บทที่ 6 การบุกรุก 3 ครั้งซ้อน
บทที่ 6 การบุกรุก 3 ครั้งซ้อน
ถ้าเขายังปล่ออยให้สีเลอะอยู่แบบนี้ , มันจะทำให้คนอื่นคิดว่าตำหนักอาจจะปิดตัวลงเร็วๆนี้ แม้ตอนแรกธุรกิจจะไปได้ไม่สวยในตอนแรกก็ตาม ดังนั้นเขาจึงได้ว่าจ้างบริษัททาสีให้มาทาสีใหม่
ทันใดนั้น พวกนักธุรกิจก็ได้มาถึง ซึ่งที่ได้พาพวกมาด้วย โดยมีชายวัยกลางคนเป็นคนนำทีม สวมชุดจีนสีเหลือง ใส่กางเกงผ้าไหมและสวมรองเท้าหนัง ตัวสูงประมาณ 5 ฟุต 9 นิ้ว ตามหลังมาด้วยเหล่าคนพร้อมอุปกรณ์ครบมือ
“ชั้นคือโม ดง ตัวแทนจากหงเชงกรุ๊ป มาเพื่อเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการรื้อถอน”
ความประทับใจแรกที่ซูเถาได้รับจากชายคนนี้ คือเจตนาที่ไม่ดีซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าของเขา
ซูเถาได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าหงเชงกรุ๊ปจะต้องส่งคนมาแน่ ยังไงก็ตาม เขาได้อออกไปยืนอยู่ที่ประตูตำหนักแล้วตอบกลับ “โทษทีนะ , แต่ชั้นไม่เจรจาต่อรองอะไรทั้งนั้น ตำหนักนี่จะไม่มีการรื้อถอน พวกนายกลับไปได้แล้ว”
“ไม่อวดดีไปหน่อยเหรอวะ ? , ลูกพี่โม จัดการชำระหนี้แค้นให้สการ์หน่อยเป็นไง” หนึ่งในพวกลูกน้องที่ติดตามมาด้วยตะโกน
โมดงก้าวถถอยหลังพลางโบกมือสั่งให้ลูกน้องของเขาล้อมตำหนักไว้ ทันไดนั้น พวกมันก็เริ่มพ่นสีใส่ตำหนัก
คนงานคนหนึ่งที่ซูเถาได้จ้างมาทนไม่ไหวกับเหตุการณ์นี้และพยายามที่จะเข้าขัดขวาง แต่เขาก็โดนเสะที่ศรีษะสวนกลับมา มีเลือดไหลออกมาจากศรีษะของเขา
“ไอ้กร๊วกเอ้ย , ใครเข้ามาขวางคนนั้นตาย !” นักเลงคนนึงตะโกนออกมาด้วยความบ้าคลั่ง
ซูเถาขมวดคิ้ว เขาได้กลับเข้าไปในร้านยาและกลับออกมาพร้อมผ้าพันแผล เอทานอล สำลีฆ่าเชื้อ และได้ทำการปฐมพยาบาลคนงานที่ได้รับบาจเจ็บ
“ถ้าแกไม่ยอมแต่โดยดี ชั้นจะเผามันทั้งหลังเลย!” พวกนักเลงได้ยกถังที่มีป้ายเขียนไว้ว่า 'น้ำมัน' ขึ้นมา มองไปยังซูเถาที่ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว มันเป็นเรื่องปกติที่ใช้กันเพื่อให้คนยอมทำตาม
เขาสาดน้ำมันลงบนกำแพง พวกคนที่มามุงดูสีหน้าตกใจมากและถถถอยห่างอย่างรวดเร็ว
ไคหยานได้ยินเสียงโวยวาย เธอจึงพรวดพราดออกมาจากร้านขายของเก่าและเข้าไปกระซิบกับวูเถา “ชั้นควรจะเรียกตำรวจดีมั้ย ?”
ซูเถาถอนหายใจและยิ้ม “ลองดูก็ได้”
ไคหยานหยิบโทรศัพท์ของเธอออกมาจากกระเป๋าและโทรแจ้งตำรวจ โมดงและพวกลูกน้องต่างพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นการกระทำของเธอ
โทรศัพท์ต่ออสายติด แต่อีกฝ่ายไม่มีคนรับเลย ไคหยานโกรธ
“พวกนี้มันไม่สนใจกฏหมายเลย !”
ซูเถายิ้มเล็กน้อย “พวกนี้มันน่าจะเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว ตำรวจเลยไม่มา”
ไคหยานไม่พอใจ “พวกนี้มันสมรู้ร่วมคิดกันนี่ ไอ้พวกเน่าเหม็นเอ้ย”
มองไปยังซูเถถาที่ยังคงรักษษท่าทางสงบไว้ได้ โมดงดัดนิ้วของเขาพลางถอนหายใจ
หนึ่งในคนของเขาเริ่มจุดไฟ จากนั้นจุดไปที่บุหรี่แล้วขู่ “ชั้นจะให้โอกาสแกอีกที ถ้าแกยังทำตัวขัดขืน พวกเราจะเผาที่นี่ให้ราบไม่เหลือซาก”
ซูเถาก้าวออกมาสองก้าว ตำหนักนี่เขารับสืบทอดมาจากปู่ เขาจึงปล่อยให้พวกเวรนี่เผาทิ้งไม่ได้
ทันทีที่เขาขยับตัว ก็ได้มีรถบูอิค GL8 สีดำคันนึงขับมาจอดที่หน้าตำหนัก มีหญิงสาวชาวตะวันตกได้ก่าวลงมาจากรถ
หล่อนถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่ขาวราวกับมุก ผมสีบอลนด์และใส่ส้นสูง เธอมองไปยังพวกโมดงก่อนที่จะพูดกับซูเถา “เถา , ดูเหมือนชั้นจะมาผิดเวลาไปหน่อยนะเนี่ย”
เวร่าโผล่มาเซอไพรส์ซูเถา เธอออกมาจากโรงพยาบาลก่อนที่อาการเธอจะหายดีได้ไง
ไคหยานมองไปยังซูเถาด้วยความงง เธอไม่คิดว่าเขาจะมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติด้วย
เวร่าเดินไปที่ซูเถา เธอยิ้มและส่งนามบัตรให้เขา “ชั้นตั้งใจว่าจะมาดูร้านยาของนาย แต่ดูเหมือนนายกำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่างอยู่ ให้ชั้นช่วยมั้ย ?”
ซูเถายักไหล่ “ก็นะ ถ้าเธอจัดการมันได้...เดี๋ยวชั้นจะเลี้ยงข้าวเธอละกัน”
ถึงจะกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของเวร่า อย่างไรก็ตาม แก้มขอองเธอฉีกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้ม “รักษษสัญญษด้วยล่ะ”
สาวรัสเซียซึ่งรู้ภาษาจีนแมนดารินและเจ้าสำนวน หล่อนคงไม่ตกหลุมรักเขาจริงๆใช่มั้ย ?
เวร่าซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อซูเถา หากเธอช่วยซูเถา เท่ากับว่าเธอได้ตอบแทนเขา เวร่าได้ให้เลขาหลี่ตรวจสอบเกี่ยกับซูเถาและรู้ว่าเขากำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการถูกบีบใหเรื้อถอนร้านยาขอองเขา
เนื่องจากเป็นเรื่องการรื้อถอน ดังนั้นมันต้องเกี่ยวข้องกับเงิน สิ่งใดที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้นั้นไม่ใช่ปัญหาของเธอเลย
เธอกวักมือ ส่งสัญญาณให้เลขาหลี่ เขาพยักหน้าก่อนที่เดินไปหาโมดงและถาม “พวกแกต้องการเงินเท่าไหร่ ว่ามาเลย”
“งี่เง่าน่า” ลูกน้องคนนึงเตะเข้าไปที่ท้องของเลขาหลี่ ทำให้เอาเอามือกุมท้องถอยไปหลายก้าว เขาล้มลงไปกับพื้นโดยที่ไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนที่จะลุกขึ้นมาพร้อมกับชายเสื้อของเขาที่อยู่ระหว่างขา
เวร่าตกใจกับเหตุการณ์นี้ “พวกแกมันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย”
ซูเถาคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ เขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม “ที่รัสเซีย ไอ้พวกนี้มันยังนับว่ามีเหตุผลด้วยเหรอ”
ดวงตาที่ราวรับตุ๊กตาบาร์บี้ของเวร่าเต็มไปด้วยความเดือดดาล ถ้าที่นี่เป็นที่รัสเซีย เธอคงใช้เส้นสายของเธอในการจัดการคนพวกนี้ไปแล้ว
แต่น่าเศร้า ตอนนี้เธออยู่ที่ประเทศจีนซึ่งนอกจากเงินแล้ว เธอไม่มีอย่างอื่นเลย เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเวร่า ซูเถาได้ก้าวมาอยู่ต่อหน้าเธอ
โมดงมีท่าทีพอใจมากที่เห็นลูกน้องของเขาอัดเลขาหลี่พลางตบมือชอบใจ ทันใดนั้น พวกลูกน้องของเขาก็ได้ถืออาวุธและได้เข้าล้อมรอบซูเถาเอาไว้
โมดงได้ยินมาว่าซูเถามีวิชาการต่อสู้ เขาจึงได้ส่งลูกน้องเข้าไปเพื่อดูการเคลื่อนไหวก่อนที่ตัวเขาจะลงมือเอง
อย่างไรก็ตาม ซูเถาไม่ได้รอให้พวกนี้เข้ามา เขาเข้าไปลุยเองเลยเขาขยับอย่างรวดเร็ว พวกลุกน้องบางคนรู้สึกได้ว่าข้อมือของตัวเองนั้นถูกบิด พวกเขาไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของซูเถาได้ก่อนที่ทั้งหมดจะลงไปกองบนพื้น
“ว้าว , ถ้าวิดิโอนี่เผยแพร่ออกไป มันต้องดังเป็นพลุแตกแน่ๆ นี่มันยิ่งกว่าหนังแอ็คชั่นซะอีก !” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาพลางแอบถ่ายวิดิโอที่ซูเอากำลังอัดพวกนักเลงอยู่
รอยยิ้มบนใบหน้าของโมดงเปลี่ยนเป็นความเครียด ถึงแม้เขาจะมีพื้นฐานและประสบการณ์ในศิลปะการต่อสู้ แต่เขาก็ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของซูเถาได้ การเคลื่อนไหวของเขานั้นพริ้วไหวมากและการโจมตีทุกครั้งนั้นก็ส่งผลร้ายแรง
เวร่าตะลึงเมื่อเธอมองไปยังซูเถา เธอไม่คิดว่านอกจากเขาจะมีทักษะในการรักษาที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีทักษะการต่อสู้ที่ร้ายกาจอีกด้วย
อีกด้านหนึ่ง ไคหยานขยับริมฝีปากของเธอเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอผงกหัว เธอคาดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องมันจะต้องออกมาเป็นแบบนี้
โมดงรู้ดีว่าเขาไม่มีทางหยุดซูเถาโดยใช้แค่พวกลูกน้องได้ ดังนั้นเขาถึงถอดเสื้อออก เผยให้เห็นกล้ามอันแน่นหนาของเขา
หลังจากเขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องของเขา ซูเถามองไปยังโมดงที่ถอดเสื้อ
'ก็แค่การต่อสู้ จะถอดเสื้อทำไม ถอดแล้วมันทำให้เก่งขึ้นหรือไง งี่เง่าจริงๆ'
พวกลูกน้องสองคนเข้ามาใกล้ แม้ร่างกายจะดูอ่อนแอ แต่ซูเถาก็ยืนอย่างมั่นคงดุจหินผา ในขณะที่โมดงยืนอยู่ในท่าทางเตรียมพร้อมของหมัดหย่งชุน(ยืนโดยย่อตัว กางขาออก แต่หัวเข่านั้นบิดเข้าหากัน) เขาได้ก้าวออกมาจากการปะทะ
ท่ายืนหย่งชุนนั้นเป็นรากฐานสำคัญของมวยหย่งชุนในระดับสูง ซึ่งต้องผ่านการฝึกฝนมานับร้อยครั้ง ย้อนไปตอนที่ หยาน หวิ่งชุน (เป็นจอมยุทธ์ชาวจีนซึ่งเชื่อกันว่าเป็นคนแรกที่คิดค้นเพลงหมัดหย่งชุน) แต่งงาน เธอได้ยืนท่านี้เพื่อกันไม่ให้สามีของเธอมาพรากพรหมจรรย์ของเธอในคืนแต่งงาน
โมดงรู้ดีว่าเขาไม่มีทางที่ท่าซึ่งเขาฝึกมาเป็นเวลานับสิบปีจะถูกทำลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ในตอนที่โมดงพยายามถอยเพื่อตั้งหลัก ซูเถาได้หายไปต่อหน้าต่อตาเขาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็เคาะลงไปที่แขนของโมดงเบาๆ ซึ่งทำให้โมดงเสียการทรงตัว
ด้วยสัญชาติญาณ เขาได้ปล่อยหมัดรวมทั้งเตะสูงไปยังซูเถา อย่างไรก็ตาม เขาถูกซูเถาเอานิ้วจิ้มเข้าไปที่ใต้วงแขน ซึ่งทำให้โมดงนั่นร่วงลงไปที่พื้น
ซูเถาตามไปกระทืบซ้ำโมดงที่ร่วงไปอยู่บนพื้น
เพียงแค่สิบนาที นอกเหนือจากซูเถา ทุกคนร่วงไปกองอยู่บนพื้นหมดโดยปราศจากการนองเลือด
“ไปบอกหัวหน้าของแก ชั้นจะไม่มอบตำหรักให้ใครทั้งนั้นแม้ว่าจะได้ค่าตอบแทนมากเท่าไหร่ก็ตาม” ซูเถาถอนเท้าออกมา ปล่อยรองเท้าให้ติดอยู่บนหน้าของโมดง
ซูเถาเดินกลับไปที่ประตู เขาดูยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความแน่วแน่ที่มั่นคง
นับรวมรวมทั้งไคหยานและเวร่า สาวๆทุกคนมองไปที่เขาด้วยความตกตะลึง ในขณะที่เขาถอนหายใจ ซูเถานั้นเป็นคนที่เลือดร้อนผิดกับลักษณะภายนอกโดยสิ้นเชิง
เสียงไซเรนดังขึ้นในขณะที่รถตำรวจมาถึง หัวหน้าตำรวจมองไปยังพวกที่นอนกองบนพื้นพลางขมวดคิ้ว “เราได้รับแจ้งว่ามีการทะเลาะวิวาท โปรดให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วย”
“ทะเลาะวิวาท ? พวกนี้พยายามจะพังร้านนะ!” หนึ่งในไทมุงที่มองเหตุการณ์อยู่พูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
ตำรวจได้โบกมือโดยถือกระบองอยู่ เขาได้เหวี่ยงกระบองเพื่อเปิดทางเดินเข้าไปหาซูเถา เขาชี้กระบองไปยังบริเวณจมูกของซูเถา “นายเป็นคนของตำหนักใช่มั้ย ? นายเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ดั้งนั้นเราจึงต้องขอให้นายไปกับเรา”
ซูเถาหันหน้า มองไปยังกระบองที่ใกล้จะโดนหัวเขา เขาขมวดคิ้วก่อนที่จะคว้ากระบองของตำรวจมาไว้ที่เขา
“กล้าดียังไง , นี่แกบังอาจขัดขืนงั้นเรอะ!” หัวหน้าตำรวจโกรธ เขาได้เตะตัดขาซูเถา
อย่างไรก็ตาม , ซูเถาหลบและได้ใช้นิ้วจิ้มไปยังท้องช่วงล่างของนายตำรวจ ทันใดนั้น ร่างกายส่วนบนของหัวหน้าตำรวจได้ค่อยๆร่วงลงไปราวกับสำลีร่วงลงพื้น
นายตำรวจเอามือกุมท้องพลางตะโกนบอกไปยังตำรวจคนอื่น “ไอ้สารเลวนี่มันทำร้ายเจ้าหน้าที่ จับมัน !!”
เขาไม่กล้าที่จะลุกขึ้น เขาเกรงว่าอาจจะทำให้ถูกอับอายมากไปกว่านี้
“ทะเลาะวิวาท , ขัดขืนการจับกุม , ทำร้ายเจ้าหน้าที่ !” พวกนี้ไม่ใช่ความผิดเล็กๆในขณะที่เหล่าตำรวจล้อมรอบซูเถาซึ่งในมือนั้นถือกุญแจมืออยู่
ไคหยานดูกระวนกระวายมากเมื่อเห็นซูเถถากำลังจะถูกจับ เธอกระซิบไปยังผู้อาวุโสสูซึ่งเป็นเจ้าของร้านตัดกระดาษและค่อนข้างเป็นที่เคารพในย่านนี้ เขาได้เข้าไปปกป้องซูเถา
“พวกนายจะพาเขาไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น พวกนายจะทำถูกให้เป็นผิดไม่ได้”
เป็นเพราะการที่ผู้อาวุโสสูเผยตัวออกมา ทุกๆคนจึงรู้สึกตัว พวกเขาเข้าไปล้อมรถตำรวจ ในตอนนั้น หัวหน้าตำรวจที่นอนกองบนพื้นก็ได้ลุกขึ้นมาและขมวดคิ้ว “นี่พวกแกต้องการที่จะทำร้ายเจ้าหน้าที่อย่างงั้นเรอะ ต้องการให้ชั้นพาพวกแกทั้งหมดไปที่โรงพักเลยหรือไง ?”
ซูเถารู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย ตั้งแต่ที่เขากลับมาที่ตำหนัก เขาไม่ค่อยจะมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านมากนัก แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ซาบซึ้งในการพยายามปกป้องเขา เขาถอนหายใจ “ชั้นจะตามพวกเขาไปที่โรงพัก ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”
ผู้อาวุโสสูตอบกลับ “พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกัน และย่านนี่ก็เก่าแก่มาก พวกเราก็รู้สึกถึงความสำคัญและไม่มีใครอยากจะให้รื้อถอนมัน เราผลักความรับผิดชอบไปที่นายคนเดียวไม่ได้หรอก”
“ใช่แล้วๆ” คนออื่นๆส่งเสียงตะโกน
ซูเถาได้ผลักผู้อาวุโสสูเบาๆก่อนจะตอบ “วางใจเถอะ , ผมแค่ไปสถานีตำรวจเพื่อลงบันทึกประวัติเอาไว้เท่านั้นเอง เดี๋ยวผมกลับมา ในตอนที่ผมไม่อยู่ฝากดูแลตำหนักด้วย”
เหน่ย เว่ยถิงจะต้องดึงพวกแผนกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาเพื่อจับเขาแน่ ถ้าพวกเพื่อนบ้านเข้าไปขัดขวางการทำงานของพวกตำรวจ มันจะทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นและจะทำให้พวกมันมีข้อแก้ตัวมากขึ้น
นายตำรวจเดินเข้ามาแล้วจับซูเถาใส่กุญแจมือ
ซูเถาเขย่าแขนของเขาเนื่องจากนายตำรวจนั้นทำให้เขาเสียสมดุล “เราไม่ได้ไปที่โรงพักกันเหรอ ? ชั้นเดินเองได้น่า”
ผู้อาวุโสสูอึ้งไปกับการกระทำของซูเถาซึ่งตอนนี้เขาได้ขึ้นไปยังรถตำรวจก่อนจะหันมาพูดกับไคหยาน “เด็กหนุ่มนั่นเหมือนกับหมอซูเลย”
สายตาของไคหยานเต็มไปด้วยความกังวล
อย่างไรก็ตาม ซูเถาดูจะสงบเสงี่ยมและใจเย็นทีเดียว เขารู้อยู่แล้วว่าเว่ยถิงนั้นวางแผนมาเพื่อจับเขา
แผนแรกของซูเถาคือจัดการกับลูกน้องของเขา อีกแผนคือการถูกตำรวจจับ