เซียนเหนือวิถี บาทที่ 90 free
บาทที่ 90
การที่มีคนช่วยทำให้หงเซียวสบายขึ้นกว่าเดิมมากนัก หงหลงค้นคัมภีร์ปราณสุดขั้วมาหลายวิชา ก็คือ ปราณเพลิงสังหาร ปราณปลุกผีดิบ ปราณจิตมายา และปราณเกราะสายฟ้า
ปราณเพลิงสังหารใช้คู่กับเพลงกระบี่เพลิงสังหาร ปราณปลุกผีดิบใช้ปราณกับซากศพเพื่อที่จะปลุกมันขึ้นมาใช้เป็นหุ่นเชิดเหมือนกับเนโครมานเซอร์ในนิยายแฟนตาซีที่ศาสตราจารย์เคยอ่าน ปราณจิตมายาจะใช้อำนาจจิตครอบงำจิตใจผู้อื่น และปราณเกราะสายฟ้าจะสร้างเกราะขึ้นมาครอบร่าง เกราะนี้ไม่มีพลังป้องกันแต่จะปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงมหาศาลเข้าใส่สิ่งที่เข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งคืบ
เมื่อถึงยามเย็น หลังจากที่สี่เด็กสาวกลับเข้ามาจากการไปจับจ่ายในวันที่สอง พวกเธอก็พากันพบกับความประหลาดใจในสิ่งที่หงเซียวกับหงหลงทำ พวกเธอต่างพากันเข้ามาช่วยอย่างกระตือรือร้น
พวกเขาช่วยกันทดสอบว่าอัญมณีชนิดไหนเหมาะกับอักขระตัวไหนมากที่สุด เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องรางให้ได้มากที่สุด และด้วยการออกแบบของหญิงสาวทั้งสี่ เชือกที่มัดอัญมณีทั้งหมดถูกทิ้งไป แทนที่ด้วยด้ายไหมหลากสีและใช้ปราณไร้ลักษณ์ในรูปแบบกาวยึดโยงเข้าด้วยกัน สวยงามเป็นที่สุด
พวกเธอออกแบบมันเป็น กำไลข้อมือ สร้อยคอ กำไลข้อเท้า ต่างหู หวี ปิ่นปักผม เข็มขัด แหวน ด้วยการนำไปเสริมกับวัตถุอื่น ทั้งยังนำไปติดตั้งให้กับพัดของหงเซียว และพู่ห้อยเอวของหงหลงด้วย
คืนนั้นกว่าพวกเขาจะเข้านอนกันก็เกือบถึงเช้า ด้วยแต่ละคนต่างพากันลองวิชาที่ได้มาใหม่
สามวันต่อจากนั้น ร้านอัญมณีประจำตระกูลหง ซึ่งมีไว้ขายสินค้าจำพวกอัญมณีให้กับคนตระกูลหงโดยเฉพาะก็มีเครื่องรางวางขาย พร้อมทั้งคุณสมบัติและวิธีใช้งาน
คนที่พบเครื่องรางเป็นคนแรกเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสสี่ เมื่อเธอเห็นกำไลข้อมือรูปร่างสวยแปลกตาก็จึงสอบถามเจ้าของร้าน ซึ่งอีกฝ่ายบอกว่านี่เป็นเครื่องราง มีคนฝากขาย
เธอแปลกใจมากที่ราคาของมันสูงลิบ เจ้าของร้านจึงบอกว่าที่ราคาของมันสูงก็เพราะว่ามันมีอำนาจอันน่ามหัศจรรย์ แล้วเขาจึงนำเอาหนังสือคู่มือการใช้ออกมาให้ดู
เธอยิ่งแปลกใจที่คุณสมบัติมันเหลือเชื่อ เธอจึงขอทำการทดสอบ ซึ่งเจ้าของร้านก็ยอมให้ทดสอบ
เธอใส่พลังปราณของเธอลงไปและท่องอาคมตามที่กำกับไว้ในกำไลนั้น เมื่อเธอถ่ายเทพลังปราณที่ได้มานั้นออกมา ฝ่ามือเธอก็เคลือบไปด้วยหิมะน้ำแข็งและไอหมอกเย็นเยียบ มีระดับพลังปราณเทียบเท่ากับพลังของตัวเธอเองแม้จะอ่อนกว่าบ้างเล็กน้อย
ผู้คนในบริเวณนั้นทั้งหมดต่างพากันหันมามองด้วยความตกตะลึง ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าของร้านอัญมณีซึ่งไม่ได้ทดลองสินค้า ทุกคนพบว่าราคาสินค้านี้ถูกมาก
ไม่นานทุกคนก็สอบถามเจ้าของร้าน และที่น่าประหลาดใจก็คือ สินค้าประเภทนี้ยังมีอีกเก้าชุด อยู่ในลักษณะที่แตกต่างกัน บ้างก็เป็นสร้อยคอ ต่างหู และอื่นๆ ต่างมีความสามารถแตกต่างกันไป แต่ก็มีความสามารถซ้ำกันบ้าง
พวกมันถูกขายหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่ข่าวที่เหมือนกับไฟไหม้ฟางจะทันได้แพร่สะพัดออกไป
ในวันถัดมาก็มีวางขายอีกสิบชุด และก็หมดไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ทุกคนคาดหวังว่าจะมีวางขายในวันที่สาม มันกลับเงียบหายไร้วี่แวว
ช่วงเวลานี้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบห้าปีต่างพากันฝึกฝีมืออย่างเข้มข้น เมื่อบางคนได้รับเครื่องราง ก็ยิ่งเพิ่มความเคร่งเครียดกับการฝึกฝีมือยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากข่าวนี้ก็มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองว่า ชุดยาแก้สารพัดพิษของหมอเทวดาฮุ่ยซิงที่หายสาบสูญ กำลังจะวางขายที่ร้านขายยาในเครือข่ายของตระกูลหง สร้างความตื่นตัวให้กับทุกคน ต่างพากันเข้าไปในร้านขายยาทั่วเมืองเพื่อสอบถามถึงข่าวคราว
หากเป็นร้านขายยาอื่น พวกเขาก็จะถูกไล่ออกหรือเชิญออกจากร้านหรือไม่ก็ได้รับคำปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่องราว แต่ถ้าหากเป็นร้านสาขาของตระกูลหงพวกเขาก็จะได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง ให้คอยติดตามข่าวอยู่เสมอ ทำให้หลายคนเข้ามาในร้านตระกูลหงแทบทุกวัน ร้านค้าของตระกูลหงก็เริ่มติดปาก และแน่นอนว่าย่อมเพิ่มรายได้ในร้านขายยาของตระกูลหงขึ้นมากกว่าเดิม
นี่เป็นเพียงแค่อำนาจของชื่อเสียงเท่านั้น พวกเขาก็สามารถใช้มันเพิ่มพูนรายได้ขึ้นมา สมกับเป็นจิ้งจอกเฒ่าของตระกูลหงจริงๆ
เมื่อครบเจ็ดวันการแข่งขันคัดเลือกคนที่จะไปเข้าร่วมการประลองระหว่างตระกูลก็มาถึง
ณ ลานประลองของตระกูลหง
คนจำนวนมากต่างพากันมาชุมนุม บ้างก็มาเพื่อแข่งขัน บ้างก็มาช่วยสนับสนุน และบ้างก็มาเพื่อชมดูความสนุกสนานของงานประลองคัดเลือก แน่นอนว่าจำนวนผู้ชมย่อมมีมากที่สุด
หงเซียวพร้อมกับเด็กหญิงทั้งสี่และหงหลงพากันมาเพราะว่าเขาเป็นผู้จัดการแข่งขันขึ้น คนในตระกูลที่เข้าร่วมมีจำนวนมากนับร้อยคน ส่วนผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสทั้งสี่นั้นไม่มีใครมาแม้แต่คนเดียว ดูท่าทางจะยุ่งอยู่กับการบริหารการตลาด ขับเคี่ยวอยู่กับการแข่งขันตลาดสมุนไพรและตัวยา
ทุกคนที่เคยเห็นเครื่องราง เมื่อเห็นพัดที่หงเซียวถือพัดเบาๆด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ที่ด้ามของมันประดับไปด้วยอัญมณีหลากสีเพียงแค่ปราดเดียวพวกเขาก็ดูออกทันทีว่านี่เป็นเครื่องราง เช่นเดียวกับที่ในร้านอัญมณี และเมื่อพวกเขามองไปยังเหมยเหมยที่สวยสด กับจินหลินที่น่ารักดูแก่นแก้ว พวกเขาก็ยิ่งตะลึงเมื่อพบว่าที่ข้อมือของจินหลินมีกำไลมากถึงสามสี่วง ส่วนเหมยเหมยเธอจะประดับปิ่นปักผม ต่างหู กำไล สร้อยคอ ดูล้วนเป็นเครื่องรางทั้งหมด
หงหลงก็ดูเหมือนว่าจะไม่น้อยหน้า แขนของเขาทั้งสองข้างสวมปลอกแขนหนังสัตว์อสูร ประดับไปด้วยอัญมณี มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นเครื่องราง พู่ห้อยเอวของเขาก็เป็นเครื่องรางด้วยเช่นกัน
ที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็คือซีชี่ กับ ซิ่วจู พวกเธอเป็นเด็กหญิงรับใช่ไม่ใช่เหรอ แต่ดูเหมือนว่าจำนวนเครื่องรางบนตัวเธอไม่ได้ด้อยไปกว่านายของพวกเธอเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะซิ่วจูที่มีมากถึงห้าชิ้นขณะที่หงเซียวมีเพียงแค่พัดเท่านั้นที่เป็นเครื่องราง นี่ใครกันแน่ที่เป็นนายเป็นบ่าว พวกเขาต่างพากันคิดเช่นนั้น
เมื่อเวลามาถึง หงเซียวก็ก้าวขึ้นบนเวที และกล่าวว่า “ยินดีต้อนรับทุกคนที่ต้องการจะเข้าร่วมการคัดเลือกหาผู้ที่จะไปประลองระหว่างตระกูล ข้า หงเซียว รู้สึกซาบซึ้งกับความตั้งใจของทุกคนที่เข้าร่วมในครั้งนี้ ดังนั้น ข้าจึงจะแจกหินปราณให้ทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ คนละหนึ่งก้อน”
เสียงฮือฮาพลันกระหึ่ม คุณชายหงเซียวใจกว้างมาก ถึงกล้าแจกหินปราณนับร้อยก้อน ดูท่าคุณชายท่านนี้จะร่ำรวยมาก ดูจากเครื่องรางที่ผู้ติดตามของเขาทุกคนใช้ ทำให้ทุกคนอยากเป็นผู้ติดตามหงเซียวไปด้วย
การพูดเช่นนี้ของเขาทำให้ภาพพจน์ของเขา คุณชายเจ้าสำราญ เปลี่ยนเป็นที่ชื่นชอบของคนที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบห้าทุกคน กลายเป็นไอดอลของพวกเขาไปในทันที
“หากว่ามีใครคนใดสามารถเอาชนะคนอื่น ได้เป็นหนึ่งในแปดของผู้ที่ได้ไปประลองระหว่างตระกูล ข้าจะแจกเครื่องรางให้คนละชิ้น” หงเซียวปลุกระดมต่อ
เสียงฮือฮาที่เพิ่งเงียบไปเพื่อฟังหงเซียวพูดพลันกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง และยิ่งทวีความเร่าร้อนของการแข่งขันมากยิ่งขึ้น
“การแข่งขันนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งก็คือสิ่งที่พวกเจ้าคาดหวังไว้ การประลอง ส่วนที่สองก็คือ ความรู้ด้านสมุนไพร และส่วนที่สามก็คือ ความรู้ด้านสัตว์อสูร ดังนั้นผู้ที่พ่ายแพ้การประลองก็จงอย่าเสียใจ เพราะว่ายังมีการแข่งขันความรู้ด้านสมุนไพร และความรู้ด้านสัตว์อสูรอยู่ และผู้ที่ได้คะแนนรวมสูงสุดแปดคนจะเป็นผู้ชนะ”
คนที่คิดว่าจะเข้าร่วมการประลองเพื่อหาประสบการณ์นั้นพลันมีความหวังขึ้นมาในทันใด
“การประลองนั้นจะจัดขึ้นภายในวันนี้ สู้ให้ชนะ แต่อย่าให้ถึงชีวิต หากทำร้ายผู้อื่นจนถึงสิ้นชีวิตจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน จำไว้ว่าทุกคนคือคนในตระกูลเดียวกัน จงสามัคคีกันไว้” หงเซียวกล่าว
“ทุกคนจะมีสิทธิ์แพ้ได้เพียงสามครั้ง ทุกคนจะได้สู้กับคนที่มีแต้มชนะเท่ากัน และจะไม่มีการกลับมาพบกันอีก อาวุธที่ใช้ไม่มีการจำกัด รวมไปถึงอาวุธลับ การต่อสู้แบบสกปรก เพราะว่าการเอาตัวรอดเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย” เขาย้ำ
“เริ่มจากการจับฉลาก ผู้ที่มีหมายเลขตรงกันจะได้พบกัน เริ่มได้” หงเซียวกล่าวเปิดการประลอง
พ่อบ้านได้จัดสนามประลองไว้นับร้อยสนาม เพียงพอสำหรับการประลองไปพร้อมๆกัน ทั้งหมดทุกคู่ ทุกสนามจะมีกรรมการคอยตัดสินอยู่หนึ่งคน
ไม่นานนักการจับฉลากก็เริ่มขึ้น และการต่อสู้ในแต่ละสนามก็เริ่มขึ้น เสียงเฮก็ดังขึ้นเป็นระยะ โดยสี่เด็กสาวต่างพากันเดินไปดูสนามที่ตนเองสนใจ แล้วชี้ชวนดูอย่างสนุกสนาน
หงเซียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน มือหนึ่งถือพัดคอยโบกอย่างช้าๆ ขณะที่ค่อยลิ้มชิมน้ำชาร้อนหอมกรุ่นอย่างมีความสุข