ตอนที่ 35 ความจริงถูกเปิดเผย!
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหลินหลี ผู้ที่ขยับตัวเป็นคนแรกหาใช่ป๋ายเสี่ยวเฟย เฟ่ยโก่วหรือฉู่กานไม่ หากแต่เป็นเสี่ยวเอ้อที่กำลังซ่อนตัวอยู่ข้างหลังป๋ายเสี่ยวเฟย
เสี่ยวเอ้อกระโดดโลดเต้นไปมาชั่วครู่ก่อนจะกระโดดขึ้นไปยังเตียงที่หลินหลีนอนอยู่ มันเห่าอย่างมีความสุขพลางส่ายหางไปมา
ในอีกด้าน เฟ่ยโก่วและฉู่กานทีตกตะลึงพรึงเพริดมองไปยังสุนัขบนเตียงก่อนจะหันไปหาป๋ายเสี่ยวเฟยที่มีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้กัน พวกเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงลำคอ
“สุนัขฮัสกี้...?”
“ป๋ายเสี่ยวเฟย?”
ทั้งคู่ถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่ป๋ายเสี่ยวเฟยกำลังจะพูดแก้ตัวก็เป็นศิษย์พี่หญิงของศาลายาที่ผลักประตูเข้ามา ในมือของนางถือน้ำซุปยาอยู่ด้วย
“ศิษย์พี่หญิง ต้องลำบากท่านแล้ว ที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเถิด”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะเดินไปรับยาก่อนจะรีบเดินกลับมาข้างกายหลินหลี เขาราวกับได้ลืมเลือนคำถามของเฟ่ยโก่วและฉู่กานไปเป็นที่เรียบร้อย
“ศิษย์พี่หญิงจากศาลายาบอกไว้ว่าเจ้าจะหายดีในไม่ช้าหลังกินยา เพราะฉะนั้นห้ามบ่นเรื่องยาขม”
หลังจากพยุงหลินหลีขึ้น ป๋ายเสี่ยวเฟยยกน้ำซุปยาก่อนจะเป่าช้อนที่มีน้ำซุปยาสีแดงอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเคลื่อนมือไปยังปากของหลินหลี
แต่หลินหลีไม่ได้อ้าปากขึ้นในทันที นางเพียงจ้องไปที่ป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาใหญ่โตของนางรื้นน้ำตาขึ้นราวกับจะรินไหลได้ทุกเมื่อ
“มีอันใด? รีบกินยาเข้า มันเย็นแล้วเนี่ย”
ป๋ายเสี่ยวเฟยประหลาดใจเล็กน้อยเพราะการตอบสนองของหลินหลีเหนือความเข้าใจของเขาไปมาก
“ขอบคุณ...”
หลินหลีพยายามอย่างหนักเพื่อเค้นรอยยิ้มอ่อนจางบนใบหน้าแข็งทื่อ แต่ถึงอย่างนั้นป๋ายเสี่ยวเฟยก็ราวกับได้เห็นบุปผานับร้อยเบ่งบานในทันใด
“มีอันใดให้ขอบคุณ? หากเจ้าชอบ ข้าจะป้อนเจ้าเมื่อใดที่ก็ตามที่เจ้าอยาก”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเอ่ยก่อนจะตบหน้าตัวเอง
“ปากไร้มงคล ปากไร้มงคล! เจ้าจะต้องแข็งแรงและไม่ต้องกินยาพวกนี้อีก อย่ากังวล”
หลินหลีอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มอีกครั้งเมื่อเห็นท่าทางน่าขันของป๋ายเสี่ยวเฟย แต่ครั้งนี้เป็นรอยยิ้มที่แจ่มใสกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย
ป๋ายเสี่ยวเฟยป้อน หลินหลีกิน นางไม่เพียงไม่บ่นว่ายาขมแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับเผยรอยยิ้มที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่อาจทำความเข้าใจได้ตลอดเวลา
ในอีกด้าน เฟ่ยโก่วและฉู่กานตั้งใจจะสอบสวนป๋ายเสี่ยวเฟยเกี่ยวกับตัวตนของเขา แต่ทั้งคู่ไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากเช่นใดดีเมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้
ท้ายที่สุดพวกเขาไม่อาจอดทนต่อความทรมานนี้ได้อีก พวกเขาเดินออกจากห้องไป
“หมาอ้วน ศิษย์น้องคนนั้นเรียกเขาว่าป๋ายเสี่ยวเฟยมิผิดใช่หรือไม่?”
ฉู่กานอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ความตื่นเต้นมีให้เห็นทั่วใบหน้า
สั่งสอนป๋ายเสี่ยวเฟยหนึ่งคราได้รางวัลหินชิงหลัวห้าก้อน สิบคราเท่ากับห้าสิบก้อน ต่อให้แบ่งครึ่งก็ยังเป็นจำนวนที่มากสำหรับพวกเขาอยู่ดี
“แน่นอน! เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขาจงใจบ่ายเบี่ยงหลบหน้าพวกเรา!?”
นัยน์ตาของเฟ่ยโก่วเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาได้เริ่มคิดว่าจะจัดการป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างไรดี
“แต่หากเขามีความสัมพันธ์กับฉินหลิงหยานขึ้นมาจริงๆ ...”
ฉู่กานยังคงเป็นกังวลอยู่ลึกๆ เขาไม่เกรงกลัวป๋ายเสี่ยวเฟยแม้แต่น้อย แต่กับฉินหลิงหยานนั้นเป็นอีกเรื่อง
“เจ้าหวาดกลัวอันใด? ถึงแม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์กันจริง สิ่งที่พวกเราเห็นเมื่อครู่ก็เพียงพอให้พวกเขาต้องแยกทางกันแล้ว บางทีรางวัลของพวกเราอาจจะมากกว่าเดิมก็เป็นได้!”
เฟ่ยโก่วรีบโน้มน้าวฉู่กานด้วยข้อเท็จจริงทันที
และทั้งคู่ก็ได้รออย่างใจจดใจจ่อให้เหยื่อของพวกเขามาติดกับ...
เวลาผ่านไปอย่างแช่มช้า ฉู่กานแนบหูฟังอยู่นานแต่กลับไม่ได้ยินเสียงอันใดแม้แต่น้อย และป๋ายเสี่ยวเฟยกับหลินหลีไม่มีทีท่าว่าจะออกมา
“เป็นเช่นใด?”
เฟ่ยโก่วถามเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวว่าป๋ายเสี่ยวเฟยจะรู้ตัว
“ไม่มีเสียง! พวกเขาหลับไปแล้วหรือไม่?”
เมื่อฉู่กานเอ่ยจบก็เป็นเฟ่ยโก่วที่ตบศีรษะเขาพลางมองฉู่กานราวกับเป็นไอ้หน้าโง่ตัวหนึ่ง
“หลับมารดาเจ้าสิ! เจ้าคิดว่าทุกคนโง่เขลาเหมือนเจ้าหรือไร!? เข้าไป!”
เฟ่ยโก่วผลักประตูเข้าไปขณะที่เขาตะโกนลั่น แต่ก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น
ทั้งห้องว่างเปล่าไร้ร่องรอยผู้คนตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ หน้าต่างบานหนึ่งภายในห้องปลิวขึ้นลงจากลมหนาวเหน็บ
“บัดซบ! เจ้าเด็กนั่นจงใจ! พวกเราโดนหลอก!”
ฉู่กานร้องเสียงหลง เขาเป็นพวกประเภทที่จะฉลาดขึ้นเมื่อมีสิ่งใดเกิดกับตัวและ ‘สิ่งที่เขาเตรียม’ ก็ได้กลายเป็นไร้ประโยชน์ด้วยเหตุนี้...
“ตามไป! พวกเขายังไปได้ไม่ไกลนัก!”
เฟ่ยโก่วส่งสัญญาณด้วยมือขณะกล่าว ฉับพลันนั้นหุ่นเชิดรูปร่างคล้ายหนูผุดขึ้นมาจากแสงสีน้ำเงินอ่อนทรงกลม มันดมกลิ่นภายในห้องเพียงชั่วครู่ก่อนจะกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
มิติหุ่นเชิดเป็นมิติพิเศษที่นักเชิดหุ่นคนใดก็ตามที่ถึงระดับสูงสามารถเปิดออกด้วยปราณกำเนิดของพวกเขา
หุ่นเชิดหนูของเฟ่ยโก่วเดิมทีมีไว้เพื่อตรวจหาทรัพยากรสำหรับปรุงยา แต่มันก็มีประสิทธิภาพในการตามหาคนเช่นกัน
ทั้งคู่วิ่งไล่ตามหลังหุ่นเชิดหนูด้วยความเร็วที่ขัดกับร่างกายตัวเอง อย่างน้อยทั้งป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีก็อ่อนด้อยกว่ามันแน่นอน
ในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที พวกเขาสามารถมองเห็นป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีวิ่งอยู่ข้างหน้า
“หยุดก่อนป๋ายเสี่ยวเฟย! พวกเราไม่มีเจตนาร้าย!”
หลังจากตะโกนสิ่งที่เขาเองก็ไม่เชื่อ ฉู่กานเรียกขานหุ่นเชิดของเขา ศรโปร่งแสง
ส่วนใหญ่แล้วหุ่นเชิดตัวแรกของนักปรุงโอสถจะเป็นกระถางยาเพราะหุ่นเชิดที่เชื่อมโยงต่อจิตใจของนักเชิดหุ่นส่งผลต่ออัตราสำเร็จในการปรุงยา สำหรับหุ่นเชิดตัวต่อๆ ไป นักปรุงโอสถจะเลือกหุ่นเชิดประเภทต่อสู้เพื่อปกป้องตนเอง
ฉู่กานเป็นนักปรุงโอสถทั่วไปที่ปฏิบัติตามความเชื่อของคนส่วนมาก และศรโปร่งแสงเป็นอาวุธที่ช่วยปกป้องชีวิตของเขา หุ่นเชิดระดับเหลือง ศรตัดวายุ!
“อย่าโจมตีโดนจุดสำคัญ พวกเราไม่อาจรับผิดชอบไหวหากเขาตาย”
เฟ่ยโก่วตักเตือนฉู่กาน
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้โง่”
ฉู่กานกล่าวพลางส่งปราณกำเนิดเข้าไปยังศรตัดวายุ ไม่นานหลังจากนั้นศรโปร่งแสงพุ่งตรงไปยังเข่าของป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างรวดเร็วรุนแรง
แต่ในวินาทีที่ทั้งสองคิดว่าศรนั้นจะต้องจู่โจมสำเร็จก็พลันมีร่างหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า แสงสีม่วงอ่อนหยุดยั้งศรวายุด้วยความแม่นยำ
“ประเสริฐยิ่งนัก! ดูเหมือนว่าข้าจะอบรมพวกเจ้าทั้งสองไม่เพียงพอ!”
ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสวี่ยอิ่งในชุดคลุมสีขาวของอาจารย์!
และแสงสีม่วงอ่อนที่หยุดยั้งศรวายุคือหนึ่งในหุ่นเชิดรูปร่างมีดของเสวี่ยอิ่ง หุ่นเชิดระดับม่วง ฝูเหยา! (ลมกรด)
เมื่อพวกเขาเห็นหน้าของผู้มาเยือน ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บตรงสันหลังทันที ความคิดเดียวของพวกเขาคือการหลบหนี
แต่การหลบหนีจากเสวี่ยอิ่ง นักเชิดหุ่นระดับปรมาจารย์นั้นพูดง่ายทำยาก!
เสวี่ยอิ่งกำหมัดเล็กน้อยขณะเดินเนิบนาบไปทางฉู่กานและเฟ่ยโก่ว ทั้งคู่ตัวสั่นเทิ้มจากหัวจรดเท้าและเสียงที่เสวี่ยอิ่งหักกำปั้นทำพวกเขาหวาดกลัวถึงขั้นนั่งตัวยองมือกุมศีรษะอ้อนวอนเมตตา
“อาจารย์ ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“อาจารย์ ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“เป็นเพียงความเข้าใจผิดเท่านั้น! พวกเราและน้องป๋าย...”
เฟ่ยโก่วไม่ทันเอ่ยจบก็พลันถูกวายุบ้าระห่ำจู่โจมเข้าที่ใบหน้า ในวินาทีต่อมาเสวี่ยอิ่งกวาดขาถีบเฟ่ยโก่วส่งเขากระเด็นไปไกลเกือบห้าเมตร
“ข้าได้ยินไม่ชัดนัก เจ้าเรียกข้าว่ากระไร?”
เสวี่ยอิ่งเอ่ยเสียงเย็นเยียบขณะมองไปยังฉู่กานที่ยังนิ่งยองอยู่บนพื้นก่อนจะเหยียบลงไปบนตัวเขาจนกระทั่งฉู่กานนอนราบพื้นดิน เป็นเวลาเดียวกับที่เสวี่ยอิ่งลืมว่ามีกฎห้ามอาจารย์ทำร้ายลูกศิษย์!