DTH ตอนที่ 20 เกือบจะเสียหน้า
“นายน้อยหลิน ได้โปรดบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้รีไม่” เหลียง อี้ชูถามอย่างอ่อนโยนและสง่างาม
เขาดูราวกับว่าไม่ได้มีอคติอะไรกับนายน้อยหลิน
แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะอาศัยอยู่ในเมืองหยูฉาง
แต่จำนวนครั้งที่พวกเขาพบกันมันก็น้อยมาก
แต่เมื่อเร็วๆนี้การกระทำของหลิน ฟานได้รับความสนใจจากเหลียง อี้ชู เพราะเขารู้สึกว่าอุดมการณ์ของพวกเขาทั้งสองคนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงอยากจะทำความรู้จักเอาไว้
ในเวลาเดียวกันเขาก็นับถือหลิน ฟานมาก
เพราะหลิน ฟานกล้าทำในสิ่งที่เขาคิด ในขณะที่เขาคิดแต่ไม่กล้าทำ
นี่คือส่วนที่แตกต่างระหว่างพวกเขา
“ข้าไม่ได้มีความประทับใจที่ดีนักต่อตระกูลเหลียงของเจ้า เนื่องจากก่อนหน้านี้น้องชายของเจ้ามาดูถูกข้า ข้าจึงสั่งสอนเขาและทำให้เขาอับอาย”
“แต่ข้าเห็นว่าเจ้าน่าจะเป็นคนดี ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าหนีไปซะก่อนที่ข้าจะให้ลูกพี่ลูกน้องของข้าทำให้เจ้าอับอาย”
หลิน ฟานไม่ได้ให้ทางเลือกกับเขา
เพราะว่านอกจากตระกูลหลินแล้วเมืองหยูฉางยังมีตระกูลอีกสองตระกูลนั่นก็คือตระกูลเหลียงและตระกูลหยวน
ถ้าเขาไม่เล่นกับคนพวกนี้สักหน่อย ชีวิตของเขาก็คงจะขาดสีสันแย่
และการที่นายน้อยของตระกูลเหลียงมาพบกับเขาเป็นการส่วนตัวแบบนี้
เขาจะต้องทำเป็นไม่สนใจเรื่องนี้งั้นเหรอ?
การแสดงออกของเหลียง อี้ชูยังคงเหมือนเดิม เขาไม่ได้โกรธและเพียงพูดขอโทษออกมาเท่านั้น “ข้าเข้าใจบุคลิกของน้องสามดี และบางทีเขาก็ทำมากเกินไป”
“ข้าต้องขอโทษแทนเขาด้วยและข้าจะเป็นคนชดเชยให้นายน้อยหลินเอง”
หลิน ฟานมองไปที่ผู้จัดการเฉิน
จากนั้นก็มองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขา
และสุดท้ายก็โกวชิ
เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนคนนี้กัน?
เขาต้องจริงจังขนาดนี้ไหม?
หรือว่านี่คือคำพูดและท่าทางปกติของเขา เพราะถ้าตามความเป็นจริงคนที่ได้ยินคำพูดของข้าจะต้องโกรธแค้นข้ามาก
แต่ทำไมชายตรงหน้าเขาถึงไม่โกรธเลยสักนิด?
และเขาก็ไม่ได้รับคะแนนความโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว
นี่เขาไม่โกรธเลยสักนิดจริงดิ?
ด้วยเหตุผลบางอย่างหลิน ฟานไม่ต้องการจะคุยกับชายคนนี้ เพราะเขารู้สึกว่าต่อให้เขาพูดไปมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถทำให้นายน้อยคนนี้โกรธได้
“เจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลเหลียงจริงๆงั้นรึ?” หลิน ฟานถาม
เขารู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อถือเล็กน้อย
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดต่อกับพวกขุนนางมากนัก แต่เขาก็รู้ว่าตระกูลขุนนางในเมืองหยูฉางปฏิบัติต่อคนธรรมดาโหดร้ายและรุนแรงขนาดไหน
และเหลียง หยงฉีก็เป็นตัวอย่างที่ดี
ในฐานะนายน้อยสามมันจึงไม่มีใครนอกจากตัวเขาเองที่จะระงับทัศนะคติที่หยิ่งแบบนั้น
ในฐานะนายน้อยตระกูลหลินเขาอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับนัก
เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ใคร เขาก็อาจจะถูกมองว่าเป็นขยะอยู่ดี
“มันคือความจริง” เหลียง อี้ชูยิ้ม
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมเพราะหลิน ฟานไม่ได้เชิญให้เขานั่ง
นิสัยแบบนี้มันน่ารำคาญนิดหน่อย
ในฐานะนายน้อยที่ร่ำรวยเขาจึงไม่มีเพื่อน
เขาเพียงแค่อยากจะเถียงกับคนอื่นและพาลูกพี่ลูกน้องของเขาไปรังแกคนที่เขาเถียงด้วยเพื่อความสนุกเท่านั้น
แต่วันนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเป้าหมายของนายน้อยตระกูลเหลียงคนนี้คือการมาเป็นเพื่อนกับเขา
ข้าควรให้โอกาสเขารึไม่?
หลิน ฟานเงยหน้าขึ้นมองเขา
เหลียง อี้ชูกำลังยิ้มอยู่ รอยยิ้มของเขาดูจริงใจและไม่มีการหลอกลวงอยู่ในนั้น
ถ้าเหลียง อี้ชูมีเจตนาไม่ดีจริงๆ เขาคงจะโกรธไปแล้วเมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้
แต่ชายคนนี้ก็ไม่ได้โกรธจริงๆแล้วแบบนี้เขาควรจะทำยังไงต่อไปดี?
“นั่งสิ” หลิน ฟานพูด
“ขอบคุณ” เหลียง อี้ชูยิ้มและนั่งลง “ข้าบังเอิญได้ยินเรื่องที่พี่หลินทำเมื่อเร็วๆนี้และข้าก็รู้สึกนับถือท่านจริงๆ”
ดังนั้นเขาจึงมาเพราะเรื่องนี้
แต่ที่เขาพูดมามันก็เป็นเรื่องจริงเพราะช่วงนี้เขาค่อนข้างมีชื่อเสียง
คนทั่วไปยังรู้จักเขาและเขาก็ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป
“มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าแม้แต่จะกล่าวถึง” หลิน ฟานยิ้มและชี้ไปยังผู้ลี้ภัย “เมื่อข้ามองไปยังพวกเขาข้าก็คิดถึงปู่ของข้า เพราะท่านก็เป็นผู้ลี้ภัยเช่นเดียวกัน”
“ตระกูลเหลียงของเจ้าก็น่าจะมาจากผู้ลี้ภัยดังนั้นเจ้าน่าจะเข้าใจความรู้สึกของข้า”
สิ่งที่เขาพูดมันเป็นความจริง เพราะไม่ว่าตระกูลจะมีมายาวนานแค่ไหนแต่ต้นตระกูลควรจะมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน
เหลียง อี้ชูคิดเกี่ยวกับมันสักครู่ก่อนที่เขาจะพูดออกมา “พี่หลินคำพูดของท่านมันฟังดูมีเหตุผล และแม้ว่าตระกูลเหลียงของข้าจะเป็นขุนนางมาสามชั่วอายุคนแล้ว แต่ข้าก็สามารถเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของท่านได้”
“เพราะเมื่อตอนที่ปู่ของท่านยังเด็ก ครอบครัวของท่านยากจนมากจนไม่มีจะกินและแม้แต่เสื้อผ้าดีๆก็ยังไม่มีใส่ ปู่ของท่านเป็นคนสร้างตระกูลหลินมาด้วยสองมือ ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างชื่นชมเขา”
หลิน ฟานตกตะลึงกับคำพูดของเขา
เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร?
เขาพูดว่าตระกูลเหลียงของเขาเป็นขุนนางมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขามีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของข้า
ถ้าเหลียง อี้ชูมีระบบสนับสนุนขนาดเล็กเหมือนกับเขา
เขาคงจะได้รับคะแนนความโกรธเพิ่มขึ้น6,666
เพราะคำพูดของเขามันแรงมาก
หลิน ฟานไม่ต้องการจะคุยกับเหลียง อี้ชูอีกต่อไปเพราะเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง
“พี่หลิน ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องภาษีฟาร์มมาสักพักแล้วและข้าก็คิดว่าวิธีการของท่านนั้นดีที่สุด”
“ตอนนี้ตระกูลชนชั้นสูงกำลังกดขี่พลเรือนอย่างหนักถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปมันอาจจะทำให้พวกเขาคิดก่อกบฏ และเราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะมีมังกรซ่อนตัวอยู่ในหมู่พวกเขาไหม”
“และเพราะในตัวของท่านมีสายเลือดของสามัญชนอยู่ แม้ว่ามันจะไม่มาก แต่มันก็ยังมี”
“พี่หลินจึงนำเรื่องนี้มาพิจารนาด้วยใช่รึไม่?”
เหลียง อี้ชูมั่นใจมากว่านายน้อยหลินคนนี้เป็นคนที่มองการณ์ไกล
หลิน ฟานอายเล็กน้อยเนื่องจากคำพูดที่เหลียง อี้ชูพูดออกมา
นี่เขากำลังพูดเรื่องอะไรอยู่?
สิ่งที่เขาพูดมามันไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยสักนิด ที่เขาทำแบบนั้นลงไปเพราะเขาแค่ว่างและอยากจะได้คะแนนความโกรธก็เท่านั้น
ในตอนนั้นเขาเพียงแค่สงสารผู้ลี้ภัย ส่วนจะมีมังกรอยู่ในหมู่พวกนั้นรึไม่เขาไม่ได้สนใจมันมาตั้งแต่แรกแล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฟังคำพูดของเขาแล้ว หลิน ฟานก็ไม่ได้พูดหรือปฏิเสธอะไร เขาเพียงแค่ดื่มชาพร้อมกับมีร้อยยิ้มที่ดูมั่นใจบนใบหน้าของเขา
การคาดเดาของเขาถูกต้อง
เพราะนายน้อยหลินยังคงทำตัวปกติ และไม่ได้พูดแย้งออกมาเลยสักคำเดียว
ในตอนนี้เหลียง อี้ชูมีความมั่นใจมากขึ้นว่านายน้อยจากตระกูลหลินคนนี้ไม่ธรรมดา คุณปู่หลินคนนั้นจะมีลูกหลานเป็นขยะได้อย่างไร?
เขาเก่งจริงๆที่สามารถซ่อนเรื่องนี้จากทุกคนได้
“เฮ้อ” เหลียง อี้ชูถอนหายใจจากนั้นก็ส่ายหัว “พี่หลินความคิดของท่านได้เปิดโลกให้ข้าจริงๆ เพราะถึงแม้ว่าข้าจะเป็นนายน้อยของตระกูลเหลียง มันก็มีบางสิ่งที่ข้าสามารถคิดแต่ไม่สามารถทำได้”
ที่เขาพูดมามันเป็นเรื่องจริง
การต่อสู้ในตระกูลเหลียงมันรุนแรงมาก
“เจ้าจะสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เมื่อเจ้าขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเหลียง” หลิน ฟานพูด
“ข้าหรือ?” เหลียง อี้ชูยิ้มและส่ายหัว “ข้าไม่สามารถทำได้”
“อย่างแรกเจ้าต้องมีความมั่นใจเสียก่อน เพราะถ้าหากเจ้าไม่ลอง เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่สามารถทำได้? เมื่อเจ้ากลับไปก็ลองเอาเรื่องที่ข้าบอกไปคิดดู” หลิน ฟานพูดและทำท่าทางบอกให้เขาจากไปได้แล้ว
เขาไม่อยากจะคุยกับนายน้อยคนนี้อีก เพราะเขาไม่ได้ให้คะแนนความโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นข้าจะคุยกับเขาไปเพื่ออะไร?
เขาไม่ได้เปิดโอกาสให้ข้าได้รับคะแนนเพิ่มเลยดังนั้นมันจึงน่าเบื่อจริงๆ
เหลียง อี้ชูป้องกำปั้น “งั้นข้าจะไม่ขอรบกวนพี่หลินแล้ว และเนื่องจากไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้ดังนั้นข้าจะขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงผู้ลี้ภัยที่พี่หลินเชิญมาเอง”
“เจ้าแน่ใจ? มื้อนี้มันมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อยสองร้อยเงินเลยนะ” หลิน ฟานพูด
“ฮ่าฮ่า” เหลียง อี้ชูยิ้ม “ข้ามีเงินออมอยู่ประมาณหนึ่งหมื่น ดังนั้นเรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหา และเพราะว่าข้าชอบคุยกับท่านมันจึงคุ้มค่า”
“ลาก่อน”
หลังจากสิ้นเสียงเหลียง อี้ชูก็เดินลงบันไดไป
หลิน ฟานมองไปยังเหลียง อี้ชูด้วยความตกใจ
ทำตัวเท่?
เขาทำตัวเท่ต่อหน้าข้าแน่นอน
เพราะว่าเขามีเงินอยู่หนึ่งหมื่น ดังนั้นเงินไม่กี่ร้อยมันจึงไม่ใช่ปัญหา
โอพระเจ้า!
ครั้งก่อนที่พ่อดุเขามันมีต้นเหตุมาจากเงินเพียงไม่กี่ร้อย เขารู้สึกว่าช่องว่างระหว่างพวกเขามันใหญ่มาก!
“ผู้จัดการเฉินในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้าประหยัดเงินได้มาแค่ไหน?” หลิน ฟานถาม
ผู้จัดการเฉินพูดเบาๆ “นายน้อย ท่านไม่มีเงินเก็บ”
หลิน ฟานตกตะลึง มันเป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกถึงช่องว่าง
ถ้าหากไม่นับเรื่องความสูง และไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์
เขาก็ยังคงร่ำรวยกว่าข้าอยู่ดี
โชคดีที่เขาไม่ได้ทำตัวหยิ่งและบอกว่าจะไม่เป็นเพื่อนกับคนที่มีเงินน้อยกว่า เพราะทุกคนมีเงินมากกว่าเขา
ครั้งนี้เขาเกือบจะเสียหน้า
“ลูกพี่ลูกน้อง ข้ามีเงินออมอยู่เล็กน้อย ถ้าท่านต้องการข้าสามารถมอบมันให้ท่านได้” โจว เชียงเหมาพูด
“เจ้ามีอยู่เท่าไหร่?” หลิน ฟานถาม
โจว เชียงเหมาคิด “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้ามีเงินเก็บอยู่ประมาณ1,220”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลิน ฟานก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
จากที่ฟังมาเขาเป็นคนที่จนที่สุดในที่นี่ใช่ไหม?
และเป็นคนที่ต้องการเงินมากที่สุด?