บทที่ 265 - นายหนีไปจากนักบุญไม่ได้หรอก (5) [15-10-2020]
บทที่ 265 - นายหนีไปจากนักบุญไม่ได้หรอก (5)
”
ในตอนแรกฉันตกไม่รู้จะพูดอะไรออกไปแต่เมื่อฉันได้คิดเรื่องนี้การที่เธอครอบครองด้วยตามารอยู่มันเป็นเรื่องปกติเลย ใช่แล้วเธอได้ครอบครองคำสาปที่ทรงพลังที่ไม่สามารถจะใช้วิทยาศาสตร์หรือการแพทย์แก้ไขได้ และแม้แต่เวทย์รักษาระดับสูงก็ยังทำไม่ได้ มันจะน่าฉงนมากกว่านี้ซะอีกหากคำสาปนี้ไม่ได้มาจากดวงตามาร
"นี่เป็นคุณจริงๆหรอท่านฮีโร่?"
"ฉันบอกเธอตั้งหลายครั้งแล้วนะว่าฉันชื่อคังชิน"
"เป็นท่านฮีโร่จริงๆ...."
"แม้ว่าเธอจะได้ยินแล้วแต่เธอก็ไม่ฟังคำพูดขงอคนอื่นไม่เปลื่ยนเลยสินะ"
แม้ว่านี้จะเป็นครั้งแรกที่เธอพูดออกมานับตั้งแต่ทที่เธอเกิด แต่วิธีที่เธอขยับปากดูเป็ยธรรมชาติและลิ้นของเธอดูน่ากลัวนิดหน่อยเท่นั้น เธอดูเหมือนกับเจ้าหญิงที่เป็นอิสระจากคำสาปเหมือนตามนิยายจริงๆ
เรื่องการที่ว่าเธอครอบครองดวงตามารนับตั้งแต่ที่เธอเกิดมามันไม่ได้น่าสงสัยเลย ดวงตามรมีพลังอำนาจที่น่ากลัวเกินกว่าที่จะอยู่ในร่างกายของคนธรรมดาคนหนึ่ง แถมในอดีตเธอก็น่าจะมีมานาเพียงแค่เล็กน้อยในร่างเท่านั้น ร่างกายของเธอก็คงจะรู้ได้เลยว่ามันจะมีเพียงแค่ความตายที่รอคอยอยู่หากเธอเปิดตาขึ้นมาอย่างแน่นอน
นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอเปิดตาขึ้นมาไม่ได้ และเพราะแค่การมองเห็นคงยังไม่พอมันจึงทำให้ทั้งการได้ยินและเสียงของเธอก็ถูกพรากออกไปด้วย นี่มันไม่ใช่คำสาปแต่ว่าเป็นการพยายามที่จะลดภาระให้กับร่างของเธอ แน่นอนเลยว่าเธอไม่เคยจะรู้ตัวเลย
ฉันได้คิดที่จะอธิบายมันออกไปแต่แล้วก็ตัดสินใจจะหยุดเอาไว้แค่นี้ ฉันรู้สึกว่าการทำแบบรั้รทัรตะมห้เธอไม่รู้จักคิดด้วยตัวเอง
ยังไงก็ตามด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เคียร่าเงียบลงไป ในตอนนี้เธอมองเห็นและพูดได้แล้ว แม้ว่าเมื่อก่อนเธอจะเงียบยังไงก็ตามแต่ตอนนี้เธอก็น่าจะแสดงออกถึงความตื้นเต้มสิ
"เคียร่า"
"คะ คะ"
ไม่สิ ฉันคิดผิดไป เธอไม่เคยเห็นโลกด้วยตาตัวเองมาก่อนมันจึงทำให้เธอต้องใช้เวลาปรับตัวกับมัน
ทันใดนั้นเองเคียร่าที่มองมาทางฉันก็เริ่มร้องขึ้นมา ฉันหวังให้เธอแสดงอารมณ์ออกมาแต่ว่ามันก็ยังเป็นเรื่องที่น่าตกใจอยู่ดีเพราะน้ำตาเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยคาดฝันว่าจะได้เห็นมันจากตัวเธอเลย
"ทำไมเธอถึงร้องไห้ล่ะ ฉันก็บอกไปแล้วนะว่าฉันแก้มันได้"
"มะ ไม่ ไม่มีอะไรค่ะท่านฮีโร่ มันก็แค่....!"
เคียร่าได้มองมาที่ฉันเพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ยอมเช็ดน้ำตาของเธอเลย จากนั้นเธอก็พึมพัมออกมาอย่างเงียบๆ
"มัน... มันยิ่งกว่า มันสวยงามยิ่งกว่าที่ฉันคิด...."
"...ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้น"
มันไม่มีทางอยู่แล้วที่โลกที่เธอสร้างขึ้นจากภายในจิตใจมันจะเหมือนกับโลกที่เธอได้เห็นด้วยตาของตัวเธอเอง ในตอนนี้เธอได้เห็นและตัดสินใจทุกๆอย่างได้ด้วยตัวเองแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะไม่ใช่เรื่องของฉัน... แต่ฉันก็หวังว่าเธอจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของคนอื่นๆ
ฉันได้เอื้อมมือออกไปเพื่อลูบหัวของเธอด้วยความรู้สึกที่เห็นใจตัวเธอเป็นครั้งแรก เธอไม่ได้แสดงท่าทางอะไรที่เกินเลยไปเลยนอกจากการยิ้มอย่างง่ายๆ ถ้าหากว่าเธอเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ... ฉันรู้สึกได้เลยว่าฉันจะต้องปวดหัวกับเรื่องนี้เพราะไม่สามารถจะทำอะไรได้แน่
เคียร่าได้รับแสงสว่างและเสียงกลับคืนมาแล้ว นอกไปจากที่เธอมีดวงตามารมานับตั้งแต่เกิดแล้ว พลังในการมองเห็นอนาคตนับตั้งแต่เกิดขึ้นมันก็น่าจะตื่นขึ้นมาเพราะแบบนี้อีกด้วย
ดวงตาของเธอสามารถจะมองเห็นอนาคตได้ เรื่องนี้มันเป็นพลังที่ฟังดูง่ายแต่ผลของมันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพียงแค่เธอเปิดตาของเธอขึ้นมาแล้วพลังของเธอก็ได้ก้าวข้ามไปสู่ระดับที่ไกลเกินกว่าที่เคยมีมาก่อน ถ้าหากเธอได้ตั้งใจพยายามที่จะควบคุมดวงตาของเธอแล้วล่ะก็มันคงจะไม่มีสถานที่ไหนที่หลบหนีไปจากสายตาของเธอได้แน่นอน แม้ว่าเธอจะมีความคิดที่อันตรายอยู่แต่ตราบใดที่ฉันอยู่ข้างๆเธอ เธอก็จะต้องทำตามฉัน รีไวเวิร์ลได้รับพรรคพวกที่ไม่มีใครมาทดแทนได้แล้ว
ยังไงก็ตามสถานการณ์ของเคียร่าในตอนนี้ก็ไม่ใช่เพียงแต่จะดีอย่างเดียวเท่านั้น ในอดีตเธอไม่สามารถจะพูดและเปิดตาขึ้นมาได้เพราะการมีอยู่ของดวงตามาร เรื่องแบบนี้มันก็ยังคงอยู่อยู่ดีแม้ว่าเธอจะเป็นผู้ใช้พลังอยู่ดี
อิลิกเซอร์ที่ถูกเสริมพลังด้วยอินิกม่าได้เพิ่มพลังให้กับร่างกายของเธอและฝืนบังคับให้ร่างกายของเธอกลับมาอยู่ในสภาพปกติ ในตอนที่ผลของอิลิกเซอร์หมดลงไปร่างกายของเธอก็จะต้องแบกรับภาระนั้นอีกครั้ง บางทีมันอาจจะหนักยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย นี้มันเป็นความผิดพลาดของฉันเองที่ฉันไม่เคยคิดเอาไว้เลยว่าเธอจะเป็นผู้ครอบครองดวงตามาร แต่เนื่องจากว่าเธอได้เปิดตาขึ้นมาแล้วมันทำให้เธอจำเป็นจะต้องฝึกร่างกาย จิตใจและมานาในทันที
ฮวาหยาได้ตอบกลับมาด้วยท่าทางซังกะตาย
"น่ารังเกียข..."
"ขอร้องล่ะฮวาหา ฉันจะทำตามที่เธอต้องการเลย"
"นายก็รู้ดีนี่ว่าฉันจะไม่ปฏิเสธนาย... ฟู่ นี่ก็เพื่อรีไวเวิร์ลเหมือนกัน ไม่เป็นไร ฉันจะอดมน"
"ขอบคุณมาก"
เคียร่าได้ก้มหัวให้กับฮวาหยา เธอได้สงบลงอย่างชัดเจนหลังจากที่เปิดตาขึ้นมา ฮวาหยาได้ส่งเสียงหึตอบกลับไป
"อย่างแรกเลยมาเริ่มทำการควบคุมมานาข้างในตัวเธอ สำหรับตอนนี้ข้างในทั้งหมดมันยุ่งเหยิงเกินไปแล้ว"
"มันเป็ฯเพราะว่าเธอไม่สามารถจะควบคุมมันได้อย่างสม่ำเสมอ ศักยภาพของเธอก็ไม่น่าจะแย่นะ... ทั้งหมดที่เธอจะต้องทำก็คือการใส่ใจ"
"ฉันก็หวังแบบนั้นนะชิน ฉันอาจจะหยาบคายเล็กน้อยให้พื้นที่พวกเราด้วย สักสี่วัน"
"สี่วัน!?"
อะไรกันที่เธอได้วางแผนจะทำกับเด็กคนนี้!? อย่าบอกฉันนะว่าเธอจะละบายความโกรธของเธอออกมา? ฮวาหยาได้ขำขึ้นเมื่อเห็นสายตาที่กังวลของฉัน
"อะไรกัน? ฉันเป็นคนแรกบนโลกเลยนะที่ได้ทำการฝึกฝนมานาอย่างเป็นระดับ นับตั้งแต่ที่ฉันได้ยอมรับที่จะให้เธอมาเป็นศิษย์ ฉันก็ไม่มีทางจะอ่อนข้อให้กับเธอแม้ว่าเธอจะเป็นเด็กก็ถาม ฉันต้องการเวลาสวี่วัน ไปได้แล้ว"
นอกจากนี้ฮวาหยาก็ยังส่งข้อความมาหาฉัน
[ฉันก็อาจจะพอที่จะแก้ไขในสิ่งที่นายกังวลได้ในระหว่างช่วงเวลานี้อีกด้วย]
"...เธอนี่เป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งจริงๆ"
"อื้อ ฉันรู้ตัวดี"
ฮวาหยาได้หยักหน้าขึ้นมาราวกับว่าเธอได้เห็นความจริงอย่างชัดเจนไปแล้ว จากนั้นเธอก็ได้โบกมือออกมาโดยที่ไม่มองมาที่ฉันอีก ฉันได้ยิ้มขึ้นและออกมาตามที่เธอต้องการ
"โชคดีนะเคียร่า ฉันจะจัดการส่วนที่เหนือเอง"
"ค่ะท่านฮีโร่ ฉันจะทำให้ดีที่สุดเพื่อท่านฮีโร่"
"ไม่ ทำเพื่อตัวเธอเองไม่ใช่ฉัน"
เพราะแบบนั้นแม่มดเพลิงก็ได้ยอมรับนักบุญมาเป็นศิษย์ของเธอตามคำของของฮีโร่ ยุ่งเหยิงไปแล้ว
หลังจากที่ปล่อยเคียร่าไว้กับฮวาหยาแล้วฉันก็ได้ไปหาวอร์คเกอร์ ในเมื่อฉันได้คุยกับฮวาหยาและคนอื่นๆแล้วฉันก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตามแผนที่ฉันได้วางเอาไว้
"ว่าไงคังชิน หน้านายดูจะไม่พอใจมากกว่าปกติเลยนะ"
"แล้วฉันควรจะเป็นยังไง?"
ฉันได้ส่งข้อความไปหาวอร์คเกอร์ก่อนแล้ว แต่ดูเขาจะไม่ได้อยู่ภายในดันเจี้ยนเลย ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งล่าสุดของเหตุการณ์ดันเจี้ยนกับการบุกรุกของปีศาาจทำให้เขาปีนดันเจี้ยนขึ้นไปอย่างตั้งมั่น ดังนั้นฉันจึงมองเขาในแง่ดีขึ้น ในตอนที่ฉันมาหาเขา วอร์คเกอร์กลับไม่ได้อยู่ภายในบ้านแต่ออกมาสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก
ในตอนเที่ยวเขาก็จะต้องคอยเฝ้าดูแลยุยถ้าหากมันเป็นอดีต แม้ว่าเวลามันจะผ่านไปไม่นานนักแต่ฉันก็รู้สึกเหมือนกับมีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างเปลื่ยนไป ฉันได้ยิ้มขึ้นขมๆ วอร์คเกอร์ได้สะบัดบุหรี่และพูดขึ้นอย่างห้วนๆ
"ถ้านายจะมาก็ควรบอกฉันก็นะ"
"ฉันบอกแล้วนะ"
"สามสี่ชั่วโมงก่อนที่จะมาเนี้ยนะ"
"...นายมีแขกคนอื่นอยู่ก่อนแล้วหรอ?"
"...ไม่มี"
วอร์คเกอร์ได้หลบสายตาของฉัน ฉันได้เหลือบไปมองที่หน้าต่างชั้นที่สองอยู่ครู่หนึ่งทันที ม่านในหน้าต่างได้ถูกเอาไว้สนิทราวกับว่าเขาได้ซ่อนอะไรไว้ด้านใน ชั่งเธอมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับฉันอยู่แล้ว ฉันแค่มาบอกในสิ่งที่ฉันต้องการออกไป
"จริงๆแล้วนายไม่จำเป็นต้องมีพันธะสัญญาวิญญาณอีกต่อไป"
"นายจะกล้าขึ้นนะคังชิน"
"ฉันก็แค่คิดว่าฉันควรจะไว้ใจในคนที่ฉันไว้ใจได้"
"นายกับฉันหรอ? วันนี้ฉันก็ตื่นสายเกินกว่าที่จะเห็นพระอาทิตย์ขึ้นนะ แต่ว่ามันจะต้องขึ้นมาจากทิศตะวันตกแน่ๆ"
"วอร์คเกอร์ ฉันต้องการจะให้ได้รู้ว่าทำลายมัน มาทำลายมันกันดีกว่า"
ฉันได้หยิบเอาพันธะสัญญาวิญญาณขึ้นมาโดยไม่ส้นใจวอร์คเกอร์และพูดขึ้นอย่างชัดเจน วอร์คเกอร์ได้เบิกตากว้างขึ้นมาพร้อมพ่นควัญบุหรี่ ในตอนที่เขาหายใจออกมาเขาก็โยนบุหรี่ออกไปและหยักหน้าขึ้น
"เยี่ยม มาทำลายมันกัน"
พันธะสัญญาได้ถูกฉีกทิ้งโดยที่ฉันไม่ทำอะไรอีก ฉันรู้สึกได้เลยว่าสัญญาที่เชื่อมเอาไว้ระหว่างวอร์คเกอร์กับฉันได้หายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ในตอนนั้นเองวอร์คเกอร์ก็เดินเข้ามาหาฉัน หมัดของเขาได้ถูกปกคลุมไปด้วยออร่าสีดำ
"ฉันขอต่อยนายแค่ทีเดียวนึง...!"
"ขอปฏิเสธ"
ไม่ว่าวอร์คเกอร์จะพัฒนามามากแค่ไหนเขาก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน เนื่องจากว่าได้ทำนายเอาไว้แล้วฉันก็ไม่มีทางจะให้เขาต่อยฉันได้แน่ ฉันได้แตะคอของเขาเบาๆด้วยศอกของฉัน วอร์คเกอร์ได้ถอยหลังลงไปพร้อมด่ากราดออกมา
"ให้ตายสิ นายมันจะเกินไปแล้ว"
"ขอบคุณที่อวยพรนะ"
"ไสหัวไปซะ ฉันจะไปละนะ ฉันจะออกไปด่าออกไปให้หมดในทุกๆคำที่ฉันเก็บมันเอาไว้มาตลอดจนถึงตอนนี้"
"อ่า นายมีอิสระที่จะทำ"
ฉันได้ยิ้มขึ้นมา ในตอนที่ฉันกำลังจะหันหน้าออกไปฉันก็ตระหันกได้ว่ายังมีอีกสิ่งที่ฉันจะต้องพูดขึ้น
"นายก็เป็นคนที่ทำพันธะสัญญาวิญญาณกับโซฟีด้วยใช่ไหม? ในเมื่อข้อจำกัดมันหายไปแล้วนายก็ควรจะทำลายสัญญาของเธอเช่นกัน"
"เข้าใจแล้ว"
"ฉันอยากจจะเจอเธอและบอกมันด้วยตัวเองนะ แต่ว่าในเมื่อนายจะไปข้างนอกอยู่แล้ว มันก็คงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับเธอนะที่จะมาเจอใครในสภาพปัจจุบันของเธอในตอนนี้"
"แค่กๆ"
วอร์คเกอร์ได้ไอแห้งๆออกมา ฉันได้ยิ้มขึ้นมาเยาะเย้ยเขา
"ไอเวรเอ้ย..."
วอร์คเกอร์ได้ขบฟันแน่นในขณะที่ฉันได้เดินออกไปด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าก่อนหน้านี้ เขาได้ฮัมเพลงอย่างมีความสุข
มันคงจะดีที่จะพาความสุขนี้้ตรงไปสู่ชั้นที่ 30 ของบียอนเลย แต่ว่าเขาก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำก่อนหน้านั้นอยู่อีก มันคือการฝึกซ้อมกัลเพรูต้าที่จะเกิดขึ้นเดือนละครั้ง เนื่องจากว่าการฝึกซ้อมของเขามันมีขึ้นเป็นระยะๆทำให้ฉันได้รู้ว่าตัวฉันพัฒนาไปมากแค่ไหน ฉันไม่มีทางจะใช้มันง่ายๆแน่นอน
ในทันทีที่ฉันได้เข้าไปในพื้นที่พักอาศัยและตรงเข้าไปสู่ห้องฝึกซ้อมก็มีเพียงแค่สุมิเระคนเดียวที่อยู่ที่นี่เพื่อฝึกหอกในมือของเธอ ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับเรื่องนี้
"สุมิเระ?"
"อ่า คุณชิน"
เธอได้ต้อนรับฉันด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย
"คุณมาฝึกหรอค่ะ?"
"ใช่ ฝึกกับเพรูต้านะ"
"ถ้างั้นหนูจะออกไปให้คุณได้มีอิสระนะคะ หลังจากนั้นคุณช่วยมาฝึกกับหนู...?"
"แน่นอนสิ เธอพยายามอย่างหนักเลยนะสุมิเระ"
"หนูก็แค่ทำในสิ่งที่หนูทำได้ แม้แต่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากที่บาดเจ็บเพราะหนูปกป้องพวกเขาไม่ได้ หนูไม่อยากจะให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นอีกแล้ว"
เธอน่จะเป็นแม่พระเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าสุมิเระเป็นนักบุญแทนที่จะเป็นเคียร่าหรอกหรอ?
"นอกไปจากนี้อาธีน่าก็มีพลังที่เกี่ยวข้องกับหอกเหมือนกัน ฉันแค่ยังใช้มันไม่ได้เพราะความสามารถของหนูยังไม่พอ หนูจะต้องใช้มันให้ได้ก่อนที่เหตุการณ์ดันเจี้ยนจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง"
"....ขอโทษนะที่ฉันต้องทำให้เธอพยายามอย่างหนัก"
"หนูรู้นะคะว่าคุณชินคือคนที่พยายามมากที่สุด หนูดีใจนะคะที่ได้ช่วยเหนือคุณชิน"
นางฟ้า
"อ่า หนูทำคุณเสียเวลามากแล้ว ถ้านั้นหนูขอตัวนะคะ เมื่อคุณชินฝึกเสร็จก็เรียกหนูนะคะ"
"ไม่เป็นไรสุมิเระ เธอจะดูอยู่ข้างๆก็ได้"
"หือ? แต่ว่า..."
"ไม่เป็นไรๆ เธออาจจะได้เรียนรู้อะไรมั้งก็ได้ อืมม จำเอาไว้ให้ดีนะ"
ฉันได้เสริมขึ้นไปด้วยรอยยิ้มขม
"มันอาจจะดูเหมือนกับฉันเต้นอยู่คนเดียวนะ"
ฉันได้ไปยืนอยู่ที่กลางห้องฝึกด้วยดวงตาที่ปิดสนิทและเรียกเพรูต้าออกมา เขาก็ดูจะรู้ในสิ่งที่ฉันต้องการแล้วทำให้เขาได้สร้างโลกจินตนาการขึ้นมาเผชิญหน้ากับฉันในทันที รอยยิ้มที่พึงพอใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
"นายกำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับต่อไปแล้ว"
"ฉันก็อยากจะไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ฉันเสียเวลากับมันมามากแล้ว"
ฉันได้ยกหอกขึ้นและตั้งท่าออกมา เพรูต้าได้โบกมือของเขาพร้อมตอบกลับมา
"การขาดความอดทนคือสิ่งต้องห้ามของนักดบ การขาดความอดทนจะนำไม่สู่ความผิดพลาดเอานะและความผิดพลาดจะนำนายไปสู่ความพ่ายแพ้ ในตอนที่คนๆหนึ่งไม่สามารถเอาสิ่งที่เสียไปกลับมาได้ นั่นก็คือเวลาที่เขาจะกายเป็นคาฮาร์"
"ฉันจะจำเอาไว้นะ แต่ยังไงก็ตามไอ้คาฮาร์ที่ว่านี่คืออะไร"
"อุ๊ปส์ ฉันผิดเอง คาฮาร์มันหมายถึงคำว่าภัยพิบัติในทวีปของฉันนะ ภัยพิบัติที่จะซ่อนตัวตนเอาไว้และจะปรากฏตัวขึ้นมากลืนกินทุกๆสิ่งลงไปในทันที ในตอนที่คนๆนั้นกลายเป็นคาฮาร์นั่นก็หมายความว่ามันไม่เหลืออะไรอีกแล้วรวมไปถึงตัวเขาเองด้วย ในท้ายที่สุดเขาก็จะทำลายทุกๆอย่างแม้แต่สิ่งที่เขาต้องการจะปกป้อง"
พูดตามตรงแล้วมันค่อนข้างน่าสนใจเลยนะ
"ฉันจะจำมันเอาไว้"
"ถ้างั้นก็จำเรื่องนี้ไว้ด้วย ในภาษาอื่นๆคำว่าคาฮาร์ก็คือชื่อเรียกของเทพแห่งการแก้แค้น"
เพรูต้าได้จับหอกของเขาขึ้นมาชี้ทางฉันและตะโกนออกมาอย่างกดดัน
"สำหรับตอนนี้ก็เข้ามา! โยนความขาดความอดทนออกไปและกระหายการแก้แค้นซะ! สำหรับตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวที่ต้องคิดก็คือการไปสู่จุดสูงสุดของวิถีหอก"
"แน่นอน"
สิบชั่วโมงหลังจากนั้น
ไต้ฝุ่นคลั่งของฉันได้ไปถึงเลเวล 7
(อย่ากดเลื่อนตอนอัตโนมัตินะครับให้กดออกจากหน้านี้และไปเข้าตอนที 256 พอดีผมลงตอนข้ามกันไป ต้องขออภัยไว้ณที่นี้ด้วยครับ)