ตอนที่แล้วGGS:บทที่ 325 - คุณค่าของเสียงดนตรี (3)(ตอนฟรีชดเชยที่ข้าม)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGGS:บทที่ 334 - ฉีกหน้า 

GGS:บทที่ 325 - คุณค่าของเสียงดนตรี (4) (ตอนฟรี ชดเชยที่ข้าม)


GGS:บทที่ 325 - คุณค่าของเสียงดนตรี (4)

ซูจิ้งกลับลงมาทำความสะอาดกองขยะต่อ แยกผ้าขี้ริ้ว ผ้าขนสัตว์ และของอื่นๆ ไว้มุมหนึ่ง ด้วยการทำแบบนี้ เขาจึงสามารถคัดแยกสิ่งของได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ก่อนหน้านี้ ซูจิ้งเคยลองใช้ดาบหักหลายเล่ม แต่มันมีอานุภาพต่ำกว่าที่คิด ซึ่งแปลว่าไม่น่าใช่อาวุธเวทย์มนต์ และน่าจะเป็นอาวุธที่ใช้โดยคนทั่วไปมากกว่า แม้ว่ามันจะเป็นขยะที่มาจากมิติDesolate Era ส่วนอาวุธเวทย์มนต์ที่ถูกใช้โดยผู้ฝึกตนของจริงนั้น จะสามารถตัดเหล็กกล้าได้ง่ายดายไม่ต่างจากตัดก้อนเนยนุ่มนิ่มเลยทีเดียว

แต่ถึงอย่างนั้น วิธีการหลอมเหล็กของคนธรรมดาในมิติอื่น ก็เทียบไม่ได้เลยกับวิธีของโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน ถึงจะเป็นดาบหักของคนธรรมดา แต่มันก็มีราคามากกว่าดาบธรรมดาในโลกมนุษย์

“เหวอ!” ซูจิ้งอุทานออกมาเมื่อเห็นรังผึ้ง ซึ่งค่อนข้างยังสดใหม่แต่มีสภาพบี้แบน ปรากฏรอยรองเท้ารอยหนึ่งอยู่บนรังผึ้ง ซูจิ้งลองหยิบขึ้นมาดูและพบว่าด้านในรังยังมีไข่ผึ้งอยู่พอสมควร ถึงแม้ว่ารังผึ้งจะถูกเหยียบจนแบนแต๋ ไข่ผึ้งจำนวนไม่น้อยต้องแตกไป แต่ก็ยังมีส่วนเล็กๆ ที่เหลือรอดมาได้

“เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า แม้แต่ผึ้งธรรมดาก็ยังเลี้ยงไว้เก็บน้ำผึ้ง และผสมเกสรดอกไม้ได้นี่นะ” ซูจิ้งนำรังผึ้งมาเก็บไว้ที่ชั้นสาม และปล่อยให้มันเติบโตตามธรรมชาติ

หลังจากนั้น ซูจิ้งก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันทำความสะอาดกองขยะ สุดท้าย เขาก็ทำความสะอาดเสร็จสิ้น และแอบผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่พบของมีค่าอย่างอื่นอีก หลังจากตรวจสอบให้แน่ใจอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มก็โทรเรียกรถเก็บขยะมารับของทั้งหมดไปทิ้งที่โรงงานกำจัดขยะ โชคดีที่ขยะส่วนใหญ่เป็นสิ่งของหน้าตาธรรมดา จึงดูไม่น่าสงสัยแม้แต่น้อย

ถึงตอนเย็น นกแก้วก็รายงานว่ามีคนมาหา ซึ่งก็คือมู่หรงเซียนเอ๋อร์ ซูจิ้งเดินลงมาพบกับหญิงสาวที่ชั้นล่าง และพบว่ามู่หรงเซียนเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมด้วยเลขาฯ สาวหน้าตาสวยกับชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่ง มู่หรงเซียนเอ๋อร์ยืนกอดพิณอยู่หนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวที่ซูจิ้งมอบให้มู่หรงฉินซ่อมแซมเมื่อคืนนี้ สายที่ขาดหายไปสองเส้นได้ถูกติดใส่เติมเต็มเข้าไปแล้ว

“แค่โทรมาให้ผมไปรับก็ได้ ไม่เห็นต้องรบกวนคุณหนูมู่หรงลำบากเอามาส่งถึงที่นี่เลย” ซูจิ้งพูดด้วยความเก้อกระดากเล็กน้อย ด้วยว่าเขารบกวนให้มู่หรงฉินช่วยซ่อมพิณแบบไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว เมื่อซ่อมเสร็จ อีกฝ่ายก็ยังส่งหลานสาวนำพิณมามอบให้เขาถึงที่บ้านอีก

“ไม่เป็นไรคะ ยังไงวันนี้ฉันก็ว่างอยู่แล้ว อีกอย่างฉันจะได้มาฟังคุณเล่นพิณตัวนี้ด้วย คงไม่เป็นไรใช่ไหม?” มู่หรงเซียนเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ยิ้มอย่างแจ่มใส ไม่มีความเย่อหยิ่งอยู่บนใบหน้าของเธอเลย

“ได้สิครับ เชิญเข้ามาก่อน” ซูจิ้งพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง กู่เยว่เป็นอาจารย์ของเขา มู่หรงฉินมีศักดิ์เป็นอาจารย์ของอาจารย์เขาอีกที การบรรเลงพิณให้หลานสาวของอาจารย์ของอาจารย์ฟัง นอกจากรู้สึกเป็นเกียรติแล้ว ยังทำให้รู้สึกกดดันขึ้นมาไม่น้อย

ซูจิ้งเชิญแขกทั้งสามคนเข้าบ้าน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมาเพื่อตั้งใจฟังการบรรเลงพิณ จึงลงความเห็นว่านั่งกันที่ลานหน้าบ้านคงดีที่สุด ชายหนุ่มจึงไม่ต้องพาทุกคนขึ้นไปที่ชั้นสี่ แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในลานหน้าบ้านแทน

หลังจากที่รับพิณมาสำรวจดูแล้ว ซูจิ้งก็รู้สึกหลงรักมันมากขึ้นกว่าเดิม มู่หรงฉินไม่เพียงแต่ใส่สายที่ขาดหายไปทั้งสองเส้น แต่ชายชรายังเปลี่ยนสายที่ชำรุดอีกหนึ่งเส้นให้ด้วย พิณตัวนี้กลับมาสมบูรณ์แบบแล้ว

“จริงด้วยสิ คุณปู่ฉันฝากมาถามว่า พิณตัวนี้มีชื่อว่าอะไรเหรอจ๊ะ?” มู่หรงเซียนเอ๋อร์เอ่ยถาม

“ผมยังไม่ได้ตั้งชื่อเหมือนกัน ให้คุณปู่คุณช่วยตั้งให้ผมหน่อยได้ไหม? ผมเห็นที่ท่านตั้งชื่อพิณเฟยเซียนกับพิณจันทรากระซิบแล้ว ผมคงไม่มีทางตั้งชื่อที่ไพเราะได้ขนาดนั้นแน่ๆ” ซูจิ้งพูด ก่อนที่จะยิ้มกว้าง

“พิณทั้งสามตัวตั้งตามชื่อของพวกเราสามคน พิณเฟยเซียนตั้งตามชื่อของฉันเอง พิณจันทรากระซิปก็ตั้งตามชื่อกู่เยว่ ส่วนพิณเทียนเล่ยก็ตั้งตามชื่อฉินเล่ย ปู่ฉันก็คิดจะตั้งชื่อพิณตัวนี้ตามชื่อคุณเหมือนกัน แต่พอตั้งออกมาแล้วมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ท่านก็เลยบอกว่าถ้ามันยังไม่มีชื่อ ก็ให้คุณกลับมาตั้งเองดีกว่า” มู่หรงเซียนเอ๋อร์อธิบายที่มาที่ไปในการตั้งชื่อพิณของคุณปู่เธอ

“นักพิณสมัยราชวงศ์ฉินคนหนึ่งมีชื่อว่าหยูจิ้ง ผมว่าเอาชื่อเขามาตั้งเป็นชื่อพิณตัวนี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดหลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่

“ก็เป็นชื่อที่เพราะดีนะ” มู่หรงเซียนเอ๋อร์ปรบมือด้วยความชอบใจ

“ถ้าอย่างนั้น ก็ได้เวลาบรรเลงแล้ว” ซูจิ้งยิ้มกว้าง กรีดนิ้วลงไปบนสายของพิณ ท่วงทำนองที่อ่อนโยนและมีความสุขดังกังวานขึ้นทันที  มู่หรงเซียนเอ๋อร์ เลขานุการสาวสวยและชายวัยกลางคนเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ และในไม่ช้า ทุกคนก็ตกอยู่ในภวังค์ของท่วงทำนองอันสุดแสนไพเราะ

ในจังหวะนั้นเอง รถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนมาจอดลงที่หน้าประตูบ้าน และชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานที่ก้าวลงมาจากรถก็คือฉินเล่ย ทันทีที่เขาลงมาจากรถ เสียงของพิณก็ลอยมาเข้าหู เมื่อฟังดูอย่างตั้งใจแล้ว เขาก็ตกอยู่ในภวังค์ ต้องหยุดอยู่ข้างๆ รถ ยืนฟังด้วยความตั้งใจ

บทเพลงนี้มีท่วงทำนองที่ซับซ้อน ตอนแรกก็ฟังอ่อนโยนเบาสบาย ไม่ได้มีความสุขุมนุ่มลึกอะไรมาก แต่เมื่อได้ลองรับฟังอย่างพินิจพิจารณา ผู้ฟังก็จะรู้สึกตกอยู่ในภวังค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือเวทมนต์เรียบง่ายที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งนั่นก็คือการทำให้คนฟัง รู้สึกมีความสุขไปกับเสียงดนตรีนั่นเอง

หลังจากนั้นอีกพักใหญ่ เมื่อเสียงดนตรีบรรเลงจบลง มู่หรงเซียนเอ๋อร์ เลขาฯ สาวสวยและชายวัยกลางคนก็พากันปรบมือโดยอัตโนมัติ มู่หรงเซียนเอ๋อร์ถึงกับอุทานออกมาว่า “ปู่ฉันพูดเอาไว้ไม่ผิดจริงๆ พิณที่ดีต้องเล่นแต่บทเพลงดีๆ เท่านั้น หยูจิ้งเหมาะสมสำหรับบทเพลงแบบนี้ นายจะเล่นมันอีกสักกี่ครั้งก็ได้ มันไพเราะที่สุดเลยล่ะ! ว่าแต่ว่าเพลงเมื่อกี้นี้ชื่อเพลงอะไรเหรอ?”

“มันชื่อว่าเพลง บทกวีแห่งความสุข ครับ” ซูจิ้งตอบ

“ฉันเพิ่งอัดเสียงเอาไว้ ขอเอากลับไปเปิดฟังสำหรับฝึกซ้อมหน่อยนะ” มู่หรงเซียนเอ๋อร์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาชูให้เจ้าของบ้านดู เลขานุการสาวสวยกับชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเธอแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ดูเหมือนว่าระยะหลังคุณหนูของพวกเขาจะติดโทรศัพท์ไม่ใช่เล่น แต่มันเป็นเรื่องดีจริงๆ หรือที่จะแอบบันทึกเสียงโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ได้แสดงความยินยอม? ยิ่งไปกว่านั้น นี่คงเป็นเพลงใหม่ของชายหนุ่มเจ้าของบ้านด้วย บางทีเขาอาจจะยังไม่ได้จดลิขสิทธิ์ และมันอาจจะเป็นบทเพลงที่มีมูลค่าสูงมากก็เป็นได้

แต่โชคดีที่ซูจิ้งตอบด้วยความยินดีว่า “ได้เลยครับ ถ้าคุณจะเอาไปเล่นในคอนเสิร์ต ผมก็ไม่คิดเงินเช่นกัน”

มู่หรงเซียนเอ๋อร์ยิ้มหน้าบาน เธอตั้งใจมาส่งพิณด้วยตัวของเธอเอง ซึ่งเป็นวิธีที่แนบเนียนที่สุดในการมาขอฟังการบรรเลงพิณจากชายหนุ่ม ซึ่งไม่ได้หาฟังกันง่ายๆ

ฉินเล่ยยังคงยืนอยู่ที่ประตูเป็นระยะเวลานาน จิตใจของเขายังคงตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะที่รับฟังบทเพลง บทกวีแห่งความสุข

เมื่อวานนี้ หลังจากกลับไปถึงที่พักแล้ว ฉินเล่ยก็เปิดเจอคลิปวีดีโอบทเพลงผู้ชนะสิบทิศที่ถูกโพสต์ลงในอินเตอร์เน็ต จึงได้ลองรับฟังดูอีกครั้งอย่างตั้งใจ และต้องยอมรับกับตนเองด้วยความไม่อยากเชื่อว่า มันเป็นท่วงทำนองที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก

ยิ่งรับฟังนานเท่าไหร่ ฉินเล่ยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองตัวเล็กจ้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกภูมิใจในตัวพิณมากขึ้น อีกอย่างก็คือ การรับฟังผ่านอินเตอร์เน็ตไม่ได้ส่งผลกระทบรุนแรงเหมือนตอนรับฟังการบรรเลงแบบสดๆ ดังนั้น เขาจึงสามารถเปิดเพลงนี้ฟังซ้ำได้อีกครั้งและอีกครั้งไม่รู้จบ

นอกจากนั้น ฉินเล่ยยังค้นพบ “เพลงรวบรวมจิต” และบทเพลง “ฟินิกซ์คู่รัก” ที่ซูจิ้งเคยเล่นไว้ก่อนหน้านี้ในอินเตอร์เน็ตเช่นกัน เมื่อฟังจบแล้วก็ต้องตกตะลึงไปทั้งใจอีกครั้ง แม้แต่เงินซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในความคิดของเขา ก็ไม่สามารถซื้อหาท่วงทำนองที่ไพเราะจับใจเช่นนี้ได้เลย

ถ้าคนเรานำเงินตรามาวัดค่าเสียงดนตรี มันก็จะทำให้คนเรามองข้ามคุณค่าที่แท้จริงของเสียงดนตรีไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากซูจิ้งนำบทเพลงเหล่านี้มาหาเงิน ฉินเล่ยแน่ใจว่าชายหนุ่มคงร่ำรวยกว่าเขาไปหลายเท่าแล้ว ถ้าเกิดวันใดซูจิ้งอยากแข่งขันกับเขาขึ้นมา ฉินเล่ยรู้ชะตากรรมดีว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน

และตอนนี้ ฉินเล่ยเพิ่งได้รับฟังบทเพลง บทกวีแห่งความสุข จบลงไป หัวใจของเขาก็ต้องตกตะลึงอีกหน

ฉินเล่ยเคยรังเกียจคนแบบที่ตนเองกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ เขามักจะวิจารณ์คนที่ใช้เครื่องดนตรีหาเงินโดยไม่ให้ความเคารพเครื่องดนตรีชิ้นนั้นอย่างดุเดือดเสมอ ฉินเล่ยยื่นอยู่อีกพักใหญ่ กว่าที่ฉินเล่ยจะเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง เขาหยิบพิณตัวหนึ่งออกมาจากรถและกดกริ่งที่ประตูหน้าบ้าน พลัน นกแก้วสองตัวบินมาถามว่าเขาเป็นใคร แต่ชายวัยกลางคนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขาบอกชื่อของตนเองให้นกแก้วทั้งสองตัวนั้นทราบ

นกแก้วบินไปรายงานซูจิ้งว่า “มีแขกมาหา มีแขกมาหา แขกชื่อว่าฉินเล่ย”

ซูจิ้งและมู่หรงเซียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วทันที “ตาแก่นั่นมาทำอะไรที่นี่นะ?”

ซูจิ้งเดินไปเปิดประตู มู่หรงเซียนเอ๋อร์เดินตามมาด้วย ฉินเล่ยหยุดยืนอยู่หน้าประตู ในมือประคองพิณเก่าแก่หนึ่งตัว ถ้าชายหนุ่มเจ้าของบ้านมองไม่ผิด พิณตัวนี้เป็นหนึ่งในสามยอดพิณของมู่หรงฉินนั่นเอง

ฉินเล่ยเห็นว่ามู่หรงเซียนเอ๋อร์อยู่ด้วยก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นและหันมาพูดกับซูจิ้งว่า “คุณซู เพลงที่คุณเล่นเมื่อกี้นี้ชื่อว่าเพลงอะไร?”

“บทกวีแห่งความสุข ครับ” ซูจิ้งมองหน้าฉินเล่ย แล้วตอบ

“เป็นเพลงที่เพราะมาก!” ฉินเล่ยชื่นชมด้วยความจริงใจและยื่นส่งพิณในมือมาให้เขา

“นี่มันหมายความว่ายังไงกันครับ?” ซูจิ้งไม่เข้าใจ

“ขอบคุณมากนะที่ทำให้ฉันได้ฟังเพลงดีๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น”ผู้ชนะสิบทิศ“”เพลงรวบรวมจิต“เพลง”ฟินิกซ์คู่รัก“ทุกเพลงช่วยทำให้ฉันได้ตาสว่างว่าตัวเองมีฝีมือต่ำต้อยแค่ไหน พิณเทียนเล่ยตัวนี้เหมาะสมกับคุณอย่างที่สุด ฉันไม่มีค่าพอที่จะเล่นมันได้อีกต่อไปแล้ว คุณจะทำยังไงกับมันก็ได้ จะเก็บมันเอาไว้เล่นเอง หรือจะส่งคืนให้มู่หรงฉินก็แล้วแต่คุณ” ฉินเล่ยยัดพิณเทียนเล่ยใส่มือของซูจิ้ง หลังจากนั้น ก็รีบหันหลังกลับ เดินขึ้นรถและขับจากไป

ซูจิ้งและมู่หรงเซียนเอ๋อร์ได้แต่หันมองหน้ากัน วันต่อมา พวกเขาก็ได้ข่าวว่าฉินเล่ยลาออกจากบริษัทค่ายเพลงของอเมริกาและไม่ขอรับเงินเดือนเดือนสุดท้าย ส่วนแฮนเซ่นมีข่าวว่าป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาล และไม่กล้าทำตัวสูงส่งคอยดูถูกคนอื่นอีกเลย