บทที่ 159 เผาไหมปีศาจนภา
"อย่าไปขอความช่วยเหลือจากเขา!"
ในขณะที่จ้านอู๋ซวงกำลังจะไปขอความช่วยเหลือจากจูเก๋อชิงหยุน ทันใดนั้นเจียงอี้ก็พูดอะไรบางอย่างด้วยปากที่อู้อี้ จ้านอู๋ซวงและผู้อาวุโสจีมองหน้ากันอย่างไร้จุดหมายและถอนหายใจ เจียงอี้เก่งทุกอย่างแต่เขานั้นดื้อเกินไป
จากมุมมองของเขา ถ้าเขาขอร้องจูเก๋อชิงหยุนมันก็เหมือนกับเขาขอร้องเจียงเปี๋ยหลี แม้ว่าจูเก๋อชิงหยุนจะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการเหล่านี้ เขาก็จะรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
"ไม่มีวิธีอื่นเลยหรือ?"
เจียงอี้อ้าปากและถามอีกครั้ง ปัจจุบันย่าฮุนและสุ่ยเชียนโหรวก็อยู่ไกลออกไปมากซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่น่าจะอยู่ในระยะที่ควบคุมไหมปีศาจนภาได้ คนเราคงไม่สามารถถูกขังจนตายได้โดยวัตถุที่ไม่มีชีวิตหรอกใช่ไหม?
"พอมีทางอยู่!"
ผู้อาวุโสจีพูดพึมพำ "ตราบใดที่รอยประทับทางวิญญาณในไหมปีศาจนภาถูกทำลาย มันจะกลายเป็นวัตถุที่ไม่มีเจ้าของซึ่งจะช่วยให้เจ้าคืนความเป็นอิสระ เพื่อทำลายรอยประทับทางวิญญาณ นอกเหนือจากผู้เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณแล้ว ก็มีเพียงผู้เชี่ยวชาญสายอัคคีเท่านั้นที่สามารถเผาไฟทีละน้อยโดยใช้เปลวไฟได้ ทางสำนักไม่ได้มีผู้เชี่ยวชาญสายนี้มาก่อนเลย ตระกูลจ้านนั้นมีผู้เชี่ยวชาญสายอัคคี แต่ปัญหาคือ…เขาคงจะต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยหนึ่งเดือนกว่าจะมาถึง เจ้าหนู เจ้ารอสักเดือนได้ไหม?”
"หนึ่งเดือน?!"
เจียงอี้หัวเราะเจื่อนๆ อีกหนึ่งเดือนเขาคงกลายเป็นเนื้อตากแห้งไปแล้ว! ดวงตาของเขาก็หันกลับมาราวกับว่าเขานึกบางสิ่งขึ้นได้ ใช้เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงเพื่อเผามัน? ไม่ใช่ว่ามุกวิญญาณเพลิงของเขามีเปลวไฟมากมายหรือ? กิเลนทมิฬนั่นพ่นไฟออกมาค่อนข้างมาก ไม่ใช่ว่าจ้านหลินเอ๋อร์ก็มีวิหคเพลิงเป็นสัตว์วิญญาณของนางหรอกหรือ? มันสามารถพ่นเปลวไฟออกมาได้เช่นกัน
"วิหคเพลิง?"
เมื่อผู้อาวุโสจีได้ยินเสียงที่อู้อี้ของเจียงอี้เขาก็ส่ายหัว "เปลวไฟของวิหคเพลิงนั้นอ่อนแอเกินไป ข้าเกรงว่ามันอาจต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองเดือนในการทำลายรอยประทับนั่น"
เฮ้อ…ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าคงต้องใช้หินวิญญาณเพลิงเพื่อทำลายไหมปีศาจนภา!
เจียงอี้กัดฟันแล้วหันกลับมา "อู๋ซวง ใช้กำลังกระทุ้งช่วงท้องของข้าเพื่อให้มือข้าเอื้อมถึงเครื่องรางสัตว์วิญญาณ ข้าจะเรียกหมาป่ากลับเข้าเครื่องรางก่อนที่จะหาหนทางที่จะทำลายไหมปีศาจนภานี้"
มือของเจียงอี้ถูกผูกไว้และไม่สามารถแตะต้องเครื่องรางสัตว์วิญญาณได้ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถเทแก่นแท้พลังออกมาได้ จ้านอู๋ซวงทำตามที่เจียงอี้บอกและชกท้องของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาจะฟาดแขนของเจียงอี้เป็นครั้งคราวซึ่งจะทำให้มือของเจียงอี้เข้าใกล้เครื่องรางสัตว์วิญญาณด้วย
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา จ้านอู๋ซวงเหนื่อยจนเหงื่อออกและเกือบทำให้เจียงอี้สำลักเลือดออกมา แขนของเจียงอี้ก็เกือบจะร้าวแล้วเช่นกัน โชคดีที่นิ้วหนึ่งของเขาได้สัมผัสกับเครื่องรางสัตว์วิญญาณเสียที่
"พรึ่บบ"
หมาป่าจันทราสีเงินที่ถูกผูกติดกับเขาอย่างแน่นหนาได้หายตัวไปจากไหมปีศาจนภา ก่อนที่เจียงอี้จะสามารถเคลื่อนไหวใดๆ ไหมปีศาจนภาก็หดตัวอย่างรวดเร็วและห่อหุ้มเขาเหมือนเกี๊ยวอีกครั้ง
หลังจากหมาป่าจันทราสีเงินถูกเก็บไป ในที่สุดเจียงอี้ก็โล่งใจได้ในที่สุด ไหมปีศาจนภาอาจทำให้เขาหายใจไม่ออก แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้หินวิญญาณเพลิงเพื่อทำลายมันได้สักที แน่นอนว่ามันคงเป็นการดีที่สุดถ้าเขาไม่ต้องทำลายไหมปีศาจนภาไปเลย อย่างไรเสียมันก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่หายาก
"ทุกคน ถอยออกไปหน่อย!"
เจียงอี้ตะโกนด้วยเสียงอู้อี้ จิตใจของเขาจมอยู่กับหินวิญญาณเพลิงก่อนที่เขาจะยิงเปลวไฟสีน้ำเงินบางส่วนของกิเลนทมิฬและปล่อยมันออกมา
"แค่กๆ!"
เปลวไฟออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงทำให้อากาศโดยรอบระอุขึ้นทันที คลื่นความร้อนพุ่งขึ้นมาฉับพลันซึ่งทำให้จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ต่างถอยออกไปหลายเมตรและรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนใบหน้า
"เปลวไฟนี้รุนแรงนัก มันอาจจะเผาไหมปีศาจนภาได้จริงๆก็ได้!"
ผู้อาวุโสจีตกใจและเขาสะกิดให้จ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์ถอยออกมาไม่กี่ก้าวก่อนที่เขาจะตะโกนไปที่เจียงอี้ "เจียงอี้ ไม่ต้องปล่อยเปลวไฟมากนัก รอยประทับต้องค่อยๆเผาไหม้ เปลวไฟของคุณรุนแรงนัก แต่ข้าคาดว่ามันจะยังคงต้องใช้เวลาประมาณสิบวันถึงสองสัปดาห์ ... "
"สิบวันถึงสองสัปดาห์เหรอ ข้าจะหมดแรงแล้ว!"
เจียงอี้กัดฟันของเขาและควบคุมก้อนไฟเล็กๆเพื่อเผาอย่างช้าๆ และค่อยๆเผาไหมปีศาจนภา มันน่าเสียดายจริงๆที่จะต้องทำลายสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับเขาแล้วหินวิญญาณเพลิงมีค่าเกินไป มันลดลงไปทุกครุ้งที่ใช้ และมันคงจะดีกว่าหากไม่ใช้มัน
เมื่อมีไข่มุกวิญญาณเพลิงเขาจึงไม่กลัวเปลวไฟ สิ่งเดียวที่น่าผิดหวังคือหลังจากที่เขาปล่อยเปลวไฟออกมา ไข่มุกวิญญาณเพลิงจะดูดซับไฟโดยอัตโนมัติอีกครั้ง การทำสิ่งต่างๆซ้ำนี้ทำให้เขาค่อนข้างเหนื่อยล้า
หินวิญญาณเพลิงมีจำนวนของเปลวไฟที่เพียงพอ หลังจากดูดซับเปลวไฟขนาดใหญ่สามก้อนของกิเลนทมิฬมา หากเขาค่อยๆปล่อยลูกไฟทีละน้อย มันก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้งานเป็นเวลาหนึ่งเดือน
"ลูกพี่ ลูกพี่!"
ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าตัวปัญหาก็มาถึงซึ่งตามมาด้วยผู้อาวุโสหลิวและซูรั่วเสวี่ย ซึ่งบังเอิญชนกับเฉียนว่านก้วน เฉียนว่านก้วนนั้นหลบไปด้วยสัญชาติญาณและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้หยุดฝีเท้าของเขาจนเขาเกือบจะตกไปทับเจียงอี้ และเปลวไฟที่ที่ลุกโชนเหล่านั้นเกือบจะเผาคิ้ว ผมและเสื้อคลุมของเขาเสียแล้ว
"ฟึ่บบ!"
โชคดีที่ผู้อาวุโสหลิวดึงเฉียนว่านก้วนกลับมาได้ทันเวลา ใบหน้าของเฉียนว่านก้วนร้อนผ่าว ทำให้เขาถอยกลับไปด้วยความกลัว จากนั้นเขาก็มองไปที่จ้านอู๋ซวงและถามด้วยความสงสัยว่า "ลูกพี่กำลังทำอะไรน่ะ?"
หลังจากฟังคำอธิบายของจ้านอู๋ซวง ดวงตาที่สวยงามของซูรั่วเสวี่ยก็สงบลงอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้ส่วนลึกในดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวล
"เฮ้ออ"
เฉียนว่านก้วนถอนหายใจยาวและพูดว่า "ลูกพี่ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว สุ่ยเชียนโหรวถูกจ่างซุนอู๋จี้บอกให้นางมาท้าสู้กับเจ้า เขาส่งคนมาปกปิดร่องรอยของสุ่ยเชียนโหรว อย่างไรเสีย พี่อู๋ซวงและข้าได้รับข่าวมา ช่างโชคดี๊โชคดีที่เจ้าไม่ได้ฆ่าผู้หญิงบ้านั่น ถ้าไม่เช่นนั้นแม่ของนางคงตามมาล้างบางที่สำนักแน่ แม้แต่เจ้าสำนักก็คงไม่สามารถช่วยเจ้าได้ ลูกพี่ ข้าก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่เจ้าน่ะหุนหันพลันแล่นเสียจริง เจ้ากล้าฆ่าสุ่ยเชียนโหรวจริงๆ… "
"ฮึ่่ม!"
เจียงอี้กำลังควบคุมเปลวไฟให้เผาไหมปีศาจนภาในขณะที่พูดด้วยเสียงอู้อี้ "ข้าไม่สนหรอกว่าแม่หรือพ่อของนางจะเป็นเทพมาจากไหน ผู้หญิงบ้านั่นเกือบจะพรากชีวิตข้า หากข้ามีโอกาส ข้าก็จะฆ่านางอยู่ดี การที่แม่ของนางเป็นอันดับหนึ่งของทวีปนั่นหมายความว่านางจะสามารถฆ่าใครก็ได้และพวกเขาก็ต้องนั่งรอความตายรึ?"
"เอ่อ?"
เฉียนว่านก้วนพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเศร้า "หญิงบ้านั่นยังคงอยู่ที่ เมืองจิตอสูร นางยังประกาศกร้าวมาอีกว่านางจะกลับไปหลังจากฆ่าเจ้าแล้วเท่านั้น จ่างซุนอู๋จี้ ไอ้สารเลวนี่มันชั่วช้าจนถึงขั้นยืมมือผู้อื่นมาทำเรื่องสกปรก"
"จ่างซุนอู๋จี้?"
เสียงของเจียงอี้เยือกเย็นลงเมื่อเขาลดเสียง "หากข้ามีโอกาส ข้าจะกำจัดเขาอย่างแน่นอน! เอาล่ะ ... หยุดพูดก่อน ข้าต้องจดจ่อกับการทำลายไปปีศาจนภา ยิ่งข้าพูดมากเท่าไรข้าก็ยิ่งใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ก่อนที่ข้าจะสามารถหลุดออกจากไหมปีศาจนภานี่ ข้าคงจะได้ตายจากความอดอยากเสียก่อน ... "
ทุกคนหยุดพูดและรออย่างเงียบๆโดยทันที และสังเกตว่าเจียงอี้เผาไหมปีศาจนภาอย่างไร
สิ่งที่แปลกคือเจียงอี้ได้รับการช่วยเหลือจากผู้อาวุโสจีและจูเก๋อชิงหยุนก็ต้องรูเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีคนของสำนักมาตรวจสอบใดๆ
...
จูเก๋อชิงหยุนรู้อยู่แล้วว่าเจียงอี้อยู่ที่ไหน เขานั่งอยู่บนรถเข็นด้านในตำหนักโดยมีรองเจ้าสำนักฉีอยู่ข้างๆ เมื่อนางเห็นจูเก๋อชิงหยุนส่ายหัวและถอนหายใจอยู่นาน นางก็ถามทันทีว่า "ท่านเจ้าสำนัก มีอะไรหรือเจ้าคะ?"
จูเก๋อชิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “เด็กคนนี้ดื้อรั้นเสียจริง เขาใช้เปลวไฟเพื่อเผารอยประทับวิญญาณบนไหมปีศาจนภาอย่างช้าๆ เขาห้ามไม่ให้ใครมาขอความช่วยเหลือจากข้า”
"ฮึ่ม!"
รองเจ้าสำนักฉีพูดด้วยความไม่พอใจ "เด็กคนนี้ไม่รู้จักความปรารถนาดีของผู้อื่นทำไมเขาถึงไม่คิดว่า ... ทำไมท่านเจ้าสำนักจึงต้องบาดหมางกับหอดาราสุ่ยเยว่หากไม่ใช่เพื่อเขา? แต่เด็กคนนี้มีความสามารถบางอย่าง เขาทำให้ธิดาของสุ่ยโย่วหลานอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้และสามารถหลีกหนีการตามล่าจากย่าฮุนได้จริงๆหรือ? เขาสร้างชื่อเสียงให้แก่สำนักของเราบ้างแล้ว"
"หึหึ!"
จูเก๋อชิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องกังวล จิตวิญญาณของย่าฮุนนั้นน่าเกรงขามมาก เปลวไฟของเด็กคนนี้จะต้องใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ก่อนที่เขาจะสลายมันได้ เขาจะไม่อดตายก่อนหลังจากหิวโซเป็นเวลาสองสัปดาห์หรือ? แค่รอและดูหากว่าเขาส่งใครมาขอความช่วยเหลือเถอะ”