ตอนที่ 32 หมาอ้วนกับไม้ไผ่
“ข้าอยากไปแต่ข้าไม่อาจปล่อยนางไว้ได้ ใช่หรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยมีสีหน้าขมขื่นเนื่องเพราะสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกตรงหน้า ถ้าพูดตามทฤษฏีแล้วการมีสาวงามในอ้อมแขนควรจะเป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจรู้สึกเช่นนั้นได้เมื่อมีเสวี่ยอิ่งอยู่ด้วย
“เช่นนั้นก็ตามข้าไปศาลายา เป็นงานที่น่ารื่นรมย์ไม่น้อย เจ้าคงไม่อยากปฏิเสธใช่หรือไม่?”
เสวี่ยอิ่งพูดพลางหัวเราะ
“จะรื่นรมย์กว่านี้หากท่านไม่มาด้วย...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยบ่นพึมพำขณะแบกหลินหลีไว้ที่หลัง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอุ้มหลินหลีในอ้อมกอดราวเจ้าหญิงแต่เป็นเพราะร่างไร้พลังของหลินหลีอ่อนยวบไม่ต่างอะไรไปจากตุ๊กตาที่ทำจากผ้า
“ไปเถอะ!”
เสวี่ยอิ่งมีสีหน้าตื่นเต้นที่มาจากไหนไม่ทราบพลางเดินนำทาง ไม่สนใจใบหน้าขมขื่นข้างหลัง
ไม่นานนักป๋ายเสี่ยวเฟยก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
“พี่หญิงเสวี่ย ท่านรู้แน่หรือว่าศาลายาอยู่ที่ใด?”
ถึงแม้เขาจะถามแต่น้ำเสียงไม่ใช่สงสัยหากแต่เป็นเคลือบแคลง การตอบสนองของเสวี่ยอิ่งเป็นดังที่เขาคาดด้วยใบหน้าแดงก่ำของนาง
“ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร!? ถึงข้าจะไม่เคยไปมาก่อน แต่ในคู่มือของสถาบันบอกไว้ว่าศาลายาอยู่ในบริเวณเตาหลอมกฤษณา แค่เดินไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะไปถึง!”
เสวี่ยอิ่งหันกลับมาขึงตาจ้องป๋ายเสี่ยวเฟย สายตาของนางบ่งบอกสิ่งที่อยากพูด ‘ข้าจะสังหารเจ้าหากเจ้าพูดมากไปกว่านี้’
“พี่หญิงเสวี่ย ข้าสามารถเดินรอบสถาบันไปกับท่านได้ แต่ท่านจำเป็นต้องคำนึงถึงหลินหลีด้วย หากเราเดินหาโดยไม่รู้จุดหมายนางอาจจะตื่นก่อนก็เป็นได้...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยใช้ไพ่ตายโดยไม่ลังเล เป็นการตัดสินใจที่ได้ผลตอบแทนโดยทันที
หลังจากนางขบริมฝีปากจ้องมองป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นเวลานาน เสวี่ยอิ่งยอมถอยให้ป๋ายเสี่ยวเฟย
“ก็ได้ ข้าจะไปถามทาง!”
เสวี่ยอิ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวเฟยและหลินหลีอยู่ตามลำพัง
ตอนนี้เป็นเวลาสำหรับคาบเที่ยงทำให้ไม่มีใครมากนัก โชคดีที่ความเร็วของเสวี่ยอิ่งสูงพอเป็นเหตุให้นางไม่ต้องใช้เวลานานในการหาใครสักคน แต่...
“อ๊า!! พี่หญิงใหญ่! พี่หญิงใหญ่! ข้าผิดไปแล้ว!!!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยได้ยินเสียงร้องโหยหวนสองเสียงขณะที่เขากำลังรอ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะแบกหลินหลีไว้บนหลังแล้วรีบวิ่งไปหาเสียงนั้นทันที
ไม่นานป๋ายเสี่ยวเฟยก็ได้ยืนยันสิ่งที่ตนคาดคิด
“เจ้าเรียกใครพี่หญิงใหญ่!? ข้าแก่ขนาดนั้นหรือไร!!!??”
เสียงปะทะของหมัดและเท้า ‘กระทบ’ ใส่ร่างกายดังไม่หยุด และศิษย์ปีสองสองคนถูกอัดเสียจนลงไปนอนขดตัวอยู่บนพื้น
“พอก่อน พี่หญิงเสวี่ย หากท่านอัดพวกเขาต่อไป พวกเขามีหวังตายแน่!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยก้าวขายาวๆ เข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วขณะแบกหลินหลีไว้บนหลังเพื่อช่วยชีวิตสองศิษย์พี่จากภัยพิบัติ
“ข้าวานให้ท่านไปถามทางเฉยๆ มิใช่หรือ? เหตุใดถึง...”
ป๋ายเสี่ยวเฟยพูดไม่ออกเมื่อเขาเห็นสภาพน่าสงสารของทั้งสองศิษย์พี่บนพื้น
“ไอ้เด็กน้อยสองตัวนี้กล้าเกี้ยวพาราสีข้า เจ้าไม่คิดหรือว่ามันสมควรถูกอัด!?”
เสวี่ยอิ่งที่สั่นระริกด้วยความโกรธดูไม่ต่างจากเด็กเล็ก อย่างน้อยนางก็ไม่ได้เผยให้เห็นกลิ่นอายอหังการอย่างตอนที่นางอยู่ในห้องเรียน
“การที่พวกเขาเกี้ยวพาราสีท่านได้เป็นสิ่งที่ดี!”
คำพูดของป๋ายเสี่ยวเฟยทำเอาทุกคนตกตะลึง กำปั้นของเสวี่ยอิ่งยกขึ้นมาเมื่อเขาเริ่มเปิดปากพูด แต่ก่อนที่นางจะได้เหวี่ยงหมัดนั้น ป๋ายเสี่ยวเฟยก็ได้เปลี่ยนใจนางด้วยประโยคหนึ่ง
“เป็นเพราะว่าพี่หญิงเสวี่ยดูเยาว์วัยราวกับศิษย์น้องหญิงทำให้ศิษย์พี่พวกนี้กล้าเกี้ยวพาราสีท่าน มิเช่นนั้นพวกเขามีหรือจะหาญกล้าทำกิริยาสามหาวกับอาจารย์?”
พายุคลั่งพลันสงบลง แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยยังคงสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลผ่านหน้าของเขา
การเป็นคนใกล้ชิดของกษัตริย์ไม่ต่างอะไรไปจากการอยู่ถ้ำเดียวกับเสือ ป๋ายเสี่ยวเฟยพลันเข้าใจความรู้สึกของพวกโม่ข่าขึ้นมาทันใด
“ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าจัดการที่เหลือ ส่วนข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเด็กน้อยโฉดเขลาทำข้าไม่สบอารมณ์อีก”
เสวี่ยอิ่งผู้สวมใส่ชุดดำรัดแน่นกล่าวพลางวิ่งหายไปอย่างรวดเร็วราวกับหมอกควัน นางลืมเรื่องหลินหลีที่อยู่บนหลังป๋ายเสี่ยวเฟยไปเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ...ศิษย์พี่ ข้าขออภัย อาจารย์ประจำห้องของข้าเป็นเช่นนั้นและนางก็ใส่ใจเรื่องอายุมาก”
หลังจากเสวี่ยอิ่งจากไป ป๋ายเสี่ยวเฟยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาขอโทษศิษย์พี่สองคนผู้โชคร้าย
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง พวกเราต้องขอบคุณเจ้าด้วยซ้ำ”
หนึ่งในศิษย์พี่ที่ฟื้นตัวกลับมาเล็กน้อยรีบลุกขึ้นมา ถึงแม้สุ้มเสียงของเขาจะบ่งบอกให้เห็นถึงความจริงใจ แต่ใครจะรู้ว่าสีหน้าเขาเป็นอย่างไรเนื่องด้วยถูกเสวี่ยอิ่งอัดจนเละ
หากไม่ใช่เพราะป๋ายเสี่ยวเฟย เขาอาจต้องสิ้นชีพในวันนี้ก็เป็นได้...
“เหตุใดพวกเรา... ไม่ไปศาลายาด้วยกัน?”
น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวเฟยแฝงร่องรอยการทาบทามโดยไม่ได้ถามถึงทิศทาง เพราะอย่างไรเสียจากสภาพของศิษย์พี่พวกนี้ พวกเขาจะไปที่ใดได้อีก?
“ดี ดี ดี!” ศิษย์พี่กล่าวพลางเตะสหายของเขา
“ลุกได้แล้วเจ้าหมาอ้วน นางจากไปแล้ว เจ้าไม่ต้องแกล้งตายอีกต่อไป”
ศิษย์พี่ที่ถูกเรียกว่าหมาอ้วนลุกขึ้นมาอย่างอยากลำบาก นัยน์ตาล่อกแล่กทั้งสองสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวังก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา
“บัดซบ เจ้าไม้ไผ่! ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าข้าชื่อ เฟ่ยโก่วไม่ใช่เฟ๋ยโก่ว!”
เฟ่ยโก่วบ่นทันทีที่เขาลุกขึ้น แต่ป๋ายเสี่ยวเฟยที่อยู่ด้านข้างหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
‘หมาขยะ...หมาอ้วน...
‘ไม่น่าฟังทั้งสองชื่อ...’
(เฟ๋ยโก่วแปลว่าหมาอ้วน)
(ชื่อของเฟ่ยโก่วออกเสียงเดียวกับเฟ่ยโก่วที่แปลว่าหมาขยะ)
“ก็ได้ ก็ได้ เฟ่ยโก่ว หมาขยะ หรือชื่อใดที่เจ้าชอบ รีบไปก่อนที่ศิษย์น้องจะหัวเราะเรา”
หลังจากตอบรับแบบง่ายๆ ศิษย์พี่ที่เรียกว่าไม้ไผ่หันมามองป๋ายเสี่ยวเฟย
“ไปเถิดศิษย์น้อง”
“อา ขอรับ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยรีบตอบกลับก่อนจะเปลี่ยนท่าทางของหลินหลีข้างหลังเล็กน้อยแล้วจึงเดินตามไม้ไผ่กับหมาขยะ
อาจเป็นเพราะไม้ไผ่กับหมาขยะอยากจะตอบแทน ‘การช่วยเหลือ’ ของป๋ายเสี่ยวเฟย พวกแนะนำป๋ายเสี่ยวเฟยตลอดทางไปยังศาลายาจนป๋ายเสี่ยวเฟยรู้สึกหัวชาหนึบเล็กน้อย
จากโครงสร้างของสถาบันอย่างง่ายๆ ไปถึงข่าวลือซุบซิบแปลกประหลาด ‘ความรู้’ กว้างขวางของพวกเขายิ่งใหญ่ราวมหาสมุทร...
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือพวกนี้ช่วยให้ป๋ายเสี่ยวเฟยเรียนรู้บ้างสิ่งสำคัญที่ป๋ายเย่ปล่อยปะละเลยไม่ได้บอกเขาในอดีต
แต่เมื่อเขาได้ยินหนึ่งในข่าวลือ สันหลังของป๋ายเสี่ยวเฟยเย็นเยียบขึ้นมาทันที
เพราะข่าวลือเกี่ยวข้องกับเขา!
ถ้าพูดให้ถูก มันไม่ใช่ข่าวลือ มันคือข้อเท็จจริงต่างหาก!
ด้วยความพยายามอย่างหนักของฉินหลิงหยาน ชื่อของป๋ายเสี่ยวเฟยได้พุ่งทะยานขึ้นไปอยู่ในระดับสูงของอันดับค่าหัวในสถาบันชิงหลัวหลังจากเรื่องราวความขัดแย้งของพวกเขาถูกเผยแพร่...
“เอ่อ... ศิษย์พี่ อันดับค่าหัวคือสิ่งใด?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง
เขารู้ว่าเหตุการณ์เมื่อคืนจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาอันใหญ่หลวง แต่เขาร้อยไม่คิดพันไม่คิดว่าผลนั้นจะใหญ่เกินที่เขาจะรับไหว...