บทที่ 301 - ลิลิธ (1) [26-12-2020]
บทที่ 301 - ลิลิธ (1)
”
[ข้ากำลังคอยอยู่เลย...]
เสียงๆนี้มันดูเหมือนกับเป็นเสียงของชายวัยกางคน แต่ว่ามันก็ดูคล้าบกับชายแก่และเด็กหนุ่มไปด้วยในเวลาเดียวกัน ฉันได้ตะโกนออกไปอย่างตกใจ
"นายพูดได้ด้วย"
[ข้าดูเจ้าอยู่... นับตั้งแต่ชั้นที่ 81...]
เขาไม่ได้สนใจฟังฉันเลย เขาได้พูดสิ่งที่ต้องการพูดต่อไป ฉันได้มองไปรอบๆเผื่อว่าจะมีใครอยู่ที่นี่อีกแต่ว่ามันไม่ใช่เลย ในห้องบอสนี้มีเพียงแค่หยดเลือดที่ไหล่อยู่ซึ่งัมนได้มารวมกันเป็นรูปร่างของคลื่นเลือด
[คนนั่น... ดูจะคาดหวังกับเจ้าไว้สูง...]
"คนนั้น? นายกำลังพูดถึงลอร์ดดันเจี้ยน?"
[ถ้าแบบนี้... มันเยี่ยมมาก... ถ้าข้าฆ่าเจ้าที่นี่... มันก็จะเป็นการแก้แค้นเล็กๆ...]
"ขอโทษนะแต่ฉันไม่คิดจะมาตายที่นี่
[ถึงแม้ว่า... มันจะน่าสนใจ]
เขาได้ยิ้มออกมา
[ดันเจี้ยน... ในที่แห่งนี้เจ้าเรียกว่าดันเจี้ยน... เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงไม่ได้ตายถึงแม้ว่าเจ้าจะ 'ตาย'?]
คลื่นเลือดได้มาล้อมรอบตัวฉันเงียบๆเหมือนกับผู้ล่ากำลังเตรียมล่าเหยื่อ
[ก่อนที่เจ้าจะตาย... คนๆนั้นจะลบนายออกไปเพื่อให้นายปลอดภัย]
"เรื่องนั้นฉันได้ยินมาเกินพอแล้ว"
มันไม่มีทางที่จะดึงคนตายกลับมามีชีวิตได้แน่นอน นั่นมันเป็นพลังในขอบเขตของพระเจ้า ในความรู้ของฉันมีเพียงแค่คะดูเซียสเท่านั้นที่มีศักยภาพพอที่จะทำแบบนั้นและแม้แต่คะดูเซียสก็ยังมีเงื่อนไขที่วุ่นวาย แม้แต่เชอริฟิน่าก็ไม่น่าจะมีทางดึงนักสำรวจกลับมามีชีวิตได้
[นั่นก็ง่ายมาก... ข้าจะฆ่านายและดูดซับเจ้าลงไปก่อนที่คนๆนั้นจะช่วยเจ้าได้ คนๆนั้นจะไม่มีทางทำอะไรได้อีก...]
"...."
ในตอนนี้ฉันก็คิดแบบนี้ เขาไม่ได้ผิด ฉันก็ไม่เคยที่คิดจะไว้ใจในพลังของเชอริฟิน่าไปทั้งหมดเช่นกัน ถึงแม้ว่าจนกระทั่งตอนนี้เธอจะไม่เคยพลาดก็ตาม
[ในระหว่างเวลานับหลายๆปี... เจ้าคิดว่า... เธอไม่เคยพลาดซักครั้งงั้นหรอ?]
"หืม"
หลังจากได้ส่งเสียงออกไปสั้นๆฉันก็จับหอกขึ้นมาและเริ่มสูดหายใจ
การหายใจที่ซึ่งต่างไปจากมนุษย์ปกติ มันเป็นการหายใจของอัศวินแห่งความตายที่ฉันเคยเผชิญหน้ามาก่อน ในระหว่างชั้นที่ 81 ถึงชั้นที่ 85 ทำให้ฉันเชี่ยวชาญลมหายใจแห่งความตายแล้ว
[เฮ้]
หืมม? นั่นมันเสียงฉันนี่
[ถึงแม้ว่านายจะพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้เพื่อให้ฉันกลัวมันก็ไม่มีอะไรเปลื่ยนไปหรอก]
[หุหุ... นั่นมันฟังดูจะไร้สาระงั้นหรอ]
เสียงของนรกสีชาดมันดูเหมือนกับการรวมเสียงแห่งความสิ้นหวังของมนุษย์ทุกคน แต่ว่าการต่อสู้กันจริงๆมันไม่ใช่การต่อสู้ด้วยเสียง
[ไม่ สิ่งที่ฉันหมายถึงคือมันไม่ได้สำคัญอะไรไม่ว่านายจะพูดจริงหรือไม่ก็ตาม]
ออร่าสีน้ำเงินดำได้ออกมาจากปากของฉัน คลื่นมุมหนึ่งได้พุ่งเข้ามาหาฉันได้ถูกย้อมจนเป็นสีเทาและพังลงไป นรกสีชาดได้ร้องออกมา
[จนกว่าฉันจะพิชิตดันเจี้ยนนี้ ฉันก็ไม่คิดที่จะมีพลังชีวิตเป็นศูนย์อีกต่อไป]
เมื่อการตายหมายถึงว่าจะต้องเสียเวลาหนึ่งเดือน ฉันก็จะไม่ยอมพลาดมัน
[ข้ารู้ ความคิดเจ้า.... มันเหมือนกับปราการที่แข็งแกร่ง]
[ร่างกายของฉันมันก็ไม่ได้แย่มากอีกแล้ว ถึงแม้แบบนั้นนายก็จะไม่มีโอกาสได้สัมผัสฉัน]
ฉันได้พุ่งออกไปทั้งแบบนี้ เพลิงโกลาหลได้จุดขึ้นเหนือหอกของฉันและผสมเข้ากับพลังแห่งความตาย
[การได้เจ้าเป็นอาหาร... ข้าจะได้พลังใหม่... พลังของโลกที่อยู่ในตัวเจ้า ข้าจะเอามันมา!]
ฉันไม่คิดเลยว่าฉันจะได้ยินเรื่องแบบนี้ในดันเจี้ยนแต่ว่าอย่างที่ฉันพูดไปไม่ว่ามันจะข่มฉันยังไงมันก็ไม่สำคัญ
[ต่อให้แกได้พลังของฉันไป มันก็จะไม่มีอะไรเปลื่ยนไปสำหรับแก]
[....!]
หอกของฉันได้แหวกคลื่นไป ไม่ใช่แค่นั้นแต่ว่าส่วนหนึ่งของคลื่นก็ได้กลายเป็นหินหลังจากที่สบกับสายตาของฉัน นรกสีชาดได้ร้องออกมาอย่างตกใจ
[อะไรกัน!?]
[ถ้าแกอ่อนแอมากจนถึงจนขนาดได้รับผลจากดวงตามาร แกคิดว่าแกจะสามารถโค่นล้มดันเจี้ยนได้ด้วยจากแค่การได้พลังของฉันไปงั้นหรอ? ถ้าแกคิดแบบนั้นจริงๆแกก็คงจะพลาดมากๆเลยล่ะ]
[ดวงตามาร...!]
[ในตอนแรกที่ฉันได้เห็นแก ฉันก็คิดไว้แล้วว่าทำไมแกถึงได้แพ้โดยที่แย่งพลังของโลกมาไม่ได้]
นรกสีชาดนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นและดูดมานาได้มากยิ่งกว่าผู้กินมานา มันได้ใกล้เคียงกับการอยู่ยงคงกระพัน
นอกไปจากนี้ร่างกายของมันก็ยังมีสถานะเป็นของเหลว มันสามารถจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระตามที่มันต้องการ และเนื่องจากการที่มันดูดการโจมตีทางเวทย์และทำให้การโจมตีทางกายภาพไร้ผลทำให้ฉันได้แต่สงสัยว่าทำไมฮีโร่ของโลกที่มันไปบุกถึงได้เอาชนะมา
ฮีโร่เป็นอัศวินแห่งความตายงั้นหรอ? เป็นไม่ได้ ต่อให้มีใครที่สามารถจะใช้พลังแห่งความตายแบบฉันได้แต่ว่าแค่คนๆเดียวก็ไม่มีทางพอที่จะรับมือกับนรกสีชาดได้
ถ้างั้นแล้วยังไงล่ะ? คำตอบนั่นก็ง่ายมาก
[แกแข็งแกร่งแต่ว่าระดับของแกมันต่ำมากๆเมื่อนำมากเทียบดู สิ่งที่ฉันหมายถึงก็คือแกไม่ใช่ศัตรูที่มีพลังที่จะมีเพียงแค่ฮีโร่เท่านั้นที่ต่อสู้ได้ ทุกๆคนสามารถจะสู้กับแกได้ ใช่แล้วแกมันเป็นตัวที่่อ่อนแอที่ซึ่งใช้ปริมาณที่มหาศาลมากกว่าคุณภาพ แกไม่ได้แพ้ฮีโร่ใช่ไหมล่ะ? แกต้องแพ้ให้กับกองทัพ การต่อสู้กับศัตรูด้วยปริมาณก็ต้องใช้ปริมาณเข้าสู้]
[....!]
จริงๆก็ไม่ใช่ว่ามันอ่อนแอ ด้วยจำนวนของมันฉันก็คิดว่าฮีโร่คนเดียวน่าจะหยุดมันได้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะสู้กับฮีโร่
ความจริงที่จัดการมันก็คือดวงตามารใช้ได้ดีกับมันเป็นหลักฐาน
[แกรู้ไหมถึงแม้ว่าดวงตามารของฉันจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ว่ามันก็ยังไม่พอที่จะแช่แข็งศัตรูของโลกคนอื่นๆได้]
ฉันได้ยิ้มขึ้นมาอย่างแจ่มใส ดวงตามารของฉันในตอนนี้ก็ได้มีพลังแห่งความตายด้วยเช่นกัน ออร่าแห่งความตายสามารถใช้กับมานาอื่นๆได้อย่างดี มันได้เสริมพลังให้กับดวงตามารของฉันอย่างเป็นธรรมชาติ พลังนี้มันมันใช้ประโยชน์ได้รอบด้านจริงๆ
ยังไงก็ตามดวงตามารที่ได้เสริมพลังแห่งความตายของฉันได้ทำให้เลือดทั้งหมดที่อยู่ในสายตาของฉันได้กลายเป็นหินไป ที่ฉันไม่ได้ใช้ดวงตามารในชั้นก่อนหน้านี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้นรกสีชาดได้มีเวลามาเตรียมตัวสู้กับฉัน ถึงแม้ว่าจริงๆฉันก็ไม่แน่ใจว่าดวงตามารจะใช้ได้ดีก็ตาม
ในตอนที่ฉันได้เริ่มคิดว่าฉันจะเอาชนะมันได้ยังไงฉันก็รู้ตัวว่าระดับของมันไม่ได้สูงมาก ส่วนที่เหลือจึงง่ายมากๆ
[เจ้า... ดวงตามาร... ดวงตามารแห่งการทำเป็นหิน!]
[ใช่แล้ว ฉันยังได้เสริมพลังแห่งความตายเข้าไปด้วยนะดังนั้นมันจึงไม่ใช่แค่พลังของดวงตามาร]
แต่เจ้านรกสีชาดนี้มันมีความหลากหลายตัวโดยที่ไม่มีสภาพที่ชัดเจน มันสามารถจะขโมยมานาไปจากฉันได้และใช้มานานั้นกลับมาสุ้กับฉัน ถึงแม้ว่าคลื่นเลือดบางส่วนจะถูกทำลายไปและเอามานามาจากมันก็ตาม แต่ว่ามันก็มีจำนวนเหมือนไม่จำกัด ยังไงก็ตามฉันก็คิดว่าจะต้องมีตัวใดตัวหนึ่งแน่ที่ควบคุมทั้งหมดนี้
[อย่างที่เจ้าพูด... ข้าขยายออกไปได้ไม่สิ้นสุด... ด้วยจำนวนนี้... ในห้องสู้นี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บเต็มที่.... ในตลอดหลายปีมานี้ข้าได้ฟื้นฟูตัวเอง... และนี่ก็คือผลลัพธ์... ในตอนที่ฮีโร่ของทวีปแพนไทแรนฆ่าข้า... เขาได้เสียสละจอมเวทย์นับหมื่นและนักรบถึงสองหมื่น... ถ้าสงสัยจังเลยว่า... เจ้าจะเอาชนะข้าได้เพียงลำพังงั้นหรอ?]
[ใครบอกกันว่ามีแค่ฉันคนเดียว?]
คลื่นขนาดใหญ่ได้ลุกขึ้นมาในห้องนี้ ห้องบอสในชั้นที่ 85 ได้ใหญ่ขึ้นกว่าห้องบอสก่อนๆแต่ว่าคลื่นนี่ที่เพิ่มขึ้นมาก็มากพอที่จะเติมเต็มห้องๆนี้ ใชแล้วมันมาพอที่จะจมเมืองทั้งเมือง
[ภูติธาตุ... เจ้ามีเจ้าสิ่งเล็กน้อยแบบนั้น]
[ชาราน่า ดอร์ตู]
[ฉันพร้อมแล้วเจ้านาย]
[ข้าดอร์ตู ปฏิบัติตามคำสั่งนายท่าน]
หลังจากดอร์ตูได้ตอบกลับมามานาของฉันที่มีเกือบ 700,000 ก็ได้หายไปเกือบ 300,000 ในทันที จากนั้นโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระจายอยู่ในกอากาศ
[ภูติธาตุ พวกมันสร้างขึ้นจากมานา แต่ว่าพวกมันก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิต ร่างโคลนของเขา... ไม่ได้มีพลังแต่ว่สำหรับเราร่างจริงแล้ว... พวกมันไม่ต่างอะไรกับอาหาร]
[ถ้างั้นก็ลองดูสิ มาดูกันว่าแกจะกินดอร์ตูได้ไหม]
ฉันได้ตอบไปด้วยรอยยิ้มและยืมพลังของชาราน่าปล่อยลมหายใจแห่งความตายออกไป ส่วนหนึ่งของคลื่นได้แข็งอยู่กับที่และในขณะที่ฉันซื้อเวลานี้คริสตัลโลหะบนท้องฟ้าก็ได้เปลื่ยนเป็นกระจก
[ชาราน่า ฝากด้วยนะ]
[ค่ะ นายท่าน]
ชาราน่าได้ตอบกลับมาอย่างมั่นใจอย่างเคย เธอเป็นภูติธาตุลมแต่ว่าพลังของเธอไม่ได้จำกัดแค่ลมเท่านั้น เธอยังสามารถเสริมพลังของเธอให้กับคนอื่นๆได้
พลังของชาราน่าได้กระจายออกไปทั่วกระจกทำให้มานาของฉันถูกดูดออกไป 100,000 ฉันได้ดื่มมานาโพชั่นลงไป แต่ว่าลมหายใจแห่งความตายก็ได้ทำลายขวดจนแตกกระจาย
[พลังของดวงตามาร... มันกำลังกระจายออกมา!?]
[ไม่ผิด แน่นอนว่ามันกำลังถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆด้วยพลังเท่าๆนั้น]
ฉันได้ตอบกลับไปและกระพริบตาทั้งสองข้าง กระจกขนาดเล็กที่รอยอยู่รอบๆตัวราวกับมันคุ้มกันฉันได้รับพลังจากดวงตามารและส่งพลังออกไปทั่วทิศทางเหมือนคลื่นลำแสง นรกสีชาดที่ถูกสัมผัสก็ถูกเปลื่ยนเป็นหินและตายไป
ฉันได้ยิ้มขึ้นมาอย่างยั่วมันและหมุนหอกไปรอบๆตัว ด้วยสัญญาณนี้ทำให้คลื่นได้กวาดเข้ามาหาฉันอย่างเต็มกำลัง
[มาดูกันว่ามานาของใครจะหมดก่อนกัน]
ฉันได้พุ่งตัวออกไปทำให้นรกสีชาดกลายเป็นหินมายิ่งขึ้นและกระโดดขึ้นไปบนฟ้า กระจกโลหะที่รอยอยู่รอยๆตัวฉันได้หมุนเป็นวงกลม เพียงแค่การหมุนอย่างต่อเนื่องนี้ก็ทรงพลังมากพอที่จะจัดการนพวกมันแล้ว
[ก๊าาาาาาาา! ข้าจะใช้คลื่นเลือดนี้กลืนกินเจ้า!]
[แกแพ้แล้ว!]
ด้วยวิญญาณสัมบูรณ์ได้ต่อต้านกับพลังของนรกสีชาดที่พยายามจะเอามานาไปจากฉัน ในเวลาเดียวกันวงจรเพรูต้าก็ได้หมุนวนทำให้เพลิงแห่งความตายได้จุดขึ้นมาบนท้องฟ้า
ในมือของฉันนี้ได้ถือหอกที่หุ้มด้วยเพลิงแห่งความตายและรอบๆตัวมีกระจกโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนคุ้มกันฉันอยู่
[คังชิน ศัตรูที่น่าสนใจ!]