GGS:บทที่ 325 - คุณค่าของเสียงดนตรี (2) (ตอนฟรีชดเชยที่ข้าม)
GGS:บทที่ 325 - คุณค่าของเสียงดนตรี (2)
“คุณมู่หรงพอจะซ่อมพิณตัวนี้ได้ไหมครับ?” ซูจิ้งถามต่อ
“ซ่อมน่ะซ่อมได้ แต่ปัญหาอยู่ที่สาย ฉันดูไม่ออกว่าสายพวกนี้ทำมาจากอะไร เราต้องใช้สายที่เหมาะสม สายพิณธรรมดาไม่คู่ควรกับมัน” มู่หรงฉินลูบนิ้วไปบนสายของพิณ แล้วพูด “ดูเอาเถอะ จะมีอะไรเทียบเคียงสายพวกนี้ได้อีกบ้าง”
ซูจิ้งหยิบสายพิณออกมาอีกสามเส้น ตอนที่เก็บมาได้มันมีแค่สายสามเส้นนี้เท่านั้นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทีแรกซูจิ้งนึกว่ามันเป็นสายที่ชำรุดเช่นกัน เขามัวแต่ยุ่งกับเรื่องอื่นจนไม่มีเวลาตรวจสอบ
“เหลือเชื่อที่สุด!” มู่หรงฉินรับสายไปรูดดูอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ ไม่นานต่อมาชายชราก็จัดการติดสายเข้ากับตัวพิณและลองกรีดนิ้วดูเล็กน้อย เสร็จแล้วจึงพูดอย่างมีความสุขว่า “สายพวกนี้ใช้ได้ มันทำมาจากอะไรหรือพ่อหนุ่ม?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ พอดีซื้อมาพร้อมกับตัวพิณนี่แหละ” ซูจิ้งว่า
“เดี๋ยวฉันจะลองซ่อมให้เลยก็แล้วกันนะ” มู่หรงฉินอดใจรอที่จะเล่นมันไม่ไหวแล้ว
“ไม่ต้องรีบก็ได้นะครับ ค่อยๆ ทำไปก็ได้” ซูจิ้งพูด
หลังจากที่ส่งมอบพิณให้กับมู่หรงฉินแล้ว ซูจิ้ง ฉือชิง จูเจียนฮัวและหลิวหยินก็เดินทางกลับพร้อมกัน ซูจิ้งส่งจูเจียนฮัวกับหลิวหยินกลับไปก่อน หลังจากนั้นจึงได้ไปส่งฉือชิงที่บ้าน แล้วค่อยเดินทางกลับบ้านของตนเองในที่สุด
คืนนั้น การแสดงพิณของซูจิ้งในงานเลี้ยงวันเกิดถูกโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตและกลายเป็นกระแสฮิตติดลมบนอย่างรวดเร็ว ในบรรดาคลิปเหล่านั้น หนูสามตัวของเขาได้ใจชาวเน็ตไปอย่างถล่มทลาย และมีคนจำนวนมากต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับภาพวาดโบราณ
แต่สิ่งที่เป็นกระแสมากที่สุดกลับเป็นบทเพลงผู้ชนะสิบทิศของซูจิ้ง มีคนถ่ายวีดีโอระหว่างที่ชายหนุ่มเล่นบทเพลงนี้เอาไว้ เมื่อรับฟังผ่านอินเทอร์เน็ต อานุภาพของมันจึงลดทอนไปจากตอนที่ได้รับฟังในเหตุการณ์จริง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังนับว่าเป็นบทเพลงที่ไพเราะและน่าตื่นเต้น เหมาะสำหรับการเปิดฟังระหว่างเล่นเกมหรือเล่นกีฬาได้ทุกชนิด และเมื่อได้รับอนุญาตจากซูจิ้ง เว็บไซต์ซื้อขายเพลงอย่างถูกลิขสิทธิ์ก็ได้อัพโหลดเพลงนี้ขึ้นสู่อินเตอร์เน็ต และในไม่ช้า มันก็ขึ้นสู่อันดับหนึ่งของชาร์ตเพลงที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุด
มีอยู่สองเหตุผลด้วยกันที่ทำให้บทเพลงนี้โด่งดังในชั่วข้ามคืน นอกจากความไพเราะแล้ว เหตุผลแรกก็คือคนที่เล่นมันมีนามว่าซูจิ้ง ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์เพลง “บทเพลงรวบรวมจิต” และ “ฟินิกซ์คู่รัก” ในขณะนี้ ซูจิ้งแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของพิณไปแล้ว
และเหตุผลอย่างที่สอง คลิปวีดีโอที่แฮนเซ่นวิ่งหนีไป ได้รับการแพร่หลายในกลุ่มชาวจีนเป็นจำนวนมาก หลายคนถึงกับปรบมือชื่นชมซูจิ้ง และเมื่อได้มารับฟังบทเพลงนี้ ก็ยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากคลิปวิดีโอได้รับการเผยแพร่ในวงกว้าง ซูจิ้งจึงกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน ก่อนหน้านี้คนจำนวนมากรู้จัก “บทเพลงรวบรวมจิต” และ บทเพลง “ฟินิกซ์คู่รัก” แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักคนเล่น และมันเป็นเพลงทั่วไปที่ไม่ได้รับความนิยมอะไรมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีบันทึกการแสดงสดของเขา แต่ก็มีคนดูจำนวนหยิบมือเดียว อันที่จริง การแสดงพิณไม่ใช่เรื่องที่คนส่วนใหญ่จะเสียเวลาดู ด้วยต่างคิดว่าเพียงแค่เปิดคลิปไว้ฟังเสียงเพลงก็พอแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่ทำให้แฮนเซ่นผู้ดูถูกชาวจีนถึงกับต้องวิ่งหนีไป กลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจและให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ ชื่อของซูจิ้งจึงถูกนำไปค้นหาในอินเตอร์เน็ตจำนวนมากภายในเวลาพริบตาเดียว
สำหรับข่าวที่ออกไปในอินเทอร์เน็ต ซูจิ้งไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับมันมากนัก หลังจากที่ทำความสะอาดกองขยะแล้ว เขาก็กลับขึ้นไปนอน เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของนกแก้วที่แจ้งเตือนว่าเฉินฮงมาหาเขา
“เฉินฮงมาทำอะไรที่นี่นะ” ซูจิ้งเกิดความสงสัย แต่ก็ลงจากห้องนอนมาต้อนรับเฉินฮง ถึงอีกฝ่ายจะเป็นชายชราเจ้าเล่ห์ แต่เฉินฮงก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณที่คอยช่วยเหลือเขาไว้หลายครั้ง เมื่อเปิดประตูออกไป ซูจิ้งก็พบว่าเฉินฮงมาพร้อมกับผู่เฒ่าซงและชายชราไม่ทราบชื่ออีกคน ตอนที่เฉินฮงเห็นหน้าซูจิ้ง ก็พูดทันทีว่า “ซูจิ้ง ภาพวาดโบราณที่โพสต์กันในเน็ต ยังอยู่กับนายหรือเปล่า?”
“อยู่ครับ” ซูจิ้งเข้าใจแล้วว่าเฉินฮงมาหาเขาก็เพื่อสิ่งนี้นี่เอง
“ขอฉันดูหน่อยได้ไหม แล้วก็แจกันหกเหลี่ยมที่ฉันเคยดูเมื่อครั้งที่แล้วด้วย ฉันจะระบุที่มาที่ไปของมันให้นายฟรีๆ เลย” เฉินฮงพูดในขณะที่พยายามรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ แต่เสียงของเขาก็ปิดบังความตื่นเต้นไม่มิด
“เข้ามาก่อนสิครับ” ซูจิ้งเคยบอกแล้วว่าจะเก็บแจกันหกเหลี่ยมเอาไว้เป็นของสะสม ส่วนเครื่องเคลือบชิ้นอื่น เขาส่งมอบให้กับตระกูลถังไปแล้ว พวกเขาได้ทำเรื่องติดต่อกับห้องประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจีน และเตรียมจัดการประมูลต่อสาธารณะในอีกไม่นานหลังจากนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ซูจิ้งก็ไม่อยากให้เครื่องเคลือบเหล่านี้หลุดรอดไปอยู่ในมือของคนต่างประเทศ ดังนั้น เขาจึงเห็นด้วยกับถังเฮาที่จะเปิดประมูลให้กับคนจีนเท่านั้น
“คุณซูนี่โชคดีจริงๆ นะ ทุกครั้งที่ฉันมาเจอคุณ คุณก็มีของดีๆ อยู่ในมือเสมอ” ผู่เฒ่าซงพูด ครั้งแรกที่ก้าวเท้าเข้ามาในบ้านของซูจิ้ง ผู่เฒ่าซงได้พบกับภาพไผ่และหินโบราณ เช่นเดียวกับอำพันทะเล ครั้งที่สอง เขาได้พบกับสิ่งประดิษฐ์โบราณจำนวนมาก และคราวนี้ก็เป็นครั้งที่สาม ทุกๆ ครั้งซูจิ้งจะมีของล้ำค่าจำนวนมากอยู่ในการครอบครอง ผู่เฒ่าซงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสวรรค์ถึงรักเจ้าหนุ่มคนนี้มากขนาดนี้
“ฮ่าๆ แค่โชคดีน่ะครับ” ซูจิ้งยิ้มกว้างก่อนที่จะพาเฉินฮง ผู่เฒ่าซงและชายชราไม่ทราบชื่อเดินขึ้นไปบนชั้นสี่ แจกันหกเหลี่ยมวางอยู่มุมทางเดินเป็นเครื่องประดับ ทันทีที่เฉินฮง ผู่เฒ่าซงและชายชราไม่ทราบชื่อเดินเข้าไปก็พบกับมันโดยทันที ชายชราทั้งสามคนรีบเดินเข้าไปสำรวจ หลังจากตรวจสอบสภาพแล้วก็การันตีได้ว่านี่คือของโบราณแท้ๆ แน่นอน แต่ถึงไม่มีคำยืนยันจากพวกของเฉินฮง ซูจิ้งก็มั่นใจอยู่แล้วว่าแจกันหกเหลี่ยมใบนี้ไม่ใช่ของปลอม ก็ในเมื่อเครื่องเคลือบทุกชิ้นที่อยู่บนเรือเป็นของจริงทั้งหมด แล้วแจกันหกเหลี่ยมใบนี้จะเป็นของปลอมได้อย่างไร?
เฉินฮงและผู่เฒ่าซงตรวจสอบแจกันหกเหลี่ยมเสร็จก็มองดูรอบตัว แต่หลังจากที่ซูจิ้งนำภาพวาดโบราณออกมา ทั้งสองคนก็ไม่มีสายตาไปมองดูสิ่งอื่นอีกเลย พวกเขาให้ความสนใจที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่รายล้อมตัวภาพวาด อันที่จริงแล้ว เฉินฮงชำนาญเรื่องการดูเครื่องเคลือบมากกว่าภาพวาดโบราณ แต่ก็ถือว่ามีความรู้ติดตัวอยู่ไม่ใช่น้อย ส่วนทางด้านผู่เฒ่าซงจัดได้ว่าเป็นมืออาชีพ เพียงแค่มองนิดเดียวก็รู้แล้วว่าภาพวาดนี้มหัศจรรย์สมคำเล่าลือหรือไม่
“คุณซู สนใจจะนำแจกันหกเหลี่ยมกับภาพวาดนี้ ไปประมูลที่ห้องประมูลว่านเป่าไหม?” ผู่เฒ่าซงถาม
“ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากเก็บสะสมเอาไว้” ซูจิ้งพูด “เมื่อเริ่มเก็บของสะสมมีค่าตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคตถ้าเกิดเงินขาดมือเมื่อไหร่ ก็สามารถนำออกมาขายได้ตลอดเวลา” แจกันหกเหลี่ยมและภาพวาดโบราณเป็นของเก่าที่ไม่เหมือนใคร ยิ่งเก็บสะสมนานเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งพุ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อได้รับฟังคำตอบของซูจิ้ง เฉินฮง ผู่เฒ่าซงและชายชราไม่ทราบชื่อก็ไม่ได้ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ตราบใดที่เงินยังไม่ขาดมือ นักสะสมเหล่านี้ก็ไม่มีวันปล่อยของออกมาเด็ดขาด และพ่อค้าอย่างพวกเขาก็คงทำได้เพียงแค่อิจฉา ไม่มีใครในวงการของเก่าจะมีภาพวาดโบราณและขอวล้ำค่าเท่ากับที่มีอยู่ในบ้านหลังนี้อีกแล้ว
“เดี๋ยวนะ นี่มันทำมาจากไม้อะไรกัน” ทันใดนั้น ชายชราไม่ทราบชื่อหันไปพบเข้ากับเก้าอี้ขาหักที่ถูกวางทิ้งอยู่มุมห้อง เก้าอี้และโซฟาเหล่านี้นอกจากจะมีสภาพชำรุดทรุดโทรมแล้ว มันยังไม่เคยถูกทาสีอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น กลับมีลวดลายที่สวยงามจากสีไม้อ่อนๆ และลายแตกตามธรรมชาติ
“อัยย่ะ” เฉินฮงและผู่เฒ่าซงรีบเดินเข้าไปดูทันที
“คุณช่วยบอกผมทีก็แล้วกัน ว่ามันทำมาจากไม้อะไร” ซูจิ้งนึกได้ว่าเก้าอี้และโซฟาไม้พวกนี้เก็บขึ้นมาจากกองขยะของมิติไม้มหัศจรรย์ ตอนแรก ซูจิ้งพบเจอแต่เก้าอี้ตอนที่ทำความสะอาดกองขยะ และเนื่องจากมันถูกพบในกองขยะ เขาจึงจำไม่ได้แล้วว่าตนเองนำเก้าอี้แบบนี้มาตัดไม้ทำเป็นฟืนมากมายเท่าไหร่แล้ว ดังนั้น ชายหนุ่มก็เลยไม่ได้ให้ความสนใจต่อเก้าอี้และโซฟาไม้พวกนี้เท่าที่ควร
แต่ในภายหลัง เขาก็พบว่าเนื้อไม้ของมันมีกลิ่นหอม แถมหน้าตายังดูสวยงาม จึงอดคิดไม่ได้ว่าหรือมันจะทำมาจากไม้จันทน์? แต่เขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไม้ ซูจิ้งก็เลยดูไม่ออก ด้วยเหตุนี้ เก้าอี้และโซฟาไม้จึงถูกนำขึ้นมาเก็บไว้ชั้นนี้เพื่อรอให้ใครสักคนมาตรวจสอบ และไหนๆ พวกของเฉินฮงก็มาเยือนบ้านเขาทั้งที ให้ช่วยดูหน่อยก็แล้วกัน
“แม่เจ้า ฉันดูไม่ผิดจริงๆ ด้วย” เฉินฮงเดินเข้ามาก้มๆ เงยๆ ดูเก้าอี้ขาหักอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“นี่มัน...นี่มัน...ไม้หวงฮวาหลีไม่ใช่เหรอ สภาพพื้นผิวยังดูสมบูรณ์อยู่เลย แต่น่าจะมีอายุหลายพันปีแล้ว” ผู่เฒ่าซงกำลังอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“ให้ตายสิ” เฉินฮงมองเก้าอี้ตัวแรก และหันไปมองเก้าอี้ตัวต่อไป จากนั้นจึงได้เห็นว่ามีเก้าอี้และโซฟาอีกหลายตัวถูกวางทิ้งไว้อยู่มุมห้อง ชายชราตื่นเต้นจนร่างกายสั่นเทิ้ม มันทำให้เขาตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนที่เห็นรากไม้โบราณ อำพันทะเล และภาพวาดโบราณเสียอีก
“ไม้หวงฮวาหลีเหรอครับ?” ซูจิ้งดีใจมากเมื่อรู้แล้วว่าพวกมันทำมาจากไม้อะไร ถ้าจำไม่ผิด ไม้ชนิดนี้จัดเป็นหนึ่งในห้าไม้หายากในตำนาน
“ก่อนที่จะพูดอะไรกันต่อ ขอฉันดูใกล้ๆ หน่อยเถอะ” เฉินฮงและผู่เฒ่าซงมีสีหน้าเหมือนกลัวว่าตนเองจะตรวจสอบผิดพลาด แต่เมื่อวิเคราะห์ดูอย่างละเอียดอีกครั้ง คำตอบที่ได้รับก็ยังเป็นเหมือนเดิม
“ผมขอหาข้อมูลบ้างก็แล้วกัน” ซูจิ้งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ถ้าไม่ค้นเขาก็ไม่รู้ ไม้หวงฮวาหลีเป็นไม้ที่มีราคาเกินคาดคิด มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia odorifera เรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่าไม้พยุงหอม พบได้ทั่วไปตามพื้นที่ราบต่ำและหุบเขาในเมืองเจี้ยนเฟิงหลิงบนเกาะไหหนาน โดยทั่วไปจะเติบโตในพื้นที่ซึ่งมีแสงแดดส่องถึง และอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 100 เมตรขึ้นไป และเนื่องจากเป็นไม้ยืนต้นที่เติบโตอย่างเชื่องช้า เนื้อไม้จึงมีความแข็งแรงและมีลวดลายที่สวยงาม ถูกยกให้เป็นหนึ่งในห้าของต้นไม้ที่โด่งดังที่สุด และปัจจุบันก็มีสถานะเป็นพันธุ์ไม้อนุรักษ์ของประเทศจีน