ตอนที่ 25 พวกเราถือได้ว่าเป็นศัตรู...
เสี่ยวเอ้อที่ยังมิได้แปลงกายกลับสู่สภาพปกติเดินเนิบนาบไปหาพวกโม่ข่า รูปลักษณ์ดุร้ายน่าเกรงขามของมันสร้างความหวาดกลัวอย่างมหาศาลให้แก่พวกเขาจนถึงกับขาอ่อนยวบไปอยู่ที่พื้น
“พะพะ... พี่ใหญ่... เฟ.. เฟย.. มะ..มัน”
โม่ข่าพูดติดอ่างกระตุกทั่วร่างหลังจากถูกจ้องมองโดยเสี่ยวเอ้อ ใบหน้าของพวกเขาแทบจะแนบชิดติดกัน
“เสี่ยวเอ้อ พอได้แล้ว เจ้าต้องแบกพวกมันกลับหากพวกมันหมดสติ”
เสียงของป๋ายเสี่ยวเฟยดังขึ้น จากนั้น ‘พยัคฆ์กลืนอัสนี’ หดตัวลงช้าๆ ภายใต้สายตาไม่อยากจะเชื่อของทั้งสาม ในที่สุดก็กลับเป็นเสี่ยวเอ้อตามเดิม
ต้องรอให้เสี่ยวเอ้อเลียหน้าเขาอยู่หลายคราก่อนสติสตังจะกลับคืนสู่ตัวโม่ข่า
“ข้า..ฝันไป?”
โม่ข่าขยี้ตาตนเอง ยังคงรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยและไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ สือขุยและหวู่จื๋อก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
“ไปเถอะ พวกเจ้ารอให้หมาป่าวายุกลับมาหรือไร!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยถามในใจเต็มไปด้วยโทสะจากลูกถีบของหูเซียนเอ๋อเมื่อครู่ แต่เขาไม่มีที่ให้ระบาย
ในระหว่างทางกลับสถาบันชิงหลัว โม่ข่าและพวกกลับมาเป็นเด็กน้อยขี้สงสัยอีกครั้ง หากแต่จุดศูนย์กลางของคำถามในครานี้คือเสี่ยวเอ้อ
ถึงแม้ป๋ายเสี่ยวเฟยจะรำคาญเป็นอย่างมากแต่การตอบคือตัวเลือกเพียงอย่างเดียว มิเช่นนั้นเสี่ยวเอ้อคงมีชะตากรรมถูกเจ้าสามวายร้ายจับกุมตัวไปชำแหละเป็นแน่แท้
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวคำ ‘ลอกเลียนแบบ’ ทั้งสามตกตะลึงถึงขั้นยืนโง่งมอยู่นาน
นักเชิดหุ่นสายมายาไม่เคยถูกมองในแง่ดีมาก่อน ยกเว้นก็เพียงแต่สายมายาแขนงลอกเลียนแบบ และเพราะความผิดปกตินี้เองที่ทำให้หลายคนถึงกับเสนอแนะให้ย้ายลอกเลียนแบบออกจากสายมายา แต่ข้อเสนอแนะพวกนั้นถูกปฏิเสธ
อย่างไรก็ตามความ ‘โกง’ ของแขนงลอกเลียนแบบเพียงพอให้ป๋ายเสี่ยวเฟยราวกับเป็นสมบัติไม่ว่าจะเป็นกับองค์กรใด!
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงหอพัก ป๋ายเสี่ยวเฟยหยุดเดินโดยพลันใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนจางแฝงด้วยความชั่วร้าย
“พวกเจ้าคิดว่าพวกมันจะทำความสะอาดห้องเราหรือไม่?”
โม่ข่าและพวกชะงักนิ่งครุ่นคิดอยู่นาน
“พวกมันอาจไม่ทำแต่พวกมันล้อมพวกเราแน่”
โม่ข่าเป็นคนแรกที่ตอบ สือขุยและหวู่จื๋อพยักหน้าเห็นด้วยแต่หลังจากนั้นสือขุยก็พลันเปลี่ยนเป็นส่ายหัวแทน
เขากล่าว
“พวกมันจะไม่กลัวเรื่องจะซ้ำรอยรึ?”
โม่ข่าพูดไม่ออกเมื่อได้ยินที่สือขุยพูด และก็เป็นเช่นนั้นจริงแท้ ขนาดโม่ข่าเองก็ยังหาวิธีจัดการระเบิดเหม็นโฉ่ไม่ได้
“เหตุใดเราไม่มาพนัน? ข้าพนันว่าพวกมันไม่เพียงทำความสะอาดห้องให้แต่พวกเราทั้งสี่จะยังสามารถหลับอย่างสงบได้ในคืนนี้ หินชิงหลัวสองก้อนเป็นเช่นไร?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยถูมือทั้งสองปากเผยให้เห็นเขี้ยว
เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านข้างพยายามอย่างหนักในการส่ายหัวไปหาพวกโม่ข่า น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ทันสังเกต
เมื่อพวกเขาได้ยินก็หันหน้ามามองกันก่อนจะพินิจพิจารณาถึงข้อได้ข้อเสีย
ส่วนแรกของการพนันไม่ยากนักเพราะหากไม่เกิดสิ่งนอกเหนือการคาดเดาขึ้นและจางชิงซานกับพวกไม่อยากถูกหัวเราะเยาะโดยคนอื่น พวกเขาจะต้องทำความสะอาดเพื่อลบกลิ่นออกจากร่างแน่นอน แต่เรื่องที่พวกเขาจะไม่ก่อปัญหาคงเป็นไปไม่ได้
“ตกลง ข้าพนัน!”
โม่ข่าเป็นคนแรกที่ตอบ ในฐานะ ‘สมอง’ ของทั้งสาม เขาประสบความสำเร็จชักจูงอีกสองคนมาเข้าร่วมด้วย
ในครู่ต่อมาทั้งสามต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการตัดสินใจครั้งนี้
เพราะภายใต้การควบคุมของป๋ายเสี่ยวเฟย เสี่ยวเอ้อเปลี่ยนร่างอีกครั้ง และร่างในครั้งนี้คือฉินหลิงหยาน!
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าจำได้หรือไม่ แต่คนที่ข้าตบหน้าเอ่ยถึงพี่ของมัน หากข้าคาดไม่ผิดพี่ของมันจะต้องเป็นศิษย์พี่แต่เพราะศิษย์ปีสองมีความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีการถ่อมาถึงหอพักเด็กใหม่เพื่อรังแกไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชม เช่นนั้นหากจะมีคนมาช่วยต้องเป็นศิษย์ปีหนึ่งเป็นแน่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยหยุดชั่วครู่
“และหากเป็นศิษย์ปีหนึ่ง ใบหน้านี้ไม่ต่างไปจากใบผ่านทาง!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มจางต่างจากพวกโม่ข่าที่ความเจ็บปวดมีให้เห็นทั่วใบหน้า
‘พวกเราถามเรื่องนี้ไปแล้วระหว่างทาง เหตุใดจึงลืมเสี่ยวเอ้อไปได้!’
แต่ยังมีอีกสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่คาดคิด เป็นสิ่งนี้เองที่ผลักเขาตกลงไปยังเหวลึก
ทั้งสี่... เอ่อ... ทั้งห้าเดินเข้าไปในหอพักศิษย์ใหม่ พวกนักเรียนคนอื่นที่เห็นต่างก็เผยสีหน้า ‘หวาดกลัว’ เหตุผลไม่ใช่อื่นใดนอกจาก ‘ฉินหลิงหยาน’ !
‘ศิษย์พี่หญิง!?’
‘มายังหอพักชาย!?’
‘ศิษย์พี่หญิงในปัจจุบันสง่าผ่าเผยขนาดนี้เชียวรึ!?’
‘บัดซบ! พวกมันไม่เหมือนหนุ่มรูปงามสักนิด... ศิษย์พี่หญิงผู้นี้ตาบอดหรือไร!?’
...
การคาดเดาและสนทนาเริ่มขึ้นตั้งแต่ชั้นแรกไปจนถึงชั้นแปด มีกระทั่งผู้คนที่วิ่งออกจากห้องหลังจากได้ยินข่าวด้วยซ้ำ
ในชั่วขณะหนึ่ง กลุ่มป๋ายเสี่ยวเฟยทั้งสี่กลายเป็นเป้าท่ามกลางพายุสายตาของผู้คน
“พี่ใหญ่เฟยท่านสนิทสนมกับศิษย์พี่หญิงผู้นี้หรือ?”
ก่อนพวกเขาจะเดินเข้าไปในห้อง โม่ข่ารู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อยเพราะด้วยบทสนทนาที่เขาได้ยินตลอดทั้งทางมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องนี้จะไม่รั่วไหลไปภายนอก หากศิษย์พี่หญิงนางนี้มาทวงคืนความแค้น พวกเขาคงต้องลำบากเป็นแน่แท้
“หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด พวกเราสามารถกล่าวได้ว่าเป็นศัตรู”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะที่บ้านร้อยรสของฉินหลิงหยานพลันปรากฏขึ้นในใจ หากนางทำได้นางคงสั่งสอนบทเรียนหนักให้ป๋ายเสี่ยวเฟยไปแล้วในตอนนั้น บทเรียนที่ตายยังดีเสียกว่า!
โม่ข่าชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะระเบิดเสียงหัวร่อออกมา
“พี่ใหญ่เฟย เลิกล้อเล่นเสียที...”
‘ใช่! เขาต้องกำลังล้อเล่นอยู่แน่ๆ!’
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น หากเจ้าไม่เชื่อก็รอจนถึงวันพรุ่งนี้ ดูจากนิสัยของนาง นางจะต้องมาหาเรื่องพวกเราแน่นอน”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวจบ ทั้งสามเบิกตาโพลงจ้องมองเขาอย่างโง่งมในฉับพลันพวกเขาถอยห่างจากเสี่ยวเอ้อออกไปอย่างน้อยห้าเมตร
“ช้าไปแล้ว มีผู้คนมากมายเห็นหน้าพวกเจ้า เจ้ายังจะไปหลบที่ใดได้อีก?”
คำพูดสั้นๆ ของป๋ายเสี่ยวเฟยดับความหวังสุดท้ายอันริบหรี่ของพวกโม่ข่าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
“พี่ใหญ่เฟย เหตุใดท่านจึงไม่บอกพวกข้าก่อนเล่า? ท่านกำลังขุดหลุมสู่ความตายให้พวกเรา!”
โม่ข่ารู้สึกถึงความชั่วร้ายของป๋ายเสี่ยวเฟยอีกครา ปิศาจตนนี้จะไม่สังหารเจ้าแต่จะทำให้เจ้าเจ็บปวดยิ่งกว่าตาย...
“ข้าสาบานว่าครั้งนี้ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยผายมือพลางทำหน้าใสซื่อไร้เดียงสา
“ตอนแรกข้าเพียงจะใช้ความโด่งดังของศิษย์พี่หญิงผู้นี้ทำให้พวกมันกลัว แต่มันสายไปเสียแล้วเมื่อข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดแปลกๆ”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวราบเรียบ พวกโม่ข่าไม่เห็นความกลัวในสายตาแม้แต่น้อย
“ท่านไม่กลัวว่าศิษย์พี่หญิงผู้นี้จะก่อเรื่องให้ท่านหรือ?”
“มีอะไรให้กลัว? เรื่องมันเกิดไปแล้วกลัวไปจะได้อะไร? อีกอย่างหากข้าไม่ทำเช่นนี้พวกเจ้ามีวิธีจัดการพวกมันหรือไม่?”
ทั้งสามตกอยู่ในความครุ่นคิดอยู่นาน พวกเขาได้คำตอบอย่างหนึ่ง
เขาไม่อาจหนีไปไหนได้...
“ใจเย็น ใจเย็น สวรรค์เมตตาคนดีอยู่แล้ว จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเมื่อมีข้าอยู่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับกำลังหยิบยื่นฟางเส้นสุดท้ายให้ทั้งสาม
แต่สำหรับพวกโม่ข่า ฟางเส้นนี้ช่างเปราะบางเหลือเกิน...