บทที่ 160 ความมุ่งมั่นที่น่าตกตะลึง
จูเก๋อชิงหยุนต้องประหลาดใจหลังจากที่ผ่านไปสิบสี่วัน แม้ว่าเจียงอี้จะอ่อนเพลียและแทบจะเป็นลม แต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักเช่นเขา
ในเวลานี้ เจียงอี้ยังคงพยายามที่จะแผดเผาไหมปีศาจนภา
ในช่วงสิบกว่าวันที่ผ่านมา จ้านอู๋ซวงและคนที่เหลือไม่ได้เก็บตัวเพื่อบ่มเพาะพลังแต่เลือกที่จะมาอยู่ข้างกายเจียงอี้
แม้แต่ผู้ที่มีสถานะอาจารย์อย่างซูรั่วเสวี่ยก็ขอลาหยุดและมาอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดกำลังเฝ้ารอให้เจียงอี้หลุดออกมาจากรังไหม… หรือไม่ก็ตายจากการขาดอาหาร
มนุษย์เราสามารถขาดน้ำหรืออาหารเป็นเวลาเจ็ดวันโดยไม่ตาย แม้ว่าความแข็งแกร่งของเจียงอี้จะไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะเทียบได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปด เวลาสิบวันก็ควรจะเป็นขีดจำกัดของเขา
ถึงเจียงอี้จะเป็นจอมยุทธ แต่การขาดน้ำเป็นเวลานานก็จะทำให้เขาทุกข์ทรมานจากอาการหน้ามืดและอ่อนเพลีย จากนั้นก็จะตาย
ในระหว่างนี้ เจียงอี้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาใดออกมา หากไม่ใช่เพราะเปลวไฟที่ยังคงลุกโชนอยู่นั้น ทุกคนคงคิดว่าเขาตายไปแล้ว ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป ความกังวลของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
มีหลายครั้งที่ซูรั่วเสวี่ยต้องการจะไปขอความช่วยเหลือจากจูเก๋อชิงหยุน แต่นางก็เข้าใจดีว่าเจียงอี้คงเลือกที่จะตายดีกว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากท่านผู้นั้น ดังนั้นนางจึงยอมที่จะอดทนรอ
ความจริง เจียงอี้สามารถใช้หินวิญญาณเพลิงเผาทำลายไหมปีศาจนภาได้เลยทันที แต่เพราะเสี้ยวความคิดที่อยู่ในส่วนที่ลึกของห้วงวิญญาณบอกให้เขาอดทนต่อไปและไม่ต้องการที่จะยอมแพ้
วันที่สิบห้า!
เจียงอี้ยังคงพยายามต่อไปด้วยความดื้อรั้น ในตอนนี้สาวน้อยอย่างจ้านหลินเอ๋อร์ก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยความตื่นกลัว แม้แต่ซูรั่วเสวี่ยก็ตาแดงก่ำ เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนเดินวนเป็นวงกลมด้วยความกระวนกระวาย
มีเพียงจ้านอู๋ซวงเท่านั้นที่สามารถทนดูได้โดยที่ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา ทางด้านของผู้อาวุโสหลิวและผู้อาวุโสจีก็ลอบยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม
วันที่สิบหก!
ดวงตาของจูเก๋อชิงหยุนเผยให้เห็นความประหลาดใจมากยิ่งขึ้น รองเจ้าสำนักฉีก็เริ่มวิตกและเชื้อเชิญให้จูเก๋อชิงหยุนลงมืออยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอันใดและทำเพียงแค่แผ่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปตรวจสอบเท่านั้น
วันที่สิบเจ็ด ไหมปีศาจนภายังคงห่อตัวเจียงอี้ไว้แน่น เมื่อเวลาผ่านไป เปลวไฟของเขาก็มอดดับลง ฉากนี้ทำให้ผู้คนพากันตื่นตระหนก ในตอนนั้นซูรั่วเสวี่ยก็รีบวิ่งไปยังตำหนักชั้นในในทันที
จูเก๋อชิงหยุนที่นั่งอยู่ในตำหนักชั้นในก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและคิดที่จะลงมือ แต่ทันใดนั้นเองเปลวไฟระรอกสุดท้ายก็ระเบิดออกมาจากตัวของเจียงอี้ ในเวลาสั้นๆไหมปีศาจนภาก็เปล่งแสงสีขาวและคลายตัว
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็รีบเข้าไปเพื่อที่จะนำตัวเจียงอี้ออกมา สภาพของเขาในตอนนี้ปราศจากคลื่นพลังใดๆ
ใบหน้าของทุกคนขณะที่มองมายังเจียงอี้เต็มไปด้วยความเคารพและตกใจ ความมุ่งมั่นของเขาต้องแข็งแกร่งขนาดไหนกันถึงทำให้เขาไม่ต้องกินต้องดื่มได้ถึงสิบเจ็ดวัน?
ขั้นตอนช่วยเหลือหลังจากนี้ไม่ได้ยุ่งยากนัก ผู้อาวุโสหลิวโคจรแก่นแท้พลังเพื่อช่วยให้เจียงอี้ได้ฟื้นฟูพลัง ทางด้านของเฉียนว่านก้วนก็รีบนำเม็ดยาที่เตรียมไว้ออกมาและป้อนเข้าไปในปากของเขา
จนในที่สุดทุกคนก็กลับมาโล่งใจเมื่อรัศมีของเจียงอี้กลับมาเสถียรอีกครั้ง
……
เจียงอี้ใช้เวลาสิบวันเต็มในการฟื้นฟูสภาพร่างกาย ในช่วงสิบวันที่ผ่านมาไม่ว่าจะนอนหลับหรือบ่มเพาะพลัง ทั้งหมดล้วนแต่ทำอยู่บนเตียงทั้งสิ้น ซูรั่วเสวี่ยมาเยี่ยมเขาเพียงแค่ครั้งเดียวและไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย
จ้านอู๋ซวงเองก็เริ่มการเก็บตัวฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น แม้แต่เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนก็หายตัวไปอย่างประหลาด ทุกวันนี้มีเพียงจ้านหลินเอ๋อร์เท่านั้นที่มาเยี่ยมเจียงอี้ทุกวัน
“พี่ใหญ่เจียงอี้ โจ๊กของท่านมาแล้ว!”
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง เจียงอี้กำลังอยู่ในช่วงบ่มเพาะพลัง แต่เสียงเจื้อยแจ้วของจ้านหลินเอ๋อร์ก็ทำให้เขาหลุดออกมาจากห้วงสมาธิ
เมื่อเห็นถ้วยโจ๊กตรงหน้า เขาก็กล่าวออกมาด้วยความเอือมระอา “โจ๊กอีกแล้ว? ข้าเกือบจะหายดีแล้วนะ ข้าควรจะได้กินเนื้อสิ!”
“ไม่มีทาง!”
จ้านหลินเอ๋อร์เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จากนั้นนางก็กล่าวต่อ “ผู้อาวุโสหลิวกล่าวว่าตลอดทั้งเดือนนี้ ท่านกินได้แค่โจ๊กเท่านั้น หากกินอย่างอื่นเข้าไป มันอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของท่านได้”
“เฮ้ออ ก็ได้ๆ!”
ในเมื่อไม่มีทางเลือก เจียงอี้ก็ทำได้เพียงแค่หยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมา จากนั้นก็เบนสายตาไปมองประตูและเอ่ยถาม “ทำไมพักนี้ข้าถึงไม่เห็นเฉียนว่านก้วนเลยล่ะ? เจ้านั่นกำลังทำอะไรอยู่?”
จ้านหลินเอ๋อร์นั่งเท้าคางอยู่ด้านข้างเจียงอี้และส่ายศีรษะ “เจ้าอ้วนนั่นมันก็แค่พวกบ้าตัณหา ข้าได้ยินมาว่าเขากำลังเกี้ยวพาศิษย์สตรีจำนวนมาก เหอะ! เจ้าอ้วนบัดซบนั่นน่าโมโหจริงๆ”
“ใครกันที่กำลังนินทานายน้อยผู้นี้ลับหลัง?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจดังมาจากด้านนอก ไม่นานนักร่างที่เต็มไปด้วยก้อนไขมันของเฉียนว่านก้วนก็เดินเข้ามาและแสร้งทำเป็นกล่าวด้วยความน้อยใจ
“น้องหลินเอ๋อร์ เจ้าไปเชื่อข่าวลือไร้สาระพวกนั้นได้เยี่ยงไร? ข้า เฉียนว่านก้วน เป็นคนรักความยุติธรรมและเกลียดชังพวกเจ้าชู้ที่สุด ตลอดสิบหกปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเสียพรหมจรรย์ให้กับอิสตรีมาก่อน”
“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าสามารถสาบานต่อสวรรค์ได้ หากสิ่งที่ข้ากล่าวไปนั้นเป็นเรื่องโป้ปด ขอให้ชาตินี้ข้าไม่มีวันได้แต่งเมีย!”
“เหอะ!”
จ้านหลินเอ๋อร์เค้นเสียงออกมาด้วยความดูถูก จากนั้นนางก็กล่าว “จะไม่ได้แต่งเมียมันก็เรื่องของเจ้าสิ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะพลางกล่าว “หลินเอ๋อร์เจ้าคิดผิดแล้ว อย่างน้อยที่สุดในตอนที่เจ้าอ้วนอยู่กับข้า ข้าก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน”
“เอาเถอะว่านก้วน ดื่มชาสักถ้วยสิ ข้าเห็นตัวเจ้ามีแต่เหงื่อ เจ้าไปทำอะไรมา?”
“ฮิฮิ มีแต่ลูกพี่นี่แหละที่รู้จักข้า”
นัยน์ตาของเฉียนว่านก้วนเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็นำกล่องหยกออกมาและว่างลงบนโต๊ะ “ลูกพี่ ลองทายซิว่าข้างในคืออะไร?”
“หืม?”
เจียงอี้วางถ้วยลงและใช้สายตาตรวจสอบกล่องหยก จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เป็นไปได้ไหมว่ามันคือสมุนไพรวิญญาณ?”
“ถูกต้อง!”
เฉียนว่านก้วนเทน้ำชาใส่ถ้วยและเอ่ย “ลูกพี่ ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปข้างนอกจะดีกว่าเพราะนังผู้หญิงบ้านั่นยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองจิตอสูร”
“จริงสิ ข้าเจอโสมเก๋ากี้พันปีสภาพดีอยู่ในตลาด แต่เสียดายที่สมุนไพรชีเย่สามกลีบมีเพียงสองเท่านั้น ข้ากลัวว่าอาจจะมีใครซื้อพวกมันไปเลยชิงซื้อมาก่อน”
เจียงอี้ตกอยู่ในความเงียบ สัตว์อสูรที่เขาสังหารไปเมื่อคิดเป็นเงินแล้วจะมีมูลค่าถึงห้าหรือหกล้านตำลึงทอง
ก่อนหน้านี้เฉียนว่านก้วนจัดหาเม็ดยามังกรปฐพีมาให้เขาซึ่งน่าจะมีค่ามากกว่าหนึ่งล้านตำลึงทอง
ยิ่งไปกว่านั้น สมุนไพรชีเย่สามกลีบยังหายากเสียยิ่งกว่าโสมเก๋ากี้พันปีและมีราคาแพงกว่า หากคำนวณดูแล้ว เฉียนว่านก้วนคงเสียเงินเพิ่มหนึ่งถึงสองล้านเลยทีเดียว
“ข้าจะหาเงินเพิ่มจากไหนดี?”
เจียงอี้เกาศีรษะด้วยความกังวลและร้อนใจ ขอบเขตพลังของเขาต่ำเกินไป เพื่อที่จะได้ตามทันศิษย์สำนักอัจฉริยะในรุ่นเดียวกัน เขาจำเป็นต้องใช้เม็ดยาจำนวนมาก แต่ก็ยังคงต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการซื้อโสมเก๋ากี้พันปีและตามหาสมุนไพรสยบวิญญาณซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้
สุ่ยเชียนโหรวยังคงอยู่ในเมืองจิตอสูร ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายหรือเกรงกลัวต่อความตาย แต่เขาเพียงแค่ไม่ต้องการตายอย่างไรประโยชน์
“ใช่แล้วว่านก้วน!”
เมื่อนึกถึงสุ่ยเชียนโหรว จู่ๆเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขานำไหมปีศาจนภาออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและกล่าว “เราจะทำเงินได้เท่าไหร่หากว่าขายมันได้?”
"…"
เฉียนว่านก้วนถึงกับพูดไม่ออก เขากลอกตาและเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ลูกพี่ นี่เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกสุ่ยโย่วหลานไล่ล่ารึ?”
“อ่า นั่นสินะ”
เจียงอี้เก็บความคิดนี้ลงไปด้วยความขมขื่น ภายในตัวเขานอกเหนือจากไข่มุกวิญญาณเพลิง สิ่งประดิษฐ์ชิ้นอื่นก็ไม่ได้มีค่ามากมายนัก เขาไม่มีความคิดที่จะขายไข่มุกวิญญาณเพลิง เพราะหากว่าไม่มีมัน เขาก็จะไม่มีของไว้เก็บหินวิญญาณเพลิงและจะทำให้เขาสูญเสียไพ่ตายใบสำคัญไป
ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะยอมทอดทิ้งไข่มุกวิญญาณเพลิงที่มีพลังอันลึกลับไปได้อย่างไร?
คิ้วที่คมได้รูปของเจียงอี้ขมวดเข้าหากัน เมื่อนึกไปเรื่อยเปื่อย เขาก็หวนรำลึกถึงสมัยที่อาศัยอยู่ในเมืองเทียนอวี่และแทบจะไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว
“ใช่แล้ว เมืองเทียนอวี่!”
ทันใดนั้นดวงตาของเจียงอี้ก็เป็นประกาย เขานึกถึงตอนที่ปรับแต่งเม็ดยาโดยใช้แก่นแท้พลังสีดำและขายให้กับหอสมบัติ
ตอนนี้เจียงอี้มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดและยังมีแก่นแท้พลังสีดำอีกหนึ่งพันเส้น ไม่ใช่ว่ามันจะกลายเป็นเรื่องง่ายดายในการปรับแต่งเม็ดยา?
ยกตัวอย่างเช่น หากเขาปรับแต่งเม็ดยามังกรปฐพีด้วยแก่นแท้พลังสีดำ มันก็จะถูกยกระดับให้กลายเป็นเม็ดยาระดับสวรรค์!
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เขายืนขึ้นและตะโกนด้วยความร่าเริง “ว่านก้วน ช่วยหาตำราเกี่ยวกับการกลั่นเม็ดยาและวัตถุดิบในการกลั่นเม็ดยาให้ข้าที! หากแผนการที่ข้าคิดประสบความสำเร็จ อย่าว่าแต่สิบล้านตำลึงทองเลย ต่อให้เป็นร้อยล้านตำลึงทองข้าก็หาได้!”