่เข้ามายึดครองแทน
เหล่านักผจญภัยกลุ่มเล็กจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกล่าในบริเวณอื่น
ปัง!
ในกลุ่มนักผจญภัยตอนนี้ประกอบไปด้วยสมาชิกนับโหล สองคนในพวกเขาเป็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถจัดการกับสัตว์อสูรระดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ใช้เวลาไม่นานนัก สัตว์อสูรที่ตกเป็นเป้าหมายในการล่าก็ถูกสังหารก่อนที่มันจะได้มีโอกาสปลดปล่อยวิชาอสูรออกมา
“เริ่มการชำแหละ!”
หัวหน้ากลุ่มนำดาบยาวออกมาและกรีดไปตามลำตัวของสัตว์อสูรตัวนั้นเพื่อนำอวัยวะหรือวัตถุดิบสำคัญออกมา ที่แห่งนี้มีสัตว์อสูรน้อยเกินไป หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ พวกเขาจะต้องตกอยู่ในความลำบากอย่างแน่นอน
“หืม?”
แต่ในขณะที่กำลังลงมือแล่เนื้อสัตว์อสูรอยู่นั่น ด้วยสัมผัสอันเฉียบแหลมของจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ ทำให้หัวหน้ากลุ่มหันควับไปทางป่า
ทันใดนั้นม่านตาของเขาก็หดแคบลง เขามองเห็นร่างเงาสีม่วงกำลังมุ่งตรงมายังทิศที่พวกเขาอยู่ด้วยความเร็วราวกับพายุ ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ สิ่งมีชีวิตตัวนั้นก็สามารถเคลื่อนตัวข้ามภูเขามาแล้ว
“สะ สัตว์อสูรระดับสาม! ทุกคนหนีเร็ว!”
มีเพียงแค่สัตว์อสูรระดับสามเท่านั้นที่ครอบครองความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้ ถึงยังไม่สามารถจะระบุได้ว่าเป็นสัตว์อสูรชนิดใด แต่หัวหน้ากลุ่มก็ไม่ลังเลที่จะหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“หนีเร็ว!”
เหล่านักผจญภัยต่างก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย พวกเขามีปฏิกิริยาที่รวดเร็วและรีบแยกย้ายกันหลบหนีโดยไม่ลังเล พวกเขาไม่แม้แต่จะเสียดายซากสัตว์อสูรที่เพิ่งล่าได้
ฟึ่บ!
แต่น่าเสียดายที่ความเร็วของพวกเขานั้นไม่เพียงพอ พริบตาเดียวร่างเงาสีม่วงลึกลับนั้นก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลจากที่ที่พวกเขาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามเหล่านักผจญภัยต่างก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าสัตว์อสูรตัวนั้นไม่ได้ลงมือโจมตีพวกเขา แต่มันกลับพุ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูงซึ่งทิ้งไว้เพียงแค่ภาพติดตามเท่านั้น
“นั่นคนใช่ไหม? แถมยังเป็นเด็กเสียด้วย! ข้ารู้แล้ว สัตว์อสูรตัวนั้นถูกฝึกจนกลายเป็นสัตว์วิญญาณไปแล้วนี่เอง!”
ในขณะที่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็ยืนตัวสั่นงันงก หัวหน้ากลุ่มก็อุทานออกมาเพราะเขามองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังของปีศาจหมาป่าตัวนั้น
บริเวณนี้อยู่ไม่ไกลจากสำนักจิตอสูรมากนัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาที่มาของเด็กหนุ่มผู้นั้น
“ฟู้ววว…”
นักผจญภัยทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกับเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบที่ยังคงชโลมอยู่บนใบหน้า จากนั้นระเบิดเสียหัวเราะออกมาด้วยความอับอายเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงประหลาดอยู่ดี เป็นอย่างที่รู้กันว่ามีเพียงบุคคลระดับรองเจ้าสำนักขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกสัตว์อสูรระดับสามได้ แต่ทำไมหัวหน้าของพวกเขาถึงบอกว่าเห็นเด็กล่ะ?
“นี่! ข้าเห็นจริงๆนะ…”
ตัดภาพมาที่อีกด้านหนึ่ง แน่นอนว่าผู้ที่อยู่บนหลังของปีศาจหมาป่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจียงอี้ แต่ในเวลานี้คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย หลังจากที่ลัดเลาะมาตามหุบเขา เขาไม่คิดว่าจะเจอคนอื่นที่นี่
ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ในที่สุดความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเจียงอี้ เขาบังคับให้หมาป่าจันทราสีเงินหยุดวิ่งชั่วคราว จากนั้นก็นำผงแป้งออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและชโลมไปทั่วตัวของปีศาจหมาป่าพร้อมกับเปลี่ยนสีขนของมันให้กลายเป็นสีน้ำเงิน
นี่เป็นผงแป้งย้อมสีที่เจียงอี้ขอให้เฉียนว่านก้วนเตรียมไว้ให้ หมาป่ายักษ์สีม่วงดูสะดุดตาเกินไป มันอาจจะทำให้ผู้อื่นระบุตัวตนของเขาได้อย่างไม่ยากเย็น
จากนั้นเจียงอี้ก็นำหน้ากากปีศาจสีเงินออกมาและสวมลงไป เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้วเขาก็บังคับให้ปีศาจหมาป่ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
เมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่เจียงอี้ไม่ได้มุ่งหน้าไปทางนั้นโดยตรง เขาเลือกที่จะอ้อมไปโดยใช้เส้นทางผ่านอาณาจักรต้าเซี่ยเพื่อเข้าสู่อาณาจักรเซิ่งหลิง จากนั้นก็ค่อยมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่
กองกำลังของสำนักจิตอสูรถูกคาดเดาว่าจะไปถึงเมืองหลวงในอีกประมาณหกสัปดาห์ นั่นก็หมายความว่าเจียงอี้มีเวลาเพียงแค่หกสัปดาห์เท่านั้น
แต่เมื่อประเมินจากความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงินผนวกแผนที่ที่มีอยู่ เจียงอี้จึงเลือกที่จะใช้เส้นทางเส้นนี้ ความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงินเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เจ็ดหรือแปด ตามความคิดของเขา เวลาหกสัปดาห์ก็น่าจะเพียงพอ
ภายในสำนักจิตอสูรเต็มไปด้วยหน่วยสอดแนมของตระกูลจ่างซุน เมื่อใดที่เจียงอี้ออกจากสำนัก ความเคลื่อนไหวของเขาจะถูกรายงานไปถึงจ่างซุนอู๋จี้ในทันที หากย่าฮุนไล่ล่าเขาอีกครั้ง เขาก็อาจจะตายก่อนที่จะได้เข้าร่วมสงครามราชอาณาจักร
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจียงอี้เลือกใช้เส้นทางอ้อม แต่ความจริงแล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกใช้เส้นทางนี้
นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังตามหาเปลวเพลิงและยังต้องเป็นเปลวเพลิงที่ทรงพลัง!
จากข้อมูลที่ได้รับจากเฉียนว่านก้วน ในหุบเขาที่มีชื่อว่าหุบเขาอัคคีเมฆา มีภูเขาไฟอยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรต้าเซี่ย ส่วนทางตะวันตกของอาณาจักรเซิ่งหลิงซึ่งอยู่ใกล้กับพงไพรแห่งบาป เป็นที่ตั้งของหุบเขาชิงวิญญาณซึ่งลือกันว่ามีเปลวเพลิงอเวจีอยู่ด้านใน
ไข่มุกวิญญาณเพลิงสามารถดูดกลืนเปลวเพลิงได้ แต่เจียงอี้ก็ยังไม่ฟันธงว่ามันสามารถดูดกลืนไฟในภูเขาไฟหรือเปลวเพลิงอเวจีได้หรือไม่ แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็อยากลองดูสักตั้ง
สงครามราชอาณาจักรอันตรายเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา หากว่าต้องประมือกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว เขาก็ทำได้เพียงแค่หลบหนีเท่านั้น
ฟึ่บ!
หมาป่าจันทราสีเงินเร่งความเร็วสูงสุด มันลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็กๆและเข้าไปในเทือกเขา ในทางตรงกันข้าม เขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงอ้อมทางทิศตะวันตกเพื่อเข้าสู่อาณาจักรต้าเซี่ยแทนที่จะวิ่งผ่านหุบเขาสามหมื่นลี้โดยตรง
หลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวัน ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำในยามราตรี เจียงอี้เลือกจุดพักเป็นภูเขาลูกเล็กๆ
เขาเก็บหมาป่าจันทราสีเงินกลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและถ่ายเทแก่นแท้พลังเข้าไปข้างใน เมื่อสัตว์อสูรกลายเป็นสัตว์วิญญาณแล้ว พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องกินต้องดื่มอีกต่อไป
เพียงแค่แบ่งแก่นแท้พลังให้เป็นครั้งเป็นคราวก็เพียงพอที่จะเติมพลังให้พวกมันแล้ว ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นความเร้นลับอย่างหนึ่งของเครื่องราวสัตว์วิญญาณ
หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าปลอดภัย เจียงอี้ก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่และเริ่มหยิบเสบียงขึ้นมารับประทาน
เนื่องจากเดินทางมาทั้งวันทำให้ร่างกายของเขาอ่อนเพลีย แต่หากเทียบกับความทรมานทางกายแล้ว ในใจของเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวและกระวนกระวายมากกว่า
นี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกด้วยตัวคนเดียว บนภูเขาลูกนี้ไม่มีใครนอกจากความว่างเปล่า ท้องฟ้าอันดำมืดทำให้เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าถูกทอดทิ้งจากโลก
“เมื่อสวรรค์มอบภารกิจสำคัญให้กับเจ้า แม้ว่าเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานหรือเจ็บปวดหัวใจมากแค่ไหน เจ้าก็จะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้เพื่อที่จะกลายเป็นนักรบที่แท้จริง เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้น เจ้าจะต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น จำไว้นะ!”
เมื่อนึกถึงคำสอนของเจียงหยุนไฮ่ เจียงอี้ก็ใจเย็นลง จากนั้นก็เข้าฌานจนกระทั่งหลับไป
ในวันรุ่งขึ้น ตามแผนที่ที่เฉียนว่านก้วนจัดหาให้ เจียงอี้ก็สามารถเดินทางไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยได้อย่างราบรื่น
แต่เจียงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ ตลอดทางไม่มีนักฆ่าหรือจอมยุทธคนใดไล่ตามมา แต่ไม่นานนักเขาก็สลัดความคิดเหล่านี้ทิ้งไปและเดินทางต่อ
ในวันที่ห้า เจียงอี้ก็มาถึงอาณาจักรต้าเซี่ยเป็นที่เรียบร้อย
“อืม นี่ควรจะเป็นทะเลสาบจันทร์กระจ่าง! หุบเขาอัคคีเมฆาน่าจะอยู่ห่างจากที่นี่ออกไปประมาณสามร้อยกิโลเมตร!”
ในตอนนี้ เจียงอี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของหมาป่าจันทราสีเงินซึ่งกำลังยืนอยู่บนยอดเขาลูกเล็กๆ
เขาต้องการที่จะไปยังทะเลสาบเพื่อชำระร่างกาย แต่ก็ยังคงกังวลว่าจะถูกพบตัวเข้า ทำให้เขาเลือกที่จะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกแทน
ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากปีศาจสีเงินเผยให้เห็นความเหนื่อยล้า หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เจียงอี้ก็มองเห็นภูเขาสีแดงซึ่งทำให้สีหน้าของเขาดูดีขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็หยิบไข่มุกวิญญาณเพลิงขึ้นมาและพึมพำกับตัวเอง “ไข่มุกวิญญาณเพลิง เจ้าอย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ จงดูดกลืนเพลิงโลกาในภูเขาไฟให้กับนายน้อยผู้นี้ซะ!”