บทที่ 166 รนหาที่ตาย
กองกำลังของสำนักจิตอสูรได้ออกเดินทางไปแล้ว ก่อนไป จ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์ได้มาหาเจียงอี้เพื่อกล่าวคำอำลา มีเพียงซูรั่วเสวี่ยเท่านั้นที่ไม่แม้แต่จะชายตามองเจียงอี้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกอึกอัดใจและกลับเข้าไปบ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่ง
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ข้อมูลใดๆเกี่ยวกับสมุนไพรสยบวิญญาณ ภายนอกเจียงอี้อาจจะดูสุขุมเย็นชาและหมกตัวอยู่กับการบ่มเพาะพลังหรือไม่ก็กลั่นเม็ดยา แต่มีเพียงเฉียนว่านก้วนเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกขมขื่นขนาดไหน
อีกไม่กี่วันสงครามราชอาณาจักรก็จะเริ่มต้นขึ้น ทำให้ผู้คนไม่มีเวลาฝึกฝนและยังส่งผลให้ความต้องการเม็ดยาลดลงไปตามลำดับ เมื่อเจียงอี้รู้สึกว่ากำไรที่ได้จากการกลั่นเม็ดยาไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป ในที่สุดเขาก็หยุดและหันมาใช้เวลามากกว่าครึ่งวันปิดด่านฝึกตนอยู่ในห้องบ่มเพาะพลัง
เวลาผ่านไปราวๆหนึ่งสัปดาห์
ในวันนี้ เจียงอี้แบกร่างที่อ่อนล้าของเขากลับไปยังที่พักและคาดว่าจะมีอาหารเลิศรสรอเขาอยู่เหมือนทุกๆวัน แต่เขากลับต้องแปลกใจที่มาเห็นเฉียนว่านก้วนนั่งคอตกและถอนหายใจออกมาเป็นครั้งคราว
“เกิดอะไรขึ้น?”
จู่ๆ เจียงอี้ก็สัมผัสถึงลางร้ายบางอย่าง ครั้งก่อนที่เฉียนว่านก้วนมีสีหน้าแบบนี้ก็เป็นตอนที่มาแจ้งข่าวเรื่องเจียงหยุนไฮ่
เป็นไปได้ไหมว่าท่านปู่จะ…?
“ลูกพี่ ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ!”
เฉียนว่านก้วนโบกมืออย่างผ่อนคลาย ท่าทางของเขาในตอนนี้ราวกับว่าต้องการที่จะเอ่ยบ้างอย่างออกมาแต่ก็ลังเล ปากของเขาเปิดขึ้นและหุบลงเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักว่าควรจะกล่าวออกมาดีหรือไม่
เจียงอี้นั่งลงและรินน้ำชา จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้ากำลังเผชิญกับปัญหาอยู่ใช่หรือไม่? บอกมาเลย หากข้าช่วยได้ ข้าก็จะช่วยอย่างเต็มที่”
“มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าหรอก!”
เฉียนว่านก้วนส่ายศีรษะอย่างแรง จากนั้นก็กัดฟันและยอมกล่าวความจริงออกมา
“มันเป็นเรื่องของ… สมุนไพรสยบวิญญาณ!”
“อะไรนะ?!”
เจียงอี้ลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา ตอนนี้เขามีโสมเก๋ากี้พันปีและสมุนไพรชีเย่สามกลีบอยู่ในมือซึ่งก็ขาดเพียงแค่สมุนไพรสยบวิญญาณเท่านั้น
ด้วยสมุนไพรเหล่านี้ ปรมาจารย์เลี่ยวก็จะสามารถช่วยเด็กสาวผู้น่าสงสารที่สลบไสลเป็นเจ้าหญิงนิทราให้ตื่นขึ้นมาดูโลกได้อีกครั้ง
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
แต่ในไม่ช้าเจียงอี้ก็ตระหนักได้ถึงสิ่งผิดปกติ เขาหันไปมองเฉียนว่านก้วนและเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องทำหน้าอมทุกข์แบบนี้ด้วยเล่า? หรือเป็นเพราะว่าราคาของมันแพงจนเกินไป เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ต่อให้มันต้องจ่ายหนึ่งร้อยล้านตำลึงทอง ข้าก็สามารถจ่ายได้”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินน่ะสิ”
เฉียนว่านก้วนดูอึดอัดใจ แต่ในที่สุดเขาก็ยอมกล่าวออกมา “สมุนไพรสยบวิญญาณไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงินตรา วันนี้ทางอาณาจักรเสินหวู่ได้มีประกาศออกมา หากชาวเสินหวู่สามารถคว้าอันดับหนึ่งในสงครามราชอาณาจักรมาได้”
“คนผู้นั้นจะได้รับพระราชทานนาม ‘แม่ทัพเขี้ยวมังกร’ และได้รับรางวัลมากมายซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ… สมุนไพรสยบวิญญาณ!”
“สงครามราชอาณาจักรอีกแล้ว!”
สีหน้าของเจียงอี้ดูหนักอึ้ง เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมเฉียนว่านก้วนถึงมีสีหน้าเคร่งเครียดนัก สหายผู้นี้กลัวว่าเขาจะเข้าร่วมสงครามราชอาณาจักรนี่เอง
เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญยุทธมากมายและอาจจะต้องถูกกลบฝังอยู่ในที่ราบผลึกหิน!
“ตระกูลเฉียนของเจ้ามีอิทธิพลมากภายในอาณาจักรเสินหวู่ไม่ใช่รึ? เช่นนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาที่จะแอบนำสมุนไพรสยบวิญญาณออกมา ไม่ต้องห่วง ข้าจะเป็นผู้แบกรับข้าใช้จ่ายทั้งหมดเอง”
“เฮ้ออ…”
เฉียนว่านก้วนถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวต่อ “ลูกพี่ เจ้าไม่เห็นหรอว่าทั้งหมดนี้คือการจัดฉาก! เป้าหมายของพวกมันคือการล่อให้เจ้าเข้าร่วมสงครามราชอาณาจักร”
“อาณาจักรเสินหวู่ไม่เคยแสดงความเมตตาโดยการมอบนาม ‘แม่ทัพเขี้ยวมังกร’ และมอบรางวัลมากมายเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งเหตุใดจึงบังเอิญมีสมุนไพรสยบวิญญาณอยู่ในนั้น จากที่ข้ารู้มา คลังสมบัติของราชวงศ์ไม่เคยปรากฏชื่อของสมุนไพรสยบวิญญาณมาก่อน!”
“ถูกจัดฉาก?”
ดวงตาของเจียงอี้ว่างเปล่าขณะที่นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่โสมเก๋ากี้พันปีถูกกว้านซื้อไปจนหมด ดูเหมือนว่าสาวใช้ของปรมาจารย์เลี่ยวจะถูกติดสินบนจึงทำให้ข้อมูลแพร่งพรายออกไป
ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเดาว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ตระกูลจ่างซุนเป็นขั้วอำนาจเดียวที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์
สมแล้วที่จ่างซุนอู๋จี้เป็นทายาทของตระกูลจ่างซุนอันยิ่งใหญ่ แผนการของเขาช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
สุดท้ายเจียงอี้ก็ต้องถอนหายใจออกมาและทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นยืนและจ้องมองมาที่ร่างของเฉียนว่านก้วน
“ว่านก้วน ช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ที ข้าต้องการที่จะเข้าร่วมสงครามราชอาณาจักร!”
เป็นอย่างที่คิดไว้เลย…
และแล้วสิ่งที่เฉียนว่านก้วนหวาดกลัวก็เกิดขึ้นจริงๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงลังเลใจที่จะพูดกับเจียงอี้ หากว่าเขาไม่บอกเจียงอี้และปล่อยให้อีกฝ่ายรู้เองในภายหลัง มันจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่นอน
แต่ถ้าเขาบอกไป ด้วยนิสัยของเจียงอี้ เขาจะต้องเข้าร่วมสงครามโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแม้ว่ามันจะหมายถึงการกระโดดลงไปในกับดักแห่งความตายก็ตาม
ดังนั้นเฉียนว่านก้วนจึงไม่คิดที่จะโน้มน้าวอีกฝ่ายอีกต่อไปและกล่าวอย่างจริงจัง “ลูกพี่ สงครามราชอาณาจักรย่อยจะปล่อยให้ผู้ที่อายุต่ำกว่ายี่สิบห้าปีเข้าร่วมได้เท่านั้น กฎของมันนั้นง่ายมาก เจ้าสามารถสังหารใครก็ได้ที่อยู่ในที่รอบหินผลึกและช่วงชิงเหรียญผู้เข้าแข่งขันจากอีกฝ่ายมา”
“จอมยุทธขอบเขตฉูติ่งจะได้รับเหรียญสีขาวซึ่งมีค่าเท่ากับหนึ่งแต้ม ส่วนจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่จะได้รับเหรียญสีแดงซึ่งมีค่าเท่ากับสองแต้ม สุดท้ายก็คือเหรียญสีดำของจอมยุทธขอบเขตเสินโหยวที่มีค่าเท่ากับสามแต้ม”
“สงครามจะกินเวลาหนึ่งเดือน หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมที่ยังมีชีวิตอยู่ก็จะถูกส่งกลับไปที่เมืองเทียนชิง จากนั้นก็จะถูกจัดอันดับตามคะแนนสะสม!”
“อืม”
กฎของสงครามราชอาณาจักรย่อยค่อนข้างเรียบง่าย เจียงอี้พยักหน้ารับและตอบกลับ “มีจอมยุทธขอบเขตเสินโหยวจำนวนเท่าไหร่? คนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ระดับไหน?”
“หากเทียบจากจำนวนผู้เข้าร่วมทั้งหมดก็ไม่มากนัก แต่ก็ไม่นับว่าน้อย!”
เฉียนว่านก้วนกังวลเรื่องนี้มากที่สุด การแสดงออกของเขาดูเคร่งขรึมมากขึ้นขณะที่กล่าว
“ผู้ที่สามารถทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวได้ตั้งแต่ก่อนอายุยี่สิบห้าล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์อันหาตัวจับได้ยาก โดยปกติแล้วจะสังกัดอยู่ในขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่”
“พวกเขาจะกลายเป็นผู้นำกลุ่มของตระกูลหรือขั้วอำนาจที่จะเข้าร่วมสงคราม ยกตัวอย่างเช่นลูกพี่ลูกน้องของข้าที่เป็นอัจฉริยะขอบเขตเสินโหยวขั้นที่สาม พวกเขามีกันอยู่สามคนที่จะถูกส่งมาเป็นตัวแทนเข้าร่วมสงคราม”
“ในอาณาจักรเสินหวู่ มีอัจฉริยะขอบเขตเสินโหยวอยู่ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน หากใครคำนวณ คงมีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับนี้จากทุกอาณาจักรที่จะเข้าร่วมสงครามราชอาณาจักรย่อยประมาณหนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบคนเลยทีเดียว!”
“คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็น่าจะอยู่ในขอบเขตเสินโหยวขั้นที่สี่ แต่นี่เป็นเพียงข้อมูลคร่าวๆเท่านั้น เพราะอาจจะมีอัจฉริยะที่น่าเกรงกลัวซึ่งเร้นกายจากทางโลกเข้าร่วมด้วยเช่นกัน”
“มากขนาดนั้นเชียว…”
เจียงอี้อ้าปากค้าง หากว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงแค่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ เขาก็สามารถกวาดล้างพวกมันทั้งหมดได้ แต่เมื่อกล่าวถึงขอบเขตเสินโหยว ทุกอย่างจะแตกต่างออกไป หากเจียงอี้ต้องประมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ เขามีโอกาสถึงเก้าในสิบส่วนที่จะตายในการต่อสู้
เหตุผลส่วนหนึ่งที่เจียงอี้ตัดสินใจเข้าร่วมสงครามก็เป็นเพราะหมาป่าจันทราสีเงิน ความเร็วของมันสามารถเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เจ็ดหรือแปด ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะเสี่ยงอันตรายในครั้งนี้
“ว่านก้วน เจ้ามีแผนที่ของที่ราบหินผลึกหรือไม่?”
“ไม่มี!”
เฉียนว่านก้วนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอันมืดมน “สิ่งที่น่ากลัวของที่ราบหินผลึกคือมันจะเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศทุกครั้งที่สงครามราชอาณาจักรเกิดขึ้น”
“หากลูกพี่เข้าร่วม แน่นอนว่าข้าจะขอให้คนวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียด แต่เจ้าต้องเตรียมตัวและออกเดินทางภายในสองวันนี้เพื่อที่จะไปให้ทันกองกำลังของสำนักก่อนที่พวกเขาจะไปถึงเมืองหลวง ไม่เช่นนั้น เจ้าจะไปไม่ทันเวลา”
“จริงสิ ข้าจะขอให้ผู้อาวุโสหลิวไปกับเจ้าด้วย อย่างน้อยเจ้าก็จะได้ปลอดภัยมากขึ้น”
“ไม่จำเป็น!”
เจียงอี้หัวเราะพลางส่ายศีรษะ “ข้าจะไปคนเดียว อย่าลืมสิว่าหมาป่าจันทราสีเงินของข้าว่องไวกว่าผู้อาวุโสหลิวเสียอีก! อีกอย่างการเดินทางคนเดียวจะทำให้ข้าปกปิดตัวตนได้ง่ายกว่า เจ้าเพียงแค่มอบแผนที่ทวีปนี้ให้ข้าก็พอ”
“นอกจากนี้ ข้ายังต้องการของบางอย่าง มีคนมากมายที่จ้องจะเอาชีวิตข้า ข้าไม่สามารถไปโดยไม่มีการเตรียมการได้ มิฉะนั้นจะเท่ากับการรนหาที่ตาย!”