บทที่ 154 กิเลนทมิฬ
เจียงอี้ไม่ได้บ่มเพาะพลังในช่วงเย็น มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในวันนี้ซึ่งทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบ
ซูรั่วเสวี่ยได้กลับไปก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของนางที่ยังคงติดอยู่บนเสื้อผ้าอาภรณ์ของเขา
เจียงอี้นั่งอยู่ภายในห้องซึ่งอยู่ในถ้ำหิน ดวงตาของเขาปิดสนิทในขณะที่กำลังหวนรำลึกถึงภาพที่เขาถูกซูรั่วเสวี่ยสวมกอดและเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกเหล่านั้น
เจียงอี้อายุครบสิบหกปีบริบูรณ์และย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเต็มตัว แม้ว่าจะคลุกคลีอยู่กับเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องเกี่ยวกับหญิงชายมากนัก แน่นอนว่าในเรื่องของความรัก เขาอาจจะถูกนับว่าเป็นคนที่โง่งมอย่างสงสาร
ซูรั่วเสวี่ยกับเจียงอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน พวกเขาผ่านประสบการณ์มาด้วยกันมากมายและยังเกิดเหตุการณ์ที่น่าอึดอัดอยู่หลายครั้ง
เกี่ยวกับอาจารย์ผู้นี้ เจียงอี้ไม่กล้าที่จะคิดเป็นอื่นใด บางทีอาจจะเป็นเพราะความแตกต่างระหว่างพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซูรั่วเสวี่ยใช้เวลาส่วนมากของนางในการหลีกเลี่ยงเขา
ยังมีเหตุผลอีกหลายประการที่เจียงอี้คิดว่าตนไม่คู่ควรกับซูรั่วเสวี่ย
ประการแรก เขาเป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าอันต่ำต้อยที่ถูกรังแก, ถูกเยาะเย้ยและถูกเหยียดหยามมาเกือบทั้งชีวิต เขารังเกียจการคบค้ากับเหล่านายน้อยและคุณหนูจอมเสเพลทั้งหลาย
ประการที่สอง เขาเป็นลูกนอกสมรสที่ไม่มีใครต้องการและเป็นที่เกลียดชัง
เจียงอี้รู้มานานแล้วว่าซูรั่วเสวี่ยมีสถานะที่พิเศษมาก ครั้งหนึ่งเฉียนว่านก้วนเคยบอกเขาเกี่ยวกับภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาของนาง
การที่นางครอบครองศาสตร์ลับที่น่าเกรงขามอย่างแสงแห่งเสน่ห์เทวะ นั่นก็หมายความว่านางจะต้องไม่ได้มาจากตระกูลธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ เจียงอี้ยังต้องหาทางรักษาเจียงเสี่ยวนู๋ อีกทั้งเขายังมีศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะขบคิดเรื่องความรักมากนัก
ปัง!
พลุสัญญาณถูกยิ่งขึ้นไปและระเบิดกลางอากาศเป็นแสงสว่างปกคลุมครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า วินาทีนั้นเจียงอี้รีบดึงสติกลับมาพร้อมกับประกายแสงแห่งความเย็นชาที่แวบผ่านม่านตาของเขา จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป
“นายน้อยอี้ มีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยความเร็วที่สูงขอรับ!”
เฉียนคุนรีบรายงานเมื่อเจียงอี้เดินออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็ใช้สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์ตรงหน้าและเอ่ย
“เฉียนคุน พวกเจ้าทั้งหมดรีบไปหาที่ซ่อนก่อน”
“นายน้อยอี้!!” เฉียนคุนอุทานแต่ก็ไม่ได้ขยับทันที
“นี่เป็นคำสั่ง!”
เจียงอี้ไม่มีเวลาให้อธิบาย เขาวาดมือออกไปข้างหน้าและตะโกน “มีใครบางคนกำลังมาสร้างปัญหาให้กับข้า พวกเจ้าไม่สมควรเข้ามามีส่วนร่วม รีบไปได้แล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉียนคุนก็ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก เขาและคนที่เหลือต่างก็รีบถอยห่างและแยกกันซ่อนตัวตามซอกหินหรือพุ่มไม้ในป่า
ในเวลาเดียวกัน กริชสีแดงก็ปรากฏอยู่ในมือของเจียงอี้พร้อมกับทอดสายตามองไปข้างหน้า
“ใครกันที่กล้ามาหาเรื่องข้าในตอนนี้?”
เจียงอี้มีศัตรูอยู่มากมาย อาทิเช่น ตระกูลหม่าและตระกูลเจียงแห่งเมืองเทียนอวี่ ตระกูลจ่างซุนหรือแม้แต่เจียงนี่หลิว แต่ถึงอย่างนั้น คนพวกนี้ก็ไม่น่าจะมีความกล้ามากพอที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา เพราะอย่างไรเสียความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาในตอนนี้ก็เทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุด
สำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว นอกจากตระกูลจ่างซุนแล้ว ยังมีใครที่สามารถเรียกกองกำลังระดับนี้ออกมาได้อีก? แต่จุดที่น่าสงสัยก็คือ… ตระกูลจ่างซุนจะยอมเสี่ยงที่จะสร้างความโกรธแค้นให้กับเจียงเปี๋ยหลีโดยการสังหารเขาเลยหรือ?
ช่างมันเถอะ อีกไม่นานคำตอบก็จะถูกเปิดเผย!
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดทอลงมา สิ่งมีชีวิตสีดำตัวหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ มันมีลำตัวที่สูงประมาณสามเมตรและยาวถึงสองเมตร อีกทั้งยังดูเหมือนว่ากลิ่นอายของมันจะดุดันยิ่งกว่าหมาป่าจันทราสีเงินเสียอีก
สัตว์อสูรตนนี้มีรูปกายที่ประหลาดนัก มันมีหัวที่ดูคล้ายกับสิงโต, เขากวาง, ดวงตาราวกับพยัคฆ์และมีรูปร่างเหมือนกับม้าซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเกร็ดของมังกร
กิเลนทมิฬ?
ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลง ครั้งหนึ่งเขาเคยอ่านเกี่ยวกับสัตว์อสูรชนิดนี้มาก่อน มันเป็นสัตว์อสูรระดับสามและยังถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์อสูรดุร้าย แต่แน่นอนว่ามันไม่น่ากลัวเท่ากับจิ้งจอกวิญญาณสามหาง
ว่ากันว่ากิเลนทมิฬสามารถบ่มเพาะพลังและพัฒนาไปเป็นสัตว์อสูรระดับสี่อย่างกิเลนม่วงหรือสัตว์อสูรระดับห้าอย่างกิเลนเพลิงได้เลยทีเดียว
เจียงอี้กวาดสายตาของกิเลนทมิฬจนสุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ร่างของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังของมัน
หญิงสาวผู้นี้มีความงามที่น่าตกตะลึง ผิวพรรณของนางเนียนขาวราวกับหิมะยังมีใบหน้างดงามซึ่งเทียบได้กับซูรั่วเสวี่ย แต่นางก็มีการแต่งตัวที่ดูเป็นเอกลักษณ์
ชุดยาวสีเขียวซึ่งมีกระดิ่งเล็กๆที่เป็นสีเดียวกันประดับอยู่ด้านข้าง ที่คอของนางถูกแขวนไว้ด้วยสร้อยคอสีเงินพร้อมกับผมเผ้าที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีต่างหูสีเงินขนาดใหญ่สองข้าง
“โฮกกก!”
ร่างของกิเลนทมิฬยังคงเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ขณะที่ดวงตาของมันก็จับจ้องไปที่ร่างของเจียงอี้ซึ่งยืนอยู่บนผาหินและคำรามออกมาด้วยเสียงอันกึกก้อง
ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปด?
ไม่เพียงแค่กิเลนทมิฬเท่านั้น แต่หญิงสาวที่เป็นเจ้านายของมันก็จ้องเขม็งมาที่เจียงอี้พร้อมกับขมวดคิ้ว จากนั้นนางก็บังคับให้กิเลนทมิฬหยุดขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากับเจียงอี้จากระยะไกล
กิเลนทมิฬกลายเป็นสัตว์วิญญาณไปแล้ว? ข้าไม่คิดว่าจะมีใครในสำนักจิตอสูรที่สามารถสยบสัตว์อสูรที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้? หญิงสาวผู้นี้ทำอย่างไรถึงได้กำราบมันได้?
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาไม่มั่นใจว่านางมีเป้าหมายอะไรกันแน่
หญิงสาวจดจ้องเจียงอี้อยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยถาม “เจ้าคือเจียงอี้ ศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูร?”
เจียงอี้ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินหญิงสาวเอ่ยนามเขาออกมา แต่ไม่ว่าจะนึกยังไง เขาก็มั่นใจว่าตัวเองไม่รู้จักหญิงสาวผู้นี้ เขาจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ข้านี่แหละเจียงอี้ แต่ข้าไม่ขอรับชื่อศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งอะไรนั่น ช่างมันเถอะ ว่าแต่แม่นางต้องการอะไรจากข้าหรือ?”
“เจ้าคือเจียงอี้จริงๆสินะ หึหึ!”
ดวงตาของหญิงสาวเผยให้เห็นความเย็นชาขณะที่กล่าวตา “ข้ามีนามว่าสุ่ยเชียนโหรวจากหอดาราสุ่ยเยว่! เจียงอี้ เจ้าจงจำชื่อนี้ไว้ให้ดี มิฉะนั้นเจ้าอาจจะตายโดยที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของคนที่ฆ่าเจ้า!”
ครื้นนนน!
เมื่อสิ้นสุดประโยค สุ่ยเชียนโหรวก็ใช้มือของนางมาสัมผัสที่สร้อยคอ ทันใดนั้นสร้อยคอก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสีขาวออกมาและยิงเข้าใส่เจียงอี้ทันที
“เวรเอ้ย!”
เจียงอี้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวจากสร้อยคอเส้นนั้น ลำแสงสีขาวที่ถูกยิงออกมายังมีรัศมีที่ไม่ด้อยไม่กว่าพลังของตราประทับผู้ปกครอง สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปและใช้ความเร็วทั้งหมดเพื่อกระโดดลงจากหน้าผา
ตู้มมม!
สร้อยคอที่ถูกเปลี่ยนเป็นลำแสงสีขาวพุ่งเข้าชนผาหินและทำให้เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ ผาหินทรุดตัวลง ครึ่งหนึ่งของมันถูกทำลาย ในเวลาเดียวกันเศษหินนับไม่ถ้วนก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
“บัดซบ!”
เมื่อเจียงอี้ลงมาถึงพื้น เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองและเห็นผาหินอีกครึ่งที่กำลังร่วงหล่นลงมา โดยไม่จำเป็นต้องคิด เขารีบดีดตัวขึ้นมาและวิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง
ตู้มมมมมมมม!
เมื่อผาหินอีกครึ่งหนึ่งตกลงมาถึงพื้น มันก็ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งป่าพร้อมกับบริเวณโดยรอบที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นควัน ในตอนนี้ เจียงอี้รู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต
สุ่ยเชียนโหรวอาจจะมีรูปลักษณ์ที่งดงามราวกับหยกล้ำค่า แต่กลับมีจิตใจที่อำมหิตยิ่งนัก แม้ว่าจะเป็นเพียงการพบเจอกันครั้งแรก แต่นางก็ลงมืออย่างไร้ปรานีเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากเจียงอี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดีพอ ป่านนี้เขาคงจะกลายเป็นเนื้อบดไปแล้ว
แม่นางสุ่ยเชียนโหรวผู้นี้ดูอ่อนวัย แต่ไม่น่าเชื่อว่านางจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุดแล้ว เมื่อพิจารณารวมกับสัตว์วิญญาณระดับสามและสิ่งประดิษฐ์ที่ทรงพลังซึ่งเทียบได้กับตราประทับผู้ปกครอง แม้ว่าเจียงอี้จะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหอดาราสุ่ยเยว่มาก่อน แต่เขาก็พอคาดเดาได้แล้วว่าภูมิหลังของนางจะต้องน่าเกรงขามมากเป็นแน่
แต่แล้วยังไงล่ะ?!
กลิ่นอายของเจตจำนงสังหารระเบิดออกมาจากร่างของเจียงอี้อย่างท่วมท้น เขาไม่สนว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป็นธิดาของจักรพรรดิหรือบุตรตรีของพระเจ้า แต่เนื่องจากนางต้องการที่จะสังหารเขาก่อน เช่นนั้นนางก็คงต้องแบกรับผลที่จะตามมาด้วยเช่นกัน!