ตอนที่ 36 คำถามปลิดชีพ...
หลังจากอัดจนใบหน้าของเฟ่ยโก่วและฉู่กานบวมเป่งราวกับหมู เสวี่ยอิ่งปัดมือที่เลอะฝุ่นเข้าด้วยกัน นางมีท่าทีผ่อนคลายเป็นอย่างมากก่อนจะเดินไปทางป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลี
“บอกข้าทุกเรื่องที่จำเป็น อย่าบอกข้าว่าพวกเจ้าถูกตามล่าเพียงเพราะผิดใจกัน ถ้าเป็นเจ้าย่อมไม่ทำพลาดเช่นนั้นอยู่แล้ว ป๋ายเสี่ยวเฟย!”
ถึงนางจะเพิ่งรู้จักป๋ายเสี่ยวเฟยเพียงวันกว่าๆ เสวี่ยอิ่งได้เข้าใจถึงนิสัยใจคอของป๋ายเสี่ยวเฟยที่ทำให้เขาสามารถเอาตัวรอดได้ทุกที่
หลินหลีมองป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินเสวี่ยอิ่งถาม เพราะเขาเพียงบอกนางว่าต้องวิ่งหนีโดยไม่ได้อธิบายเหตุผลให้ชัดแจ้ง ในความเป็นจริงหากต้องสู้กันแค่นางคนเดียวก็พอในการเอาชนะเฟ่ยโก่วและฉู่กาน
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อมีสองสาวงามจ้องมองมายังทางเขาด้วยนัยน์ตาสงสัย เขาถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ตอนที่เขามาถึงสถาบันชิงหลัว
“เดี๋ยว แปลงกาย? เจ้าสุนัขตนนี้เป็นหุ่นเชิดลอกเลียนแบบ!?”
เสวี่ยอิ่งส่งเสียงขัดป๋ายเสี่ยวเฟยในขณะที่เขาเพิ่งเล่าไปได้แค่ครึ่งทาง ใบหน้านางตกใจอย่างหนัก
ถึงแม้เขาจะถูกถามคำถามนี้อีกครา ป๋ายเสี่ยวเฟยยังคงพยักหน้าอย่างใจเย็นก่อนจะสังเกตเห็นแววตาของเสวี่ยอิ่งที่ราวกับกำลังจ้องมองสมบัติล้ำค่าอยู่
“ข้าได้สั่งสมบุญจากชาติปางก่อนมากเท่าใดจึงได้ค้นพบสมบัติสองชิ้นในคราเดียว!?”
ใบหน้าของนางมีร่องรอยปลื้มปีติขณะที่นางก้าวเข้าหาป๋ายเสี่ยวเฟยก่อนจะโอบกอดยกเขาขึ้น หมุนตัวสองรอบแล้วจึงหยิบเสี่ยวเอ้อที่นั่งอยู่บนพื้นมาเอาหน้าสวยงามแนบชิดกับหน้ามัน
“สุนัขน้อย บอกข้าหากมีใครกลั่นแกล้งเจ้าในอนาคต ข้าสัญญาว่าจะอัดมันจนมารดาจำมันไม่ได้!”
เสวี่ยอิ่งกล่าวคำมั่น นัยน์ตาเสี่ยวเอ้อเปล่งประกายทันทีก่อนที่มันจะหันหัวช้าๆ ไปทางป๋ายเสี่ยวเฟย ใบหน้าของมันมีรอยยิ้มชั่วร้ายที่คล้ายคลึงของป๋ายเสี่ยวเฟยอยู่หลายส่วน
ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบยกแขนขึ้นมาชูสองนิ้วทันที แต่เสี่ยวเอ้อกลับส่ายหัวทันควัน มันเผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจเมื่อนิ้วของป๋ายเสี่ยวเฟยยกขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งครบห้านิ้ว
“อะไร? เขารังแกเจ้าหรือ?”
เสวี่ยอิ่งหันหลังกลับ ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบโบกมือปฏิเสธทันที
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เสี่ยวเอ้อเป็นหุ่นเชิดของข้า ข้าไม่มีแม้แต่เวลามาเอาใจใส่มัน แล้วจะไปรังแกมันได้เช่นไร? ท่านถามมันได้หากไม่เชื่อ!”
เสวี่ยอิ่งไม่เชื่อใจป๋ายเสี่ยวเฟยแม้แต่น้อย นางถามเสี่ยวเอ้อเพื่อยินยัน
ที่นางไม่คาดคิดคือเสี่ยวเอ้อดันพยักหน้าด้วยท่าทางเหมือนมนุษย์มาก
“เขาเข้าใจ?”
เสวี่ยอิ่งอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลงด้วยความตกใจอีกครา ร่องรอยประหลาดใจระคนสับสนปรากฎบนใบหน้า
ส่วนใหญ่หุ่นเชิดมีชีวิตจะได้มาจากการทำพันธะสัญญากับสัตว์อสูรและระดับของสัตว์อสูรตนนั้นเป็นตัวกำหนดระดับแรกเริ่มและขีดจำกัดของมันในฐานะหุ่นเชิด
ยิ่งกว่านั้นอากัปกิริยาในการแสดงท่าทีคล้ายมนุษย์ส่วนใหญ่จะปรากฎในสัตว์อสูรระดับประจักษ์ เทียบเท่าได้กับหุ่นเชิดระดับแดง ถึงจะเปลี่ยนสภาพจากสัตว์อสูรไปเป็นหุ่นเชิดมีชีวิตระดับของมันอย่างน้อยก็จะไม่มีทางต่ำกว่าระดับเหลือง
แต่จากที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่เสี่ยวเอ้อจะอยู่แค่ระดับน้ำเงิน เขายังเพิ่งยกระดับขึ้นมา ความขัดแย้งนี้จึงยากที่จะเข้าใจ
“ข้าไม่รู้ ตามที่พ่อแม่บุญธรรมของข้าบอก พ่อแท้ๆ ของข้าได้บังคับทำพันธะสัญญาให้เสี่ยวเอ้อเป็นหุ่นเชิดเมื่อข้าเพิ่งเกิด ข้าจึงไม่รู้ว่ามันอยู่ระดับใดในอดีต”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยักไหล่พลางกล่าวคำที่ทำให้เสวี่ยอิ่งตกใจอีกครา
‘ผูกหุ่นเชิดมีชีวิตกับทารกแรกเกิดไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ หากคนผู้นั้นต้องการให้สำเร็จอย่างแน่นอน อย่างน้อยเขาต้องอยู่ในระดับแตกฉาน!’
“พ่อเจ้าคือ...”
“ข้าไม่เคยเจอเขามาก่อน เขาฝากฝังข้าไว้กับเหล่าพ่อแม่บุญธรรมตั้งแต่ข้าจำความไม่ได้และข้ารู้เพียงชื่อเขาเท่านั้น”
ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่มีร่องรอยความโศกเศร้าเสียใจแม้แต่น้อยราวกับเขาไม่ได้รู้สึกใดๆ กับพ่อเขาจริงๆ
ในอีกด้าน เสวี่ยอิ่งเผยสีหน้าที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่เข้าใจออกมา
“ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเขาหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน พี่หญิงเสวี่ย มีหวังข้าโดนถลกหนังเป็นแน่แท้”
ป๋ายเสี่ยวเฟยรู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริงและเขายังรู้อีกว่าสถาบันชิงหลัวมิอาจเทียบกับหุบเขาวีรบุรุษได้ เพราะไม่ว่าเขาจะก่อเรื่องอันใดในหุบเขาวีรบุรุษเขายังมีพ่อแม่บุญธรรมเป็นคนหนุนหลัง จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาซึ่งแตกต่างจากที่นี่
“หากเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นนักเชิดหุ่นลอกเลียนแบบในตอนแรก ข้ามีหรือจะปล่อยให้เจ้าถูกรังแก ว่าแต่เจ้าถูกไล่ล่าได้อย่างไร?”
เสวี่ยอิ่งยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย ใบหน้ามีรอยยิ้มพึงพอใจในตนเอง
หลังจากภูมิใจอยู่ชั่วครู่นางกลับมาเป็นสาวน้อยขี้สงสัยที่อยากฟังเรื่องราว
“เล่าต่อ บอกมาว่าเหตุใดเจ้าถูกนางหมายหัว”
ประสบการณ์ของป๋ายเสี่ยวเฟยในหนึ่งวันกว่าๆ นี้สามารถจารึกลงในประวัติศาสตร์ของนักเชิดหุ่นลอกเลียนแบบได้แน่นอน...
ป๋ายเสี่ยวเฟยเล่าเรื่องราว ‘ความผิด’ ที่เขาได้ก่อตั้งแต่เข้าสถาบันชิงหลัวจนหมดเปลือก ในช่วงเวลานี้เสวี่ยอิ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่รู้จบ กระทั่งหลินหลียังเผยรอยยิ้มเป็นบางที
ความกล้าหาญชาญชัยของป๋ายเสี่ยวเฟยประทับแน่นในใจของพวกนาง
“หรือก็คือ ทางเข้าห้องเรียนของเราต้องวุ่นวายในคืนนี้?”
เสวี่ยอิ่งยิ้มอ่อนมีสีหน้าคาดหวังกับค่ำคืนที่จะมาถึงราวกับว่าการ ‘อุ่นเครื่อง’ เมื่อครู่ไม่พอสำหรับนาง
“ไม่ใช่แค่วุ่นวาย มันต้องยุ่งเหยิง พลุกพล่านไปด้วยผู้คนเป็นแน่แท้...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยสีหน้าสลดลงเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น
‘ครานี้ข้าทำเกินไป’
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าควรไปหาชุดนักเรียนหรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยมองไปยังเสวี่ยอิ่งที่คันไม้คันมือ เขาพลันรู้สึกสงสารพวกศิษย์พี่ที่จะมาทันที
“เหตุใดต้องไปหา?”
“ทางสถาบันห้ามมิให้อาจารย์ลงมือกับศิษย์ แน่นอนว่าไม่รวมถึงการป้องกันตนเอง มันจึงช่วยข้าได้ไม่น้อยหากข้าสวมใส่ชุดนักเรียน”
เสวี่ยอิ่งยักคิ้วขึ้นลงสองครา นิสัยขี้เล่นของนางมิอาจเชื่อมโยงกับคำว่า ‘อาจารย์’ แม้แต่น้อย ป๋ายเสี่ยวเฟยพูดไม่ออกขึ้นมาโดยพลัน
“ข้าไม่เห็นท่านคิดแบบนี้ตอนท่านอัดสองศิษย์พี่นั่น...”
“เพราะข้าเป็นห่วง ใครใช้ให้เจ้าถูกตามล่ากัน? อีกอย่างข้าเพิ่งเป็นอาจารย์ประจำห้องได้ไม่นาน มีหลายกฎที่ข้าอาจจะหลงลืมไปบ้าง”
เสวี่ยอิ่งเอ่ย แววตาของนางมองไปที่ไกลขณะกล่าว ป๋ายเสี่ยวเฟยเชื่อว่าเหตุผลอันหลังคือเหตุผลที่แท้จริงให้นางกล้าทำเช่นนั้น
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ย
“จริงๆ แล้วข้ามีวิธีจัดการด้วยตัวเองท่านไม่...”
“ข้าตัดสินใจแล้ว!”
เสวี่ยอิ่งตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นก่อนที่ป๋ายเสี่ยวเฟยจะกล่าวจบ จากท่าทีของนาง ป๋ายเสี่ยวเฟยมิอาจหยุดยั้งนางได้ถึงแม้เขาจะอยากมากก็ตาม
“เสี่ยวหลีหลี เอาชุดนักเรียนของเจ้ามาให้ข้าในภายหลัง อย่างไรเสียหุ่นของพวกเราก็ไม่ต่างกันมากนัก”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยกล่าว ป๋ายเสี่ยวเฟยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสำรวจทั้งสอง
คงเป็นการดีหากเขาไม่ได้มอง เพราะเลือดแทบจะพุ่งออกมาจากจมูกเขาเมื่อสายตาเหลือบไปเห็น
เพื่อความสะดวกสบาย เสวี่ยอิ่งสวมใส่ชุดเสื้อผ้าสำหรับต่อสู้ ส่วนที่ควรเห็นมิได้ปกปิด และส่วนที่มิควรเห็นก็มิได้ปกปิดเช่นกัน ‘บางสิ่ง’ ที่ขาวปานหิมะส่องสะท้อนจากดวงตาของป๋ายเสี่ยวเฟยทำตาเขาเจ็บปวดไม่น้อย
ในอีกด้าน หลินหลีสวมใส่ชุดนักเรียน กลิ่นอายสาวงามผู้รักนวลสงวนตัวมีให้เห็นทุกที่ เรือนร่างปานบุปผาเปล่งประกายมากกว่าปกติ
“ไอ๊ย๊า เสี่ยวเฟยเฟยหน้าแดงเชียว มาสิ ไหนมาบอกทีว่าระหว่างพวกเราใครน่ามองกว่า?”
เสวี่ยอิ่งพูดพลางทำสีหน้าภูมิใจเผยเรือนร่างน่าตระหนกให้เป็นที่ประจักษ์กว่าเดิม ในขณะเดียวกันนางไม่ลืมที่จะดึงอาภรณ์ของหลินหลีให้รัดแน่นขึ้น สอง ‘ภูเขา’ อันน่าภูมิใจในยามนี้มองเห้นได้ถนัดชัดตายิ่งกว่าเดิม
ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบ หลินหลีมิได้ขัดขืนการกระทำของเสวี่ยอิ่ง นางกลับจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยใบหน้าแดงซ่าน
คำถามปลิดชีพ จะตอบหรือไม่ตอบ?