ตอนที่ 33 : เติ้งชิวฉาน
ตอนที่ 33 : เติ้งชิวฉาน
"สาวน้อย อย่าคิดมาโกหกข้าเลย เติ้งชิวฉานจะมาที่นี่ได้ยังไง ?" อู่โม่ส่ายหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะโดนอู่ซินซินหลอกมาหลายครั้งแล้ว ตอนนี้เขาจึงมีภูมิคุ้มกัน ทว่าจิตใต้สำนึกก็สั่งให้เขาหันไปมองตามทิศทางที่อู่ซินซินชี้ ทันใดนั้นเขาก็พึมพำออกมาว่า "มัน....มันเป็นนางจริงๆด้วย..."
ที่หน้าประตูสำนักคังเฉียง มีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น นางมีใบหน้าที่งดงาม ผมยาวสลวยสีดำดั่งขนกาถูกมัดอย่างลวกๆด้วยไหมสีเขียว นางไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป เพราะนางสวมเกราะหนา และยังเหน็บมีดไว้ที่เอวของนางด้วย ภาพลักษณ์นี้ไม่เหมาะกับหน้าตาของนางเลย
ด้านหลังของนางนั้นมีชายฉกรรจ์หลายคนยืนอยู่ แต่ละคนล้วนมีการบ่มเพาะที่ไม่เลว และยังแสดงความเป็นปรปักษ์ออกมา
" พี่ชิวฉาน!" อู่ซินซินวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
อู่โม่มองไปที่นางด้วยสีหน้าซับซ้อน อารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในใจก็เหมือนกับถูกกระตุ้นขึ้นมาจนเดือดพล่าน ดวงตาของเขาแสดงความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ออกมา ขณะพึมพำเบาๆว่า " เติ้งชิวฉาน !"
เติ้งชิวฉานเป็นหลานสาวคนโตของเติ้งเป่ยเซียว ผู้นำตระกูลเติ้ง และยังเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะชั้นแนวหน้าของเมืองทะเลทรายเหมือนกับอู่โม่
หากอู่โม่เป็นต้นแบบของผู้ชายส่วนใหญ่ในเมือง งั้นเติ้งชิวฉานก็เป็นต้นแบบของสตรีนับไม่ถ้วนเช่นกัน แม้นางจะอายุยังน้อย แต่ก็มีการบ่มเพาะขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 6 สูงสุด นอกจากนี้ยังได้รับหน้าที่ดูแลธุรกิจของตระกูลเติ้งเมื่อหลายปีก่อนด้วย การค้าที่ฟู่เฉิงแทบทุกเดือน นางต้องขนส่งสินค้าไปด้วยตัวเอง
อาจจะพูดได้ว่า ผู้นำตระกูลเติ้งค่อยๆมอบอำนาจให้กับนาง นอกจากเรื่องใหญ่ๆไม่กี่เรื่อง เรื่องอื่นๆส่วนมากจะมีนางคอยตัดสิน
มันไม่เกินไปเลยที่จะบอกว่านางนั้นเป็นรองแค่ เติ้งเป่ยเซียว !
หลายปีที่ผ่านมานี้ นางมีประสบการณ์ในการต่อสู้มานับไม่ถ้วน ถูกอบรมเลี้ยงดูอย่างหนักจนโดดเด่นเหนือใคร นางแข็งแกร่งกว่าศิษย์ในสำนักต่างๆที่ถูกเลี้ยงอยู่ในเรือนกระจกหลายพันเท่า ในบางมุม อาจจะมองว่านางนั้นโดดเด่นที่สุดในบรรดาอัจฉริยะทั้ง 3 คน บางทีอาจจะโดดเด่นกว่าอู่โม่ด้วยซ้ำ และยังได้รับการชื่นชมจากทุกคน!
เติ้งชิวฉานยิ้มออกมาและลูบหัวอู่ซินซินเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า "ซินซิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เจ้าสูงขึ้นเยอะเลย" เด็กสาววัย 15 ปีรู้สึกดีใจขึ้นมา
"น่าเกลียดที่สุดเลยยย พี่ชิวฉาน ข้าโตแล้วนะ อย่ามาลูบหัวข้าเหมือนเป็นเด็กน้อยแบบนี้สิ" อู่ซินซินบุ้ยปากอย่างน่ารัก
เติ้งชิวฉานหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็หันมามองอู่โม่ที่ยืนทำสีหน้าซับซ้อนอยู่ไกลๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา " อู่โม่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
อู่โม่กลับมาได้สติ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและพยักหน้า "ใช่ มันก็นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน เจ้าเป็นยังไงบ้าง?"
"ก็ดีนะ แต่เจ้าพูดแค่นี้เหรอ?" จิตใต้สำนึกของเติ้งชิวฉานสั่งให้ซ่อนมือขวาไว้ด้านหลัง แล้วยิ้มออกมา "ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงแล้วรึ ? ทำไมล่ะ เจ้ารู้ไหมว่าเหมาฉางเทียนได้เป็นหัวหน้าศิษย์แล้ว เจ้าหมอนั่นนะเที่ยวอวดเบ่งบารมีของตัวเองกับศิษย์คนอื่นๆ ในความเห็นของข้า เจ้าไม่รู้สึกว่ามันน่าขัดตาหน่อยเหรอ?"
เหมาฉางเทียนคือคุณชายตระกูลเหมา และยังเป็นหัวหน้าศิษย์สำนักเฉินกวง อัจฉริยะคนที่สามของเมืองทะเลทราย
ในหมู่ศิษย์สำนักคังเฉียงในตอนนี้ มีคนหนึ่งที่มาจากตระกูลเหมาเช่นกัน นั่นก็คือเหมาฉางเฟิง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเหมาฉางเทียน!
แต่ทว่า ความสัมพันธ์ระหว่างลูกพี่ลูกน้องคู่นี้กลับไม่ดีเท่าไหร่นัก มันไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าเลย
ถ้าเหมาฉางเทียนนั้นเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นและมีค่าในตระกูล งั้นเหมาฉางเฟิงก็เป็นได้แค่ขยะและตัวตลก คนในตระกูลเหมาไม่ได้สนใจเขา และแทบจะลืมไปว่าในตระกูลเหมานั้นมีคุณชายคนนี้อยู่ด้วย
"เหมาฉางเทียน? อย่าเอาข้าไปเทียบกับเขา" แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะของเมืองทะเลทราย เช่นเดียวกับเติ้งชิวฉานและอู่โม่ แต่ในใจของอู่โม่นั้น กลับไม่เห็นเหมาฉางเทียนอยู่ในสายตา ในความคิดของเขา เจ้าหมอนั่นนอกจากจะทำตัวอวดเบ่งใส่คนอื่นแล้ว ก็ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง
อู่โม่ส่ายหน้าและพูดขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า "สำหรับเหตุผลที่ข้าเข้าร่วมกับสำนักคังเฉียงนั้น เจ้าจะเข้าใจเองในภายหลัง ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่า สำนักคังเฉียงนั้นเป็นสำนักที่ยอดเยี่ยมและเจ้าสำนักเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน การได้เป็นลูกศิษย์ของสำนักคังเฉียง นับว่าเป็นเกียรติสำหรับข้า" ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า จางหยูเคยประกาศไว้ว่านับจากนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่รับศิษย์ที่มาจากตระกูลเติ้ง, ตระกูลสวี่และตระกูลฮั้ว ในใจจึงอดเสียดายแทนเติ้งชิวฉานไม่ได้
เมื่อได้ยินแบบนั้น เติ้งชิวฉานก็คิ้วกระตุก ก่อนจะส่ายหน้า "ยอดเยี่ยม? อู่โม่ เจ้าควรระวังกับการพูดเช่นนี้ !"
สำนักคังเฉียงไม่คู่ควรกับคำว่า "ยอดเยี่ยม" ส่วนจางหยูยิ่งไม่คู่ควรกับคำว่า "ยอดเยี่ยม"เช่นกัน
นางนั้นแตกต่างจากอู่โม่ เนื่องจากเติ้งชิวฉานเดินทางไปที่เมืองฟู่เฉิงบ่อยๆ ดังนั้นจึงมีโอกาสได้พบเห็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมากมาย รวมไปถึงอัจฉริยะนับไม่ถ้วน ดังนั้นมุมมองของนางจึงได้ยกระดับขึ้นมา เป็นธรรมดาที่นางจะไม่คิดว่าจะมีสำนักดีๆอยู่ในเมืองทะเลทรายแห่งนี้
"ในฐานะเพื่อน ข้าแนะนำว่าหากเจ้ามีโอกาส เจ้าควรจะออกไปท่องโลกกว้างซะบ้าง ตราบเท่าที่เจ้าได้เห็นโลกภายนอก เจ้าจะเข้าใจว่าท้องฟ้านั้นสูงกว่าที่เจ้าคิดไว้ อย่าจำกัดตัวเองในดินแดนอันห่างไกลเช่นนี้" เติ้งชิวฉานแนะนำอย่างจริงใจ "บางที ในสายตาของพวกเจ้า ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9 คือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ความจริงแล้วแล้ว นักสู้ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9 ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากมดปลวก ที่สามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย"
อู่ซินซินที่นิ่งเงียบอยู่นาน ก็อดเถียงขึ้นมาไม่ได้ว่า "ไม่ใช่นะ พี่เจ้าสำนักนะไม่ใช่นักสู้ขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9 ! ท่านพ่อเคยบอกว่า...."
" ซินซิน เงียบ!" อู่โม่รีบพูดขัดอู่ซินซิน
"แต่....แต่พวกเขาพูดไม่ถูกนี่!" อู่ซินซินเม้มปากอย่างขัดใจ นางทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นมาด่าสำนักคังเฉียง และทนไม่ได้ที่คนอื่นจะมาดูหมิ่นจางหยู
เมื่อเห็นท่าทีของพี่น้องตระกูลอู่ เติ้งชิวฉานก็พูดอย่างแปลกใจ "เป็นไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าระดับการบ่มเพาะของจางหยู อยู่เหนือกว่าขอบเขตฉีซวนขั้นที่ 9?" เรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางมาก แต่นางก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก "บางทีข้าอาจจะประเมินเขาต่ำไป แต่ถึงจะเป็นนักสู้ระดับว่อซวนแล้วยังไงล่ะ? ขอบเขตว่อซวนแบ่งออกเป็น 3 6 9 ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นนักสู้ขอบเขตว่อซวนระดับสูง!"
นางเคยเห็นนักสู้ขอบเขตว่อซวนระดับสูงต่อสู้กับนักสู้ขอบเขตว่อซวนระดับต่ำ นักสู้ว่อซวนระดับสูงสามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายเหมือนบี้มด เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถสังหารนักสู้ว่อซวนระดับต่ำได้แล้ว การต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้นางคงไม่สามารถลืมเลือนมันได้
"เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะ แต่ข้าก็ขอบคุณในความหวังดีของเจ้า" อู่โม่สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกดอารมณ์ที่ฟุ้งซ่านลง
จากมุมมองของเติ้งชิวฉานนั้น สิ่งที่นางพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร ในฐานะเพื่อน นางหวังดีกับอู่โม่จากใจจริงๆ
แต่นางไม่รู้เลยว่า ความจริงของเรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายแบบที่นางคิด!
อู่โม่ถอนหายใจออกมา และคิดในใจว่า "สำนักคังเฉียงเป็นสำนักแบบไหน เจ้าสำนักเป็นคนแบบไหน? ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้า! เติ้งชิวฉานเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้ามีมุมมองที่ต่ำลงหรอก แต่เป็นเจ้าที่ไม่รู้อะไรเลย...."
"ทักษะจี๋อู่" เป็นทักษะที่น่าอัศจรรย์มาก และเคล็ดวิชา "ฟัน" ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยมมาก คนทั่วไปล้วนไม่รู้จักมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรียนรู้มันเลย มีเพียงแค่อยู่ในสำนักคังเฉียงเท่านั้น เขาถึงสามารถเรียนรู้ทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นได้ นอกจากนี้อย่าว่าแต่เมืองฟู่เฉิงเลย ต่อให้เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์โจว ก็ไม่มีเคล็ดวิชาและทักษะที่น่าอัศจรรย์นี่หรอก ถอยกลับมาหนึ่งก้าวเพื่อก้าวออกไปอีกหมื่นก้าว แม้ว่าภายนอกมันจะดูเหมือนทักษะและเคล็ดวิชาทั่วไป แต่ถ้าอยากเรียนรู้มัน ก็ต้องจ่ายในราคาที่สูงทะยานฟ้า
สำหรับจางหยู .... อู่โม่อาจไม่รู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของจางหยู แต่เขาก็มั่นใจว่า อย่างน้อยๆจางหยูก็เป็นนักปรุงยา 2 ดาว!
นักปรุงยา 2 ดาว หากมองไปทั่วทั้งราชวงศ์โจวแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นตัวตนที่หายาก แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่อาจจะมองข้ามคนแบบนี้ได้
นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของอู่โม่ ในความเป็นจริงนั้น บางทีจางหยูอาจจะร้ายกาจกว่าที่เขาคิดไว้ก็ได้.....
"ไม่ต้องพูดถึงเจ้าสำนักที่เป็นนักปรุงยาที่คาดเดาไม่ได้เลย กระทั่งข้า หากว่าข้าประกาศตัวออกไปว่าเป็นนักปรุงยา 1 ดาว เกรงว่าทั่วทั้งเมืองทะเลทราย คงแห่กันมาประจบเอาใจข้ากันแทบไม่ทัน" อู่โม่คิดในใจอย่างเงียบๆ
เพียงแต่ว่าเขาไม่คิดที่จะเถียงกับเติ้งชิวฉาน และไม่อยากที่จะเปิดเผยเรื่องราวเของสำนักคังเฉียงและจางหยูเท่านั้น
เขารู้สึกว่าตอนนี้เติ้งชิวฉานยิ่งดูแปลกหน้าสำหรับเขามากขึ้นเรื่อยๆ เติ้งชิวฉานในความทรงจำของเขา เหมือนเปลี่ยนแปลงไปมาก การเปลี่ยนแปลงนี้พูดไม่ได้ว่าดีขึ้นหรือแย่ลง แต่เติ้งชิวฉานที่เป็นแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัด แม้แต่ความรู้สึกลึกซึ้งในจิตใจ ก็ยังพลอยลดน้อยลงไปบางส่วน
"เจ้าเหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีผิด ดื้อด้านและดันทุรัง" เติ้งชิวฉานมองอู่โม่อยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้นว่า "ความจริงแล้ว ข้ายังมองว่าเจ้าเป็นเพื่อนข้า ข้าแค่อยากจะบอกว่า..."
ใช่แล้ว ข้ายังคงเป็นเหมือนเดิม แต่เจ้าต่างหากที่เปลี่ยนไป !
อู่โม่ถอนหายใจออกมาและพยักหน้าอย่างจริงจัง "ข้าเข้าใจว่าเจ้าหวังดีกับข้า! แต่ทุกคนก็มีทางเลือกและเป้าหมายเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ?" พูดถึงตรงนี้ อู่โม่ก็ยิ้มเยาะตัวเองออกมา "คนที่ไม่มีความทะเยอทะยาน และไร้ซึ่งเป้าหมาย...." เมื่อไม่นานมานี้ จางหยูเคยพูดประโยคนี้ใส่เขา และตอนนี้เขากลับนำมันมาพูดเยาะเย้ยตัวเอง
สุดท้ายแล้ว ใครจะไปรู้ว่าทางเลือกที่ตนเองเลือกมานั้นมันถูกหรือผิด?
เติ้งชิวฉานจ้องมองอู่โม่อย่างผิดหวัง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขื่นขมแล้วพูดว่า "บางทีเจ้าอาจจะพูดถูก ทุกคนต่างมีเป้าหมายเป็นของตัวเอง และข้าก็ไม่ใช่เจ้า ข้าไม่มีสิทธิไปยุ่งกับทางเลือกของเจ้า"
วินาทีนั้น อู่โม่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไม่พูดมันออกมา และหัวเราะแห้งๆออกมา " ใช่ ....ใช่แล้ว"
หลังจากที่เงียบไปสักพัก อู่โม่ก็เปลี่ยนเรื่องและพูดขึ้นมาว่า "จริงสิ เจ้ากลับมาตอนไหนกัน? แล้วทำไมถึงมาที่สำนักคังเฉียงล่ะ?" ในความคิดเขาแล้ว เติ้งชิวฉานนั้นงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยๆในหนึ่งปี ก็มีแปดเดือนที่นางต้องเดินทางไปๆกลับๆระหว่างเมืองทะเลทรายและเมืองฟู่เฉิง ถึงแม้ว่านางจะกลับมาที่เมืองทะเลทราย แต่นางก็อยู่ไม่นานนัก มากที่สุดก็แค่วันสองวัน ก่อนจะออกเดินทางไกลอีกครั้ง
"หากเจ้าไม่พูดข้าก็เกือบลืมไปเลย ข้ามาที่นี่เพื่อคืนตำราของสำนักคังเฉียง" เติ้งชิวฉานกลับมามีท่าทีที่สงบอีกครั้ง พร้อมกับชี้ไปที่กล่องด้านหลัง "แม้ว่าตระกูลเติ้งจะโดนผู้อื่นบังคับแต่อะไรที่ผิดก็คือผิด พวกเราควรคืนสิ่งที่ปล้นมาและควรที่จะขอโทษ พวกเขาจะขอโทษอย่างจริงใจ อีกอย่างพวกเราได้นำของขวัญมาให้ด้วย !"