ตอนที่ 30 คาบที่สอง !
ช่วงหยุดพักผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลาคาบเที่ยงความรู้สึกเหนื่อยล้าจากการวิ่งเมื่อครู่ยังไม่ทันได้จางหายไป
ตอนที่ทั้งสิบหกคนเห็นเสวี่ยอิ่งอีกครา ความหวาดกลัวที่ถูกตราตรึงไว้ในวิญญาณพลันพุ่งเข้าเติมเต็มหัวใจทันที
“อะไร? ทำหน้าอย่างกับไม่อยากเห็นข้างั้นแหละ”
เสวี่ยอิ่งเดินไปมาภายในห้อง พวกเขาทั้งหมดได้เลิกมองว่านางเป็นสาวงามใบหน้าดุจเทพเซียนเรียบร้อยแล้ว ในใจพวกเขาคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า
‘มารร้าย...’
“มานี่เสี่ยวเฟย บอกข้าสิว่าเจ้าอยากเห็นข้าหรือไม่?”
นัยน์ตาเสวี่ยอิ่งมีร่องรอยเย้ายวนใจขณะยื่นนิ้วไปยกคางป๋ายเสี่ยวเฟยขึ้น
ที่แตกต่างไปจากเดิมคือป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้กล้าหาญเหมือนเมื่อวาน เพราะเขาเชื่ออย่างสุดใจว่านางจะต้องใช้ตำแหน่งของนางจัดการกับเขาแน่!
“แน่นอนข้าอยาก พี่หญิงเสวี่ยท่านงดงามถึงเพียงนี้มีหรือที่ข้าจะไม่เก็บท่านไปฝันทุกค่ำคืน แน่นอนว่าหากท่านไม่ให้พวกเราไปที่สนามสี่เหลี่ยม ความรู้สึกนี้จะยิ่งลึกล้ำขึ้นไปอีก”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ลังเลแม้แต่น้อยในการยกยอปอปั้นเสวี่ยอิ่ง ถึงแม้เขาจะต้องทำผิดต่อกฎของตัวเขาเองก็ตาม
น่าเสียดายที่เสวี่ยอิ่งไม่คิดจะหลงกลเขา...
“ไม่ต้องห่วง การฝึกวิ่งรอบสนามจะเกิดขึ้นเพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น เมื่อเช้าเป็นครั้งของอาทิตย์นี้”
หลังจากเสวี่ยอิ่งพูดจบทุกคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวเยือกออกมา แต่คำพูดต่อไปของนางทำความรู้สึกของพวกเขากลับตาลปัตรทันที
“แต่ครั้งต่อไปจะมีเวลาจำกัด ข้าจึงหวังว่าพวกเจ้าจะฝึกปรือร่างกายตนเองในยามว่าง พวกเจ้าทั้งหมดรู้กฎของข้าอยู่แล้วและข้าจะไม่ฟังคำขอร้องเมตตาของพวกเจ้าอีก”
ในใจทุกคนเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อนางพูดจบ
“พี่หญิงเสวี่ย เวลาจำกัดหมายความว่า...”
สือเฉินอยู่ข้างหลังเสวี่ยอิ่งถามเสียงอ่อน นางได้ถึงขีดจำกัดแล้วในวันนี้หากต้องเพิ่มระดับความยากขึ้นไปอีก สภาพของนางคงไม่ต่างอะไรไปจากพวกต้วนอีอี...
“ยังคงเป็นห้ารอบเหมือนเดิม แต่พวกเจ้าต้องวิ่งให้เสร็จสามสิบนาทีก่อนที่คาบเรียนจะจบ ทุกๆ สิบนาทีที่พวกเจ้าใช้เวลาเพิ่มจะต้องวิ่งมากกว่าเดิมอีกหนึ่งรอบ!”
เมื่อนางกล่าวจบ ทุกคนล้วนรู้สึกอยากฆ่าตัวตายทันที ไม่ต้องพูดถึงพวกโม่ข่ากับต้วนอีอี
ป๋ายเสี่ยวเฟยตั้งจิตมั่นในใจ ‘ข้าจะต้องกินให้เยอะก่อนวันนั้น!’
‘คงจะดีถ้าหาคนมาเลี้ยงได้...’
“เอาล่ะเลิกคิดถึงมันได้แล้ว พวกเจ้าควรจะกังวลกับคาบเรียนต่อไปจะดีกว่า”
ทุกคนสังหรณ์ใจไม่ดีเมื่อเห็นรอยยิ้มของเสวี่ยอิ่ง
“พวกเจ้าตามข้ามา”
เสวี่ยอิ่งเดินนำออกจากห้องเรียนโดยไม่แม้แต่จะให้เวลาเหล่านักเรียนน่าสงสารเตรียมตัว
เมื่อเสวี่ยอิ่งจากไป พวกเขาทั้งหมดล้วนมีใบหน้าน่าเกลียดพลางมองกันไปมาก่อนจะลุกขึ้นยืน
เก้าอี้พวกนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน!!!
ในสถาบันชิงหลัวทุกห้องเรียนล้วนมีสถานที่ฝึกสำหรับห้องนั้นๆ อยู่ข้างนอก ถึงแม้ห้องคนเถื่อนจะไม่ถูกมองในแง่ดีและไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญนักก็ยังมีพื้นที่ตรงนี้ แม้จะเล็กกว่าที่อื่นไปหน่อย...
เสวี่ยอิ่งเดินไปยังตรงกลางลานฝึก นางกวาดตามองนักเรียนที่ยืนรอบกาย รอยยิ้มที่ยากจะอธิบายปรากฎขึ้นบนใบหน้าก่อนจะถอดผ้าคลุมที่เป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งนางในฐานะอาจารย์ออกเผยให้เห็นชุดดำรัดแน่นลำตัวที่แสดงให้เห็นถึงหุ่นของนางอย่างชัดถนัดตา
“มีเป้าหมายเดียวเท่านั้นสำหรับคาบเที่ยง เอาชนะข้า!”
เสวี่ยอิ่งกล่าวพลางกำหมัดแน่น ใบหน้าของนักเรียนห้องคนเถื่อนเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
แต่ในขณะเดียวกัน ความตื่นเต้นและคาดหวังก็พรุ่งพรูเข้าไปในใจ
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเสวี่ยอิ่งอยู่ระดับไหนและต่อให้นางเป็นปรมาจารย์ หลินหลีก็ยังเป็นอยู่ในระดับสูงและพวกเขามีคนตั้งเยอะ...
‘ความรู้สึกไม่เป็นธรรมตอนเช้า...’
ขณะที่พวกเขาถูกำปั้นเข้าด้วยกันอย่างตื่นเต้น เสวี่ยอิ่งเหมือนจะคาดเดาได้ว่านักเรียนทั้งสิบหกคิดอะไรอยู่ นางยิ้มจางพลางกล่าวอีกครั้ง
“นอกจากปราณกำเนิดแล้วพวกเจ้าไม่สามารถใช้สิ่งอื่นอย่างเช่นนักเชิดหุ่น แน่นอนว่ากฎนี้มีผลกับข้าด้วย และข้าจะกดระดับปราณกำเนิดไว้ที่ระดับเริ่มต้น”
ปราณกำเนิดสีเหลืองอ่อนพวยพุ่งออกมาปกคลุมมือนางไว้ และอย่างที่นางกล่าว ความผันผวนของปราณกำเนิดอยู่แค่ระดับกลางของขั้นเริ่มต้นเท่านั้น
“พวกเจ้ามีเวลาห้าวินาทีในการเตรียมตัว หลังจากนั้นข้าจะเริ่มเคลื่อนไหว!”
กฎข้อนี้ถีบส่งทุกคนลงไปยังหุบเหวไร้ก้นทันที เพราะหากพวกเขาเพียงแค่พึ่งพาปราณกำเนิดและพลังกาย ไม่มีใครนอกจากหวู่จื๋ที่สามารถทำอันตรายต่อเสวี่ยอิ่งได้...
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ในใจพวกเขากังวลมากเพียงใด เสียงนับของเสวี่ยอิ่งไม่หยุดลงแม้สักเสี้ยววินาที
“หนึ่ง!”
เสวี่ยอิ่งกระโจนไปข้างหน้าทันทีเมื่อกล่าวจบ ในขณะที่กลุ่มนักเรียนตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของนางก็ได้มีคนหนึ่งปลิวกระเด็นไปด้วยกำปั้นของนางเสียแล้ว
ป๋ายเสี่ยวเฟย...
และการใช้อำนาจในทางมิชอบที่ป๋ายเสี่ยวเฟยได้คาดคิดไว้ก็มาถึง...
แต่เสวี่ยอิ่งก็ยังถือได้ว่ายุติธรรม แม้ป๋ายเสี่ยวเฟยจะเป็นคนแรกแต่เขาไม่ใช่คนสุดท้าย ต่อจากเขาคือโม่ข่าและสือขุย
“หากพวกเจ้าไม่สู้กลับ พวกเจ้าได้กลายเป็นกระสอบทรายแน่!”
เสวี่ยอิ่งตักเตือนคนที่เหลือพลางกวาดตามองเป้าหมาย ครั้งนี้นางเลือกสือเฉิน!
ด้วยการมีพวกป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นตัวอย่าง ในที่สุดสือเฉินก็เข้าใจว่าเสวี่ยอิ่งไม่ได้ล้อเล่น ถึงแม้นางจะไม่ชำนาญมากนักแต่สือเฉินก็ยังโคจรปราณกำเนิดในร่างเพื่อเตรียมตัวรับมือเสวี่ยอิ่ง
อย่างไรเสียสือเฉินก็เป็นนักเชิดหุ่นระดับเริ่มต้นขั้นสูงสุด ในเรื่องปราณกำเนิดนางได้เปรียบเสวี่ยอิ่ง!
น่าตกใจที่เสวี่ยอิ่งไม่มีความตั้งใจจะต่อสู้กับสือเฉินซึ่งๆ หน้า หลังจากเสวี่ยอิ่งเข้าใกล้ นางพลันขยับตัวไปข้างกายสือเฉินโดยกวาดขาซ้ายเป็นครึ่งวงกลมเพื่อหลบหลีกการปะทะก่อนจะใช้ขาขวาที่ห่อหุ้มไปด้วยปราณกำเนิดเตะเข้าที่เอวคอดกิ่วของสือเฉินอย่างจัง
ในวินาทีต่อมาสือเฉินที่สูญเสียสมดุลล้มลงไปบนพื้นทันที เสวี่ยอิ่งราวกับไม่เข้าใจว่าต้องปฏิบัติกับสาวงามอย่างนุ่มนวล
การล้มลงของสือเฉินปลุกทุกคนให้ตื่นจากความมึนงง หากกล่าวให้ดีนี่คือการเรียน แต่ถ้าพูดกันตรงๆ แล้วอาจารย์ของพวกเขาจัดตั้งคาบเรียนเพื่ออัดพวกเขาชัดๆ
แถมวิธีที่จะหยุดยั้งไม่ให้ถูกอัดคือการเอาชนะเสวี่ยอิ่ง!
“หวังหาง หาโอกาสเคลื่อนไหวเมื่อนางจู่โจมข้า!”
ฟางเย่กล่าว หวังหางอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อได้ยิน เพราะในอดีตจะเป็นเขาต่างหากที่เป็นเหยื่อล่อ
แต่ถึงแม้หวังหางจะตะลึง การตอบสนองของเขาไม่ช้าแม้แต่น้อย เขาถอยหลังกลับเตรียมพร้อมซุ่มจู่โจมเสวี่ยอิ่ง
ในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจ ต้วนอีอีและศิษย์หญิงคนอื่นเป็นฝ่ายเปิดฉากจู่โจมเสวี่ยอิ่ง แน่นอนว่าผลลัพธ์มีเพียงลงไปนอนกับพื้นโดยที่ยังไม่ทันทำอะไร
ในหมู่ศิษย์หญิงทั้งหก มีเพียงหลินหลีที่ยังยืนอยู่!
และนางก็กลายมาเป็นเป้าหมายต่อไปของเสวี่ยอิ่ง!
เสวี่ยอิ่งยังคงใช้ลูกไม้เดิมๆ ท่วงท่าย่างเท้าที่ดูเหมือนจะแสนธรรมดาแต่กลับเต็มไปด้วยรูปแบบนับไม่ถ้วน
แต่ฉากที่ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงก็พลันปรากฎ!
ในเวลาเดียวกับที่เสวี่ยอิ่งเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหลินหลี หลินหลีได้ใช้ท่วงท่าที่แทบจะเหมือนกับของเสวี่ยอิ่งทุกประการ ใบหน้าแข็งทื่อของนางเปลี่ยนเป็นแหลมคมดุจมีดเต็มไปด้วยความจริงจัง
ในชั่วพริบตา ทั้งคู่เข้าสู่ระยะจู่โจมของกันและกัน!