บทที่ 1 นักเล่าเรื่องผู้เจ้าชู้
บทที่ 1 นักเล่าเรื่องผู้เจ้าชู้
สิบปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเกี่ยวกับการจัดการร้านยาเหมือนเดิมแทบจะทุกอย่างมีตู้ซึ่งบรรจุสมุนไพรต่างๆส่งกลิ่นหอมออกมาจากที่โต๊ะข้างตู้ซึ่งมีตาชั่งและกระดาษสำหรับห่อยาวางตั้งไว้อยู่
มีอีก 2 ห้องอยู่ด้านข้าง ห้องหนึ่งเป็นห้องนอน ส่วนอีกห้องเป็นห้องทำงานลึกเข้าไปเป็นโกดังไว้เก็บสมุนไพรและห้องที่ไว้ใช้สำหรับปรุงยา
มีชายคนนึงเดินเข้ามาในห้องนอนเขาได้นำกระทะร้อนๆมาวางไว้และหยิบคัมภีร์สภาพโทรมๆนับสิบเล่มที่เก็บไว้ในกล่องยาเก่าๆออกมาจากนั้นเขาได้คุกเข่าลงต่อหน้ารูปภาพของคนแก่คนนึงพร้อมทั้งพูดเบาๆว่า
“ปู่ ผมได้อ่านตำราแพทย์โบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเราหมดแล้วนะผมจะเผามันให้ปู่เดี๋ยวนี้แหละ”
จากนั้นเขาได้ใช้ไม้ขีดเพื่อจุดไฟเปลวไฟจากไม้ขีดสีแดงสัมผัสกับกระดาษ เปลี่ยนจากกระดาษเป็นขี้เถ้าภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เขาได้จากที่นี่ไปเมื่ตอนอายุ 10 ขวบและในตอนนี้เขาได้กลับมาที่นี่แล้ว
ซูเถาออกมานั่งหน้าร้านมองดูลูกสาวของบอสไคเจ้าของร้านขายของเก่าที่อยู่ข้างๆ
เธออายุ 26 ปี เรียกได้ว่าสวยราวกับดอกไม้เลยหล่ะแต่กลับไม่มีแฟนซะงั้นซึ่งเป็นอะไรที่หายากมากๆ ในเมืองซานเซียน ซึ่งเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยการแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยๆและเป็นเมืองแห่งการเกิด
ไคหยานได้ใช้สายตาที่สวยราวกับดอกพีชจ้องมาที่ซูเถา พร้อมทั้งเม้มรีมฝีปากด้วยท่าทาง 'ยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม' เมื่อเจอกับความงามเช่นนี้จะไม่ให้ซูเถาหวั่นไหวได้อย่างไร
“หมอซู , เรื่องตลกที่นายจะเล่าให้ชั้นฟังในวันนี้เป็นเรื่องอะไรเหรอ ?”
ไคหยานมองไปที่ซูเถาด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังอะไรบางอย่าง
“ชั้นจะเล่าเรื่องตัวละครในสามก๊กให้ฟัง , ชื่อของเขาคือลิโป้ หรือรู้จักกันในสกุลของทาสทั้ง 3 รวมกันเรื่องราวสุดคลาสสิคของโสเภณี” ซูเถากล่าวออกมาเช่นนั้น (ต้นฉบับมาอย่างงี้นะครับ)
ทั้งสองได้พูดคุยกันมาบ้างเป็นระยะเวลานึงนั่นทำให้ทั้งคู่คุ้นเคยกันดีเพราะเหตุนี้ไคหยานจึงไม่ได้รู้สึกรังเกียจซูเถาถึงแม้ว่าเขาจะเล่าเรื่องลามกออกมา
“ฟุฟุฟุฟุฟุ” ไคหยานหัวเราะออกมาโดยที่หน้าอกของหล่อนกระเพื่อมเล็กน้อย
“นายนี่ไม่รู้เรื่องเอาซะเลยนะ , ลิโป้น่ะเป็นคนที่มีนามสกุลของทั้ง 3 คนรวมกัน แล้วไหงมันกลายเป็นเรื่องราวของโสเภณีไปได้ยังไงเนี่ย”
(fact : ในสามก๊ก เตียวหุยด่าลิโป้ว่าไอ้ลูกสามพ่อเนื่องจากในสามก๊ก ลิโป้ย้ายฝั่งถึง 3 ครั้งยอมทรยศนายเก่าโดยเห็นแก่ลาภยศ)
พอเห็นไคหยานขมวดคิ้ว ซูเถาจึงยิ้มแห้งๆ
“ไม่ๆ , เปลี่ยนมาเป็นเรื่องใช้สมองกันดีกว่างั้นเอาเป็นเรื่องการแข่งกลั้นหายใจในกองทัพละกัน คนแรกกลั้นหายใจใต้น้ำได้ 5 นาที คนที่สองได้ 8 นาที คนที่สามครึ่งชั่วโมงและยังคงกลั้นหายใจต่อไปใต้น้ำได้ คิดว่าเขาทำได้ยังไง ?”
ไคหยานขมวดคิ้วอยู่นาน “ครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะ , เขาโกงหรือเปล่า หรือไม่ก็ขาดใจตายไปแล้วใช่มั้ย ?”
ซูเถาส่ายหัวและถอนหายใจ “กรรมการได้ชำเลืองมองแล้วโพล่งอออกมา WTF คนๆนี้ดำน้ำในอ่างล้างจานต่างหาก”
เสียงหัวเราะเบาๆของไคหยานช่างราวกับเสียงระฆังเงินที่แสนไพเราะขณะที่เธอเช็ดน้ำตาออกจากหางตาของเธอ
“นายน่าจะไปทำรายการทีวีทอล์คโชว์ของนายเองดูนะ ชั้นมั่นใจว่านายจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องอย่างแน่นอน !!”
“การหัวเราะเล็กน้อยจะทำให้อายุน้อยลงไปสิบปีเลยนะ , อาการแน่นหน้าอกกับปัญหาการปัสสาวะค่อยๆหายไปแล้วใช่ไหม ?” ผู้ป่วยแต่ละคนย่อมใช้วิธีรักษาที่ต่างกันออกไป อาหารป่วยของไคหยานจำเป็นต้องอาศัยสภาพจิตใจที่ร่าเริงในการรักษา ดังนั้นซูเถาจึงเล่าเรื่องสนุกๆสองสามเรื่องให้ฟังทุกๆวัน
แต่บางทีไคหยานอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาต้องการจะเย้าแหย่เธอโดยการเล่าเรื่องให้เธอฟังทุกวัน นักเล่าเรื่องที่เก่งที่สุดก็มักจะเจ้าชู้ที่สุดเช่นกัน
“นี่ หมอซู , ทักษะการแพทย์ของนายนั้นเหนือกว่ารุ่นก่อนๆนะเมื่อก่อนหมอซู(ปู่)มักจะจ่ายยาให้ชั้นเป็นประจำ แต่ตอนนี้อาการของชั้นดีขึ้นมากด้วยการฝังเข็มชั้นไม่ชอบพวกยาจีนนั่นเลย” ไคหยานกล่าวชื่นชมซูเถา
สายตาของซูเถาจ้องไปที่นิ้วอันเรียวสวยราวกับศิลปะของไคหยานเขาคิดในใจถ้าเธอตั้งใจเธอสามารถเป็นนักปั้นที่ยอดเยี่ยมได้แน่นอน เขาตอบกลับเธออย่างแผ่วเบา
“ถ้างั้น , ช่วยผมโฆษณาหน่อยสิ , อย่างที่เธอเห็น ตั้งแต่ผมได้ ตำหนักสามรสมาธุรกิจของผมก็ตกต่ำลง”
เมื่อรู้สึกตัวว่าผมของเธอนั้นพันกันยุ่งเหยิงเล็กน้อย , ไคหยานจึงลูบผมของเธอเบาๆพลางเปลี่ยนท่าทางเผยให้เห็นผิวบริเวณเอวที่ขาวราวกับหิมะ เธอหวีผมของเธอพลางสนทนาไปด้วย
วันนี้เธออสวมเสื้อเชิ้ตคอต่ำตัวบางไคหยานวางมือของเธอบนโต๊ะซึ่งบีบกับหน้าอกของเธออจนเผยให้เห็นถึงร่องภูเขาลึกๆจากหน้าอกของเธอโดยเธอได้เอามือยันแก้มไว้
มีลักยิ้มปรากฎที่มุมปากของเธอในขณะที่เธอนั้นแสดงท่าทางที่เซ็กซี่เล็กน้อยถึงขนาดที่ทำให้คนอื่นนั้นมองมาที่เธอเลยทีเดียว
ซูเถาไม่สามารถละสายตาไปจากคอสวยๆที่ขาวราวกับหิมะได้ ในขณะที่กำลังสะกดอาการตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในใจเขา “นี่คุณผู้หญิง , ช่วยเปลี่ยนท่าทางหน่อยได้ไหม , คุณกำลังล่อลวงให้คนอื่นก่ออาชญากรรมอยู่นะ ?”
ไคหยานพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิดในขณะที่หน้าของเธอนั้นแดงก่ำ
“ฝันไปเถอะย่ะ , ชั้นแค่นั่งอยู่ในท่านั้นนานไปหน่อยเลยเปลี่ยนท่าเฉยๆ”
ด้วยลักษณะท่าทางของไคหยานที่ค่อนข้างมีเสน่ห์ ทำให้ซูเถาจินตนาการไปไกลด้วยอะไรบางอย่างเขารู้สึกว่าเหตุผลที่ไคหยานมาให้เขารักษาอาการป่วยบ่อยๆนั้นไม่ใช่เพราะอาการป่วย แต่เป็นเพราะเขาต่างหาก
ด้วยความที่เป็นคนรูปร่างผอมสูงที่สวมเสื้อโค้ทสีขาวแล้วแสดงออกถึงความมีชีวิตชีวา , มีใบหน้าสวยและดวงตาที่สุกสกาวอีกทั้งรอยยิ้มที่ดูเป็นสุภาพบุรุษ ผมหยักศกสีดำ เป็นประเภทที่ผู้หญิงชอบเลย
ตั้งแต่ปู่ของเขาเสียไป เขาก็ได้รับตำแหน่งเป็นแพทย์หลักของตำหนักสามรส
ธุรกิจของเขาก็ดำเนินไปได้ถดถอยลงเป็นหมอโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะแต่เป็นเพราะหน้าตาควรจะดีใจหรือเศร้าใจดี
“นี่ค่ารักษาวันนี้” ไคหยานวางเงิน 100 เหรียญลงบนโต๊ะ
ซูเถาชำเลืองมองที่เงินและกล่าวว่า “ค่ารักษาแค่ 50 เหรียญ เธอจ่ายมาเกินนะ”
ไคหยานตอบกลับมาโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก “งั้นถือว่าเป็นค่ารักษาครั้งถัดไปแล้วกัน”
ไคหยานลุกขึ้นเธอใส่กางเกงคาวบอยขาสั้นซึ่งเผยให้เห็นขาอันเรียวยาวราวๆ 90 % ขาที่ราวกับมรกตซึ่งดูงดงามราวกับดอกบัวเผยให้เห็นถึงส่วนโค้งเว้าบริเวณบั้นท้ายได้อย่างพอดี
ซูเถากวาดสายตาไปรอบๆเหตุผลที่ผู้ชายจะกลายเป็นโจรข่มขืนนั้นเสื้อผ้าที่ผู้หญิงใส่ก็มีส่วนไม่น้อยเลย เขาพูดอย่างเอือมระอา “ผมขอเตือนคราวหน้าใส่กางเกงขายาวมาจะได้ไม่เป็นหวัด”
แก้มของไคหยานเปลี่ยนเป็นสีแดงเธอขึงตาใส่ซูเถาก่อนที่จะทำเสียงขู่พร้อมทั้งกำหมัดว่า “นายไม่มีสิทธิ์มองนะ !!”
ซูเถามองไปที่แก้มของไคหยานซึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงมันดูน่ารักสุดๆจากนั้นจึงถอนหายใจ “ผู้ชายไม่ได้ตั้งใจจะมองหรอกถ้าเธอไม่ใส่เสื้อผ้าโชว์เนื้อหนังแบบนั้นน่ะ”
ไคหยานตอบหลับในขณะที่หันหลังแล้วยิ้มให้
“ผิดแล้วย่ะ , ผู้หญิงใส่แบบนี้ก็เพื่อให้ผู้หญิงด้วยกันเห็นพวกผู้ชายนี่ไม่รู้เรื่องอะไรกันซะเลยนายรู้จักสิ่งที่เรียกว่าแฟชั่นกับอินเทรนด์มั้ยเนี่ย”
ซูเถาตะลึงใบ้กินในขณะที่ไคหยานขยับเข้ามาใกล้แล้วก็เป่าลมหายใจใส่หูของเขาพร้อมทั้งกล่าวอย่างแผ่วเบา “ชั้นต้องไปแล้วล่ะ , พ่อชั้นจะทำความสะอาดสต็อค แต่ประตูยังเปิดอยู่นะ”
กลิ่นหวานๆที่ลอยมานั้นทำให้ซูเถาไม่สามารถหายใจได้สะดวกนักไคหยานเช็ดลิปสติคออกจากมุมปากของเธอซึ่งเป็นประกายต่อหน้าต่อตาเขาซูเถาเกือบจะสูญเสียการควบคุมตนเองและเผลอกอดไคหยานไปแล้ว
ดูเหมือนเธอจะรู้สึกตัวว่าเธอทำเกินไปหน่อยไคหยานจึงถอยห่างออกมาสองก้าวก่อนที่จะใช้มือปิดหน้าของตัวเองเพื่อปกปิดความเขินอาย และพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“ชั้นชักไม่แน่ใจแล้วสิว่าจะเป็นเพื่อนบ้านกับนายได้นานแค่ไหน”
ถนนสายเก่านี่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเมื่อหลายปีก่อนรัฐบาลต้องการที่จะทำลายที่นี่อีกทั้งยังมีพวกนักธุรกิจเข้ามาเพื่อที่จะสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่นี่อีกเมื่อก่อนหมอซูคนก่อนเป็นที่เคารพยำเกรงในละแวกนี้ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจมากนักเมื่อนักลงทุนไม่เห็นด้วยกับการรื้อถอน ตอนนี้หมอชูคนก่อนได้ตายไปและชั้นเกรงว่านักลงทุนนั่นจะมาคุยเรื่องรื้อถอนอีกครั้งเร็วๆนี้
ซูเถาขมวดคิ้ว “ถนนเก่าที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันเก่าแก่ ทำไมรัฐบาลถึงไม่คิดจะสนใจปกป้องที่นี่เลย”
ไคหยานยักไหล่แบบไม่ได้คิดอะไรแล้วหันกลับมาเผยให้เห็นถึงรอบเอวอันเย้ายวนแล้วพูดว่า “พอลองเทียบดูแล้ว มรดกทางวัฒนธรรมดูจะไร้ค่าไปหน่อยน่ะ”
หลังพูดจบ ไคหยานก็เดินจากไปทางประตู
ถนนเก่าฮั่นโจวนี้ถึงจะมีระยะทางแค่ 30 เมตร แต่ก็เป็นถนนที่มีชื่อเสียงและมีค่ามาก
ธุรกิจร้านขายของเก่าเป็นที่รู้จักดีในย่านนี้และมีผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก
หลังจากที่ไคหยานออกไปไม่นานฝนก็ได้ตกลงมาฟ้าร้องสนั่นพายุโหมกระหน่ำโดยที่ไม่อ่อนแรงลงไปเลยเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงทันใดนั้นก็ได้มีรถโตโยต้าสีดำสนิทคันหนึ่งเข้ามาจอดที่หน้าประตูอย่างกะทันหัน
ในตอนนี้ซูเถากำลังยุ่งอยู่กับการตรวจสอบยาเม็ดสีเขียวด้วยแว่นขยาย เมื่อสิ้นเสียงจอดรถสายตาของเขาได้จับจ้องไปที่ประตูพลางนึกในใจว่าสภาพอากาศแบบนี้ถถ้าไม่ได้มีธุระด่วนจริงๆคงไม่มีใครมาหา
“ไม่ทราบว่าคุณหมอซูอยู่ที่ไหนเหรอ ?” เด็กคนหนึ่งซึ่งไว้ผมหน้าม้า สวมเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำสนิท รองเท้าหนังสีดำถามขึ้นมาอย่างสุภาพ
ซูเถาส่ายหัว “ไม่อยู่ที่นี้แล้วหล่ะ” ถึงแม้ว่าเขานะนามสกุลซูและเป็นหมอเหมือนกัน แต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นหมายถึงปู่ของเขา
“ไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอ แล้วเขาไปไหนหล่ะ?” เด็กน้อยถามอย่างเร่งรีบ
“เขาตายแล้ว” ซูเถากล่าวอย่างเรียบๆ
“ตายแล้ว ?” เด็กน้อยตกใจจนอ้าปากค้าง “คุณไม่ได้โกหกใช่มั้ย”
ซูเถาวางแว่นขยายลงแล้วกล่าวอย่างเศร้าๆ “ทำไมชั้นต้องล้อเล่นกับการตายของปู่ชั้นด้วยล่ะ?”
“ทำไงดีเนี่ย” เด็กน้อยกล่าวอย่างหมดปัญญา “ประธานตี้ขอให้เราพาเขาไปรักษาอาการป่วย แถมยังเป็นคำสั่งเด็ดขาดซะด้วย แต่หมอซูดันมาตายไปซะนี่ เราจะรายงานกลับไปว่ายังไงดี”
พอนึกถึงความโกรธของประธาน ตี้ เด็กน้อยตั่วสั่นด้วยความกลัว หลังจากรวบรวมความกล้าได้แล้วก็ได้โทรศัพท์ไปหา ตี้ ชีหยวน “ท่านประธาน , คนที่ท่านสั่งให้ไปเชิญมานั้นตายแล้ว !”
“ไร้สาระ , เขาจะตายได้ยังไง ? นายได้ไปที่นั่นจริงๆหรือเปล่า ? ต่อให้เขาตายแล้วก็เอาศพเขากลับมาซะ !” ตี้ชีหยวนตัดสายโทรศัพท์ทิ้งทันควัน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มตบหัวเรียกสติและถอนหายใจ “ชั้นทำได้เท่านี้แหละ , ถ้างั้น ..” เขาได้หันไปถามซูเถา “คุณช่วยไปโรงพยาบาลเจียงหัวกับผมได้ไหม แล้วบอกท่านประธานเกี่ยวกับเรื่องขอองหมอซู ?”
การที่เขาเชิญปู่ไปรักษาอาการป่วยได้ แสดงว่าพวกเขาต้องเป็นเพื่อนเก่ากันแน่นอน นอกจากนี้พอดูจากท่าทางของเด็กคนนี้เขาไม่ได้แต่งเรื่องโกหกแน่นอน
พอดูจากสภาพอากาศที่ไม่ค่อยดีนัก ประกอบกับเขาก็ไม่ได้มีธุระอะไรที่ร้านขายยาตอนนี้ เขาน่าจะไปกับเด็กคนนี้ ซูเถาตอบกลับ “ก็ได้ผมจะไปกับคุณ”
เด็กหนุ่มรู้สึกโล่งอก , ถึงแม้ว่าคนที่เขาต้องการพาไปด้วยจะตายเสียแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ทำภารกิจของเขาให้สำเร็จลุล่วงได้ถ้าหากเขาสามารถพาคนที่ยังมีชีวิตอยู่ไปด้วยได้
“สถานการณ์ฉุกเฉิน , ชั้นต้องการให้ทุกคนคิดวิธีแก้ปัญหานี่มันเกี่ยวพันกับชื่อเสียงโรงพยาบาลเจียงหัวของเรา”
ประธานของโรงพยาบาลเจียงหัว,ดิชีหยวนกำลังเคาะนิ้วลงบนโต๊ะประชุมพลางจ้องไปยังทุกคนที่เข้าร่วมประชุมอยู่ทุกคนก้มหัวหลบไม่กล้าที่จะสบตากับเขา
ดิชีหยวนนั้นแตกต่างจากประธานของโรงพยาบาลคนอื่นๆเขาค่อนข้างอารมณ์รุงแรงและตัดสินใจได้เด็ดขาดภายใต้การดูแลของเขาเป็นเวลานับสิบปีโรงพยาบาลเจียงหัวที่ไร้มาตรฐานจึงได้ปลี่ยนไปเป็นโรงพยาบาลสามดาวที่ประสบความสำเร็จ
เฉียวเต้อเหา , คณะกรรมการบริหารของโรงพยาบาลได้รับโทรศัพท์ แววตาของเขานั้นเปล่งประกายจากนั้นเขาก็ได้กล่าวว่า “วางใจได้ทุกท่าน , ผมได้ทำการติดต่อไปยัง ศจ.ถังหมิงเรียบร้อยแล้ว”
โรงพยาบาลเจียงหัวเป็นโรงพยาบาลที่มี ตี้ชีหยวนเป็นคนดำเนินกิจการของโรงพยาบาล โดยมีเฉียวเต้อเหาเป็นผู้รับผิดชอบด้านการบริหารและการบริการลูกค้า
ตี้ชีหยวนเป็นกังวลเกี่ยวกับเฉียวเต๋อหัวเขารู้ว่าถ้าเฉียวเต้อเหาสามารถที่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญเข้ามาแก้ไขปัญหาได้สำเร็จละก็เขาก็สามารถเข้ามาจัดการเกี่ยวกับการดำเนินงานของโรงพยาบาลได้ในอนาคต
ใบหน้าของตี้ ชีหยวนยังคงนิ่งเขาเป็นกังวลเกี่ยวกับจ้าวหมิงที่เขาส่งไปเพื่อที่จะเชิญ ซูกวงเฉิง
ทุกคนได้มาเฝ้ารอที่ประตูเพื่อรอรับการมาถึงของถังหมิงรถสีดำจอดลงคนที่ก้าวลงมาจากที่นั่งผู้โดยสารเขาเห็นจ้าวหมิงที่เขาได้ส่งออกไป
“เสี่ยวจ้าว นายเชิญเขามาได้ไหม”
สีหน้าของเสี่ยวจ้าวไม่ค่อยสู้ดีนักเขาถอนหายใจพลางตอบกลับ
“ผมเชิญเขามาไม่ได้ครับผมจึงได้พาหลานชายของเขามาแทน”
ตี้ชีหยวนไร้ซึ่งการตอบกลับใดๆ แต่รอให้จ้าวหมิงพูดซ้ำก่อนที่จะได้เห็นชายหนุ่มเดินลงมาจากรถ
ซูเถาแนะนำตนเอง “ยินดีที่ได้พบ ท่านประธานตี้ ผมชื่อซูเถาปู่ของผมซูกวงเฉิงได้เสียชีวิตไปแล้ว”
“อา...” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวังพลางโบกมือ “ถึงแม้ว่าหมอซูจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ทักษะการแพทย์ของเขานั้นสุดยอดมากๆ ตลอดชีวิตที่ชั้นได้พบเจอมาเขาอาจจะเป็นหมอเทวดาเลยล่ะ”
หากเขาสามารถเชิญหมอชูมาได้ปัญหาในวันนี้จะต้องแก้ไขได้อย่างแน่นอนช่างน่าเสียดายจริงๆในตอนนั้นเอง ท่ามกลางพายุฝนก็ได้มีรถอีกคันขับเข้ามาในโรงพยาบาล
ตี้ชีหยวนเดาว่านั่นคงเป็นถังหมิงเขายิ้มเจื่อนๆ
“พ่อหมุ่นซู ไว้เราค่อยคุยกันทีหลัง ชั้นมีเรื่องที่ต้องทำ”
หลังจากเขาพูดจบเขาก็ได้เดินหันหลังไปที่รถคันใหม่พร้อมกับเหล่าหลุ่มคนกลุ่มใหญ่
ซูเถาไม่ได้ใส่ใจกับการต้อนรับอันเย็นชาเท่าไหร่นักเขาติดใจเล็กน้อยเกี่ยวกับปัญหาที่โรงพยาบาลเจียงหัวกำลังเผชิญอยู่