RC:บทที่ 12 ความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวเฮ่ย
RC:บทที่ 12 ความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวเฮ่ย
“ไม่มีอะไรหรอก แล้วผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง!” พูดจบ หลินเฟิงก็วางของทุกอย่างลงและกลับไปพักผ่อนที่ห้องของเขา
แต่ในเวลานี้นั้น หลินเฟิงหยุดยืนอยู่ข้างๆ แม่ของเขา
“เสี่ยวเฟิง เห็นเสี่ยวเฮ่ยไหม? แม่ไม่เห็นมันทั้งวันเลยนะ นี่คงไม่ถูกพวกพ่อค้าหมามาเอาไปแล้วนะ!” แม่ของเขากล่าวอย่างกังวล
“เสี่ยวเฮ่ย โอ้ เกือบลืมไปเลย!” เมื่อหลินเฟิงได้ยินแม่ของเขาพูดถึงเสี่ยวเฮ่ย เขาจึงเพิ่งนึกได้ว่าเสี่ยวเฮ่ยนั้นได้เลียน้ำยาสีแดงไปเมื่อวานนี้ เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันตื่นหรือยังในตอนนี้
“โอ้ เสี่ยวเฮ่ยงั้นหรือ มันสบายดี ผมล่ามโซ่มันไว้ที่สนามหลังบ้านน่ะ แต่ผมก็เตรียมอาหารไว้ให้มันแล้วด้วยนะ ไม่ต้องห่วง!” หลินเฟิงอธิบาย
เมื่อได้ยินคำของหลินเฟิง แม่ของเขาก็ค่อยสบายใจขึ้น เมื่อหลินเฟิงเดินกลับไปที่สนามหลังบ้าน เขามุ่งไปที่คอกของเสี่ยวเฮ่ย แต่เมื่อเขาไปถึงที่นั่นเขากลับไม่เห็นเสี่ยวเฮ่ยเลย
“เจ้าดำน้อย เจ้าดำน้อย?” เมื่อไม่เห็นเสี่ยวเฮ่ย หลินเฟิงก็เกือบจะตะโกนออกมา
อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขานั้นอยู่กับครอบครัวของเขาเป็นเวลานานและก็มีความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งช่วยไม่ได้เลยที่จะรู้สึกสับสนเล็กน้อย
แต่หลังจากที่หลินเฟิงตะโกนเรียกหลายต่อหลายครั้ง มีเสียงสะท้องกลับมาจากป่าทางด้านหลังของภูเขา พร้อมกับเสียงเห่าของสุนัข หลินเฟิงรู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสี่ยวเฮ่ย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเฮ่ยปรากฏตัวขึ้น หลินเฟิงถึงกับต้องขยี้ตาด้วยความสงสัย เพราะว่าเจ้าหมาสีดำที่ปรากฏอยู่ในระยะไกลนั้นช่างใหญ่กว่าเสี่ยวเฮ่ย
เสี่ยวเฮ่ยและหลินเฟิงนั้นคุ้นเคยกันมาก เขาพามันขึ้นไปบนเขาเพื่อล่าสัตว์และพาไปว่ายน้ำที่แม่น้ำในเวลาที่เขาไม่มีอะไรทำ เขานั้นคุ้นเคยดีกับรูปร่างของเสี่ยวเฮ่ย
แต่เจ้าหมาสีดำตัวใหญ่ที่กำลังวิ่งมาหาเขานี้ช่างใหญ่โตเสียเหลือเกิน มันดูเหมือนเสือชีตาร์สีดำในระยะไกลๆ
แขนขาที่ดูล่ำสัน กล้ามเนื้อที่พัฒนา ขนเดิมของมันที่มีเพียงบางๆ ก็ได้หายไปแล้ว กลับกลายมาเป็นขนที่สั้น มีสีสว่างและดูสมบูรณ์แบบ
เดิมทีร่างสีดำนั้นห่างจากหลินเฟิงเป็นร้อยเมตร แต่ในเวลาเพียงสิบวินาทีมันก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลินเฟิงและเร่งฝีเท้าเข้ามาหา
โชคดีที่หลินเฟิงจดจำและคุ้นเคยกับความรู้สึกร่าเริง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะกลัวที่จะปล่อยให้สุนัขดุร้ายเข้าใกล้
“นี่แกคือเสี่ยวเฮ่ยใช่ไหม?” หลินเฟิงรู้สึกตกตะลึงที่เห็นร่างของยักษ์ใหญ่ตัวสีดำและเอ่ยปากถามมัน
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!” เสี่ยวเฮ่ยร้องออกมาอย่างมีความสุข และหางของมันก็คอยแกว่งอยู่ตลอดเวลา
สิ่งนี้ทำให้หลินเฟิงมั่นใจว่ามันคือเสี่ยวเฮ่ย แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ช่างใหญ่เกินกว่าที่คนจะยอมรับได้
ตัวของมันนั้นสูงเกือบจะเท่าไหล่ของหลินเฟิงซึ่งสูงมากกว่าเก้าสิบเซนติเมตร และน้ำหนักของมันก็อย่างต่ำคือหนึ่งร้อยห้าสิบหกจิน ซึ่งมันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมัน
“นี่แกกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนี่? นี่เป็นเพราะแกเลียน้ำยาสีแดงเมื่อวานอย่างนั้นหรือ?”
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน เสี่ยวเฮ่ยก็เปลี่ยนไปอย่างมาก มันทำให้เขานึกถึงต้นองุ่นที่เขาได้หยดน้ำยาสีเขียวลงไปและพวกมันก็เติบโตเป็นองุ่นต้นยักษ์อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าน้ำยาสีแดงคงจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!” ดูเหมือนว่าเสี่ยวเฮ่ยจะตอบกลับคำพูดของเขาและคอยตะโกนตอบกลับเขา
“โอ้ มานี่สิ คงไม่มีผลข้างเคียงอะไรนะ!” หลินเฟิงกำลังจะเดินไปดูต้นองุ่น แต่เจ้าเสี่ยวเฮ่ยก็คาบขากางเกงของเขาไว้ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป
“อ้าว เสี่ยวเฮ่ย นี่แกทำอะไรของแก?”
เมื่อเห็นดังนั้นหลินเฟิงจึงลูบหัวของเสี่ยวเฮ่ย เมื่อเสี่ยวเฮ่ยยอมปล่อยขากางเกงของเขาแล้วมันก็ยังคงเห่าไม่หยุด
“เอาล่ะ หยุดเห่าได้แล้วและเล่นรอไปก่อน เดี่ยวฉันจะกลับมาเล่นด้วยตอนที่ฉันเสร็จงาน!” ไม่ว่าหลินเฟิงจะพูดอย่างไรก็ตามทันทีที่เขาหันหลังกลับ เสี่ยวเฮ่ยก็จะคาบขากางเกงของเขาไว้และไม่ยอมปล่อยให้เขาไป
“โอ้ เสี่ยวเฮ่ย นี่แกต้องการที่จะทำอะไรกันแน่?” หลินเฟิงพูดออกมาด้วยความสงสัย
ปกติแล้วเสี่ยวเฮ่ยจะไม่ทำอะไรแบบนี้ ซึ่งมันทำให้หลินเฟิงสงสัยว่ามันต้องการที่จะสื่ออะไรกับเขา
แน่นอนว่าเมื่อสิ้นเสียงของหลินเฟิง เสี่ยวเฮ่ยก็วิ่งไปที่ใต้ต้นองุ่นโดยมีขวดเล็กอยู่ภายในปากและวิ่งกลับมาอยู่ตรงหน้าของหลินเฟิง พร้อมกันส่งเสียงเห่าอยู่ตลอดเวลา
“แกต้องการนี่งั้นหรือ?” หลินเฟิงถาม
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!” เสี่ยวเฮ่ยพยักหน้ารับและเห่าออกมา
ในตอนนี้หลินเฟิงรู้สึกว่าเสี่ยวเฮ่ยนั้นไม่ปกติเสียแล้ว ราวกับว่ามันเข้าใจในสิ่งที่หลินเฟิงพูด
“ก็ได้!” จากนั้นหลินเฟิงจึงหยิบเอาขวดน้ำยาสีแดงออกมาจากกระเป๋า และเพียงแค่นำมันออกมา เสี่ยวเฮ่ยก็เดินเข้ามาหาและเลียอย่างตื่นเต้น
“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะเอาให้แกนะ!” หลินเฟิงเทน้ำยาสีแดงออกมาจนหมดและป้อนให้กับเสี่ยวเฮ่ย
หลังจากที่เสี่ยวเฮ่ยกินจนหมด มันก็ล้มลงกับพื้นเป็นเวลากว่าสองนาที เหมือนกับคนเมาที่นอนอยู่บนพื้น
“ทำไมแกตัวหนักอย่างนี้เนี่ย!” หลินเฟิงกำลัวอุ้มเจ้าดำน้อยด้วยน้ำหนัก 150 จินจนใบหน้าของเขาแดงก่ำ เจ้าดำน้อยของเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำหนัก แม้แต่คนหนุ่มอย่างหลินเฟิงก็ยังอุ้มมันอย่างยากลำบาก
เขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการลากมันกลับเข้าไปในคอก และหลินเฟิงก็พบว่าตัวของมันนั้นเกือบจะเข้าไปอยู่ไม่ได้เพราะว่าขนาดตัวของมันใหญ่เกินไป
หลังจากที่แก้ปัญหาให้เสี่ยวเฮ่ยได้แล้ว หลินเฟิงก็ตรงไปยังต้นองุ่นที่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาไปถึงต้นองุ่น หลินเฟิงก็ได้พบกับสิ่งใหม่ องุ่นที่เพิ่งจะถูกเก็บไปได้ออกดอกตูมใหม่ขึ้นอีก และพวกมันก็ออกดอกบานสะพรั่งแล้ว หลินเฟิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกมันจึงได้โตเร็วนัก
หลินเฟิงคาดคะเนว่าถ้าตามอัตราการเจริญเติบโตเช่นนี้แล้ว อีกประมาณสักห้าหกวันเขาก็จะสามารถเก็บผลผลิตได้อีกครั้ง มันช่างเป็นต้นองุ่นที่น่ามหัศจรรย์เสียเหลือเกิน
ลูกองุ่นในสนามหลังบ้านของหลินเฟิงนั้นอาจจะมีปริมาณมากกว่า 200 จินเลยก็ได้ในตอนนี้ แต่วงจรการเจริญเติบโตขององุ่นนั้นช่างเร็วอย่างน่าทึ่ง มันสามารถที่จะโตและสุกได้ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขาจะมีเงินสดอยู่ในกระเป๋า
ถ้าองุ่นถูกขายได้จนหมดก็จะเป็นเงินถึงสองพันหยวนต่อวันซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าที่จะคิดมาก่อนเลย
ในเวลานี้ยังคงมีขวดน้ำยาสีเขียวเจ็ดขวดและขวดน้ำยาสีแดงอีกสี่ขวอยู่ในมือของหลินเฟิง ซึ่งหมายความว่าเขาสามารถที่จะสร้างต้นองุ่นเช่นนี้ได้อีกเจ็ดต้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลินเฟิงก็เริ่มลงมือทำ หลินเฟิงมองหาพื้นที่ในสนามหลังบ้าน
บ้านของหลินเฟิงนั้นอยู่ในชนบท ตั้งอยู่ในจังหวัดจี เมืองฉิงเฟิง หมู่บ้านลั่วหยาง จังหวัดจีตั้งอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เศรษฐกิจของสถานที่เหล่านี้ค่อนข้างล้าหลังและมีประชากรอาศัยอยู่ไม่หนาแน่นนัก หลายสถานที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา ดังนั้นจึงยังคงเป็นสถานที่ดั้งเดิมที่ค่อนข้างแห้งแล้ง เช่น ภูเขาและแม่น้ำ
มีผู้คนอาศัยอยู่ทางด้านหลังภูเขาของครอบครัวหลินเฟิง ซึ่งถึงแม้จะมีแต่ก็มีน้อยมาก ด้วยสิ่งแวดล้อมเช่นนี้มันก็เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะเพาะปลูกผลไม้และพืชอื่นๆ ในเขาเขตของหลินเฟิง
ไม่นานนักหลินเฟิงก็พบพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกในสนามหลังบ้านของเขาและเขาก็ไปที่ป่าไผ่เพื่อที่จะตัดต้นไผ่เพื่อมาสร้างเป็นตะแกรงรองต้นองุ่นเพิ่มเติม
หลินเฟิงใช้เวลาสองวันในการสร้างเถาองุ่นอีกเจ็ดต้น
สำหรับการปลูกองุ่นนั้น หลินเฟิงไม่ได้ซื้อเมล็ดพันธ์มา เขาตัดกิ่งองุ่นและปักกิ่งนั้นลงบนพื้นดิน เทน้ำยาในขวดสีเขียวลงไป และปล่อยให้มันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
อัตราการเจริญเติบโตนั้นแม้ว่าหลินเฟิงจะเคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว มันช่างไม่น่าเชื่อเพราะว่ามันเติบโตเป็นต้นองุ่นต้นใหญ่ในเวลาเพียงสองสามชั่วโมง ซึ่งดูเหมือนว่าต้นองุ่นทั้งหมดนั้นกำลังออกดอกบานสะพรั่งพร้อมที่จะให้ผลผลิตแก่เขาแล้ว