บทที่ 153 สุ่ยเชียนโหรว
ณ โรงเตี๊ยมที่โอ่อ่าหรูหราที่สุดในเมืองจิตอสูร โรงเตี๊ยมจันทรา
ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมจันทราในยามนี้นั้นเอือมระอาเกินกว่าจะทนมองได้ กลุ่มนายน้อยต่างพากันสังสรรค์และละทิ้งศีลธรรมทั้งหมดในขณะที่ทำสิ่งลามกอนาจารกับเหล่าโสเภณีที่อยู่ข้างกายพวกเขา
โสเภณีส่วนใหญ่มีเสื้อผ้าที่ไม่เป็นระเบียบ และยังมีหญิงโสเภณีอีกหนึ่งหรือสองคนที่เปลื้องผ้าในขณะที่ถูกวิ่งต้อนและถูกกระเซ้าเย้าแหย่โดยนายน้อยหลายคน ฉากทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่น่าละอายยิ่งนัก
ณ ที่นั่งเจ้าของโรงเตี๊ยมก็คือเจ้าก้อนไขมัน เขาไม่มีโสเภณีนางใดอยู่ข้างๆกายเขา ข้างกายเขามีแต่หญิงรับใช้คนหนึ่งที่คุกเข่าและรินเหล้าให้แก่เขา เขายิ้มตาหยีและมองไปที่ภาพที่ดูต่ำทราม และยกดื่มชนแก้วกับเหล่านายน้อยเป็นครั้งคราว บางครั้งเขาก็จะกระซิบกับนายน้อยที่มาชนแก้วกับเขา แล้วต่างก็จบด้วยเสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายจากทั้งคู่
หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เฉียนว่านก้วนไม่ค่อยกลับไปที่สำนักเท่าไหร่นัก เขาไม่คุ้นเคยกับวันที่ไม่มีเจียงอี้ เขาอาจจะอยู่ที่โรงเตี๊ยมจันทราระยะยาว เหมาชั้นบนสุดและเหล่าโสเภณีในเมืองทั้งหมด เขาจะเชิญเหล่านายน้อยเจ้าสำราญในสำนักมาดื่มและหาความเพลิดเพลิน
โดยปกติแล้ว เขาไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าและเขาก็ไม่ชอบใจกับเหตุการณ์ที่มีตัณหาจัดเช่นกัน เขารู้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีความสามารถมากนักและเป็นขยะที่ไม่มีโอกาสได้เป็นหัวหน้าตระกูล เขารู้ดีมากไปกว่านั้นว่าไม่มีใครในพวกเขาที่เป็นคนดีและทุกคนเต็มไปด้วยแผนการชั่วร้าย
เป็นกรณีที่คนดีอยู่ไม่นาน ในขณะที่คนชั่วนั้นจะยงคงกระพันเป็นพันๆปี พวกมักมากกลุ่มนี้มีความเชี่ยวชาญในการวางแผนและจะเสพสุขอยู่ในตระกูลของพวกเขา หากเขาต้องการสร้างความสัมพันธ์กับสหายเช่นนี้ แน่นอนว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้เป็นอันตรายต่อตระกูลเฉียน
ไอ้พวกลูกหมา!
เฉียนว่านก้วนสังเกตว่ามีนายน้อยคนหนึ่งหยดน้ำตาเทียนไปบนตัวหนึ่งในโสเภณี ทำให้นางกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดในขณะที่นายน้อยคนอื่นๆต่างรื่นเริงไปกับการแสดง
ดวงตาของเขามองสิ่งนี้ด้วยความรังเกียจ แต่แสร้งทำเป็นลดศีรษะลงและดื่มไวน์ของเขา เขาพึมพำกับตัวเอง "เฮ้ออ ไอ้พวกหน้าโง่ คงสบายกว่านี้หากข้าได้อยู่กับลูกพี่ ข้าสงสัยจังว่าลูกพี่กำลังทำอะไรอยู่บนภูเขา"
"ชู่ว ชู่ว!"
ในขณะนั้น คนรับใช้คนหนึ่งของตระกูลเฉียนเข้ามาจากประตูด้านข้างและเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ เขากระซิบใส่หูของเฉียนว่านก้วน "ท่านประมุขน้อย เราได้รับจดหมายรายงานจากภูเขา มันระบุว่านายน้อยอี้เพิ่งจะทำให้หมาป่าจันทราสีเงินเป็นสัตว์วิญญาณของเขา!"
"แกร๊งง!"
เฉียนว่านก้วนเสียสมาธิขณะที่มือที่มีแต่ไขมันสั่นไหว ถ้วยไวน์ของเขาชนกับโต๊ะทองสัมฤทธิ์และเปล่งเสียงที่คมชัดดึงดูดสายตานายน้อยนับไม่ถ้วน
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ !"
เฉียนว่านก้วนลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกปิติ เขารินไวน์หนึ่งถ้วยแล้วยกแก้วขณะหัวเราะอย่างเต็มที่ "ทุกคน ชนแก้ว ข้าจะเหมาโรงเตี๊ยมนี้อีกสามวันเพื่อให้ทุกคนเสพสุขได้อย่างเพลิดเพลิน!"
มันเป็นเงินขี้ปะติ๋วมากที่จะเหมาโรงเตี๊ยมและเหล่าโสเภณีเพิ่มอีกวัน เมื่อทุกคนได้ยินถึงความมีน้ำใจจากเฉียนว่านก้วนแล้ว ทุกคนต่างก็ดีใจและชนแก้วของพวกเขาในขณะที่ปรบมือให้
เฉียนว่านก้วนชนแก้วสามรอบก่อนที่จะลดเสียงของเขาและกล่าวกับคนรับใช้ของตระกูลเฉียน "เรียกผู้อาวุโสหลิวมา ข้าต้องการไปที่ภูเขาเดี๋ยวนี้ ลูกพี่น่ากลัวเหลือเกิน นั่นคือสัตว์อสูรขั้นสามที่เร็วที่สุด ข้าสงสัยว่าเขาจับมันได้อย่างไร"
"นี่มัน…"
คนรับใช้ของตระกูลเฉียนมองไปที่ท้องฟ้าที่มืดสลัวและลังเล "ท่านประมุขน้อย พรุ่งนี้น่าจะดีกว่าขอรับ ท้องฟ้ามืดแล้วและข้าเกรงว่าผู้อาวุโสหลิวจะพักผ่อนอยู่"
"โอ้!"
เฉียนว่านก้วนมองออกไปนอกหน้าต่างและนั่งลงด้วยความรู้สึกที่เบื่อหน่าย เขาลืมว่าเขามอบโสเภณีสองคนให้ผู้อาวุโสหลิวไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาคิดว่าตอนนี้ผู้อาวุโสหลิวคงกำลังจะต้องใช้เวลาอย่างหนักเพื่อทดสอบว่าดาบเพชรของเขานั้นยังคมอยู่หรือไม่ มันคงไม่เหมาะสมที่จะไปขัดขวางเขาในตอนนี้
เจ้าอ้วนนั่งลงพร้อมความรู้สึกเบื่อและเริ่มดื่มอีกครั้ง ความฉลาดของเขาที่ได้รับการยกย่องจากตระกูลตั้งแต่อายุยังน้อยช่วยให้เขาลุกขึ้นยืนได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เริ่มดื่มอวยพรและทักทายทุกคนอีกครั้ง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา คนรับใช้ของตระกูลเฉียนก็เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับแสดงความเสียใจ เขากระซิบไปยังเฉียนว่านก้วนอย่างรวดเร็ว "ท่านประมุขน้อย เราได้รับรายงานมาว่าแม่นางสุ่ยเชียนโหรวเพิ่งเข้ามาที่เมืองทางประตูเหนือ!"
"สุ่ยเชียนโหรว?"
ความเย็นชาส่องประกายแวววับในดวงตาของเฉียนว่านก้วน เขามีสีหน้าที่ตกใจซึ่งกลายเป็นความโกรธทันทีและเขาตำหนิออกมา "พวกเจ้านี่ใช้ไม่ได้กันหมดแล้วเรอะ? ไม่ใช่ว่านางอยู่ในเมืองจักรพรรดิมาพักหนึ่งหรือ? จู่ๆนางจะมาโผล่ที่เมืองจิตอสูรนี่ได้อย่างไรกัน? ไม่มีพวกเจ้าคนใดมีข้อมูลเลยสักคนรึไง ฮื๊อ?"
คนรับใช้ตระกูลเฉียนรู้สึกละอายและยกกำปั้นป้องขึ้นมา "ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ"
"ไสหัวไปซะ!"
เฉียนว่านก้วนลดเสียงของเขาและออกคำสั่ง "ให้ใครสักคนติดตามและหาที่อยู่ของนางทันที และมารายงานข้าทันทีที่ได้รับข้อมูล"
หลังจากคนรับใช้กลับลงไป เฉียนว่านก้วนยกแก้วของเขาและกัดริมฝีปาก ดวงตาของเขาพยายามตั้งสมาธิในขณะที่เขาพึมพำ "ผู้หญิงคนนั้นมาทำอะไรในเมืองจิตอสูร? นางจะเดินทางมาจากเมืองจักรพรรดิโดยไม่มีข่าวได้อย่างไร? ใครช่วยนางปกปิดที่อยู่ของนางกัน? เป็นไปได้ไหมว่า ... นางมาที่นี่เพื่อท้าทายลูกพี่? ไม่ได้การณ์ล่ะ!"
เฉียนว่านก้วนยืนขึ้นและขอโทษกับตัวเอง เขารีบเดินไปที่ห้องใต้หลังคาแล้วโผล่ออกมาจากด้านนอกห้องบนชั้นสอง “ผู้อาวุโสหลิว มีบางสิ่งเกิดขึ้น ข้าต้องขึ้นไปบนภูเขาคืนนี้ ข้าต้องรบกวนท่านแล้ว!”
เสียงของผู้หญิงสองคนที่ทุลักทุเลจากห้องและเสียงของคนที่กำลังสวมเสื้อคลุม ในเวลาเพียงไม่นานประตูห้องก็เปิดออก และผู้อาวุโสเหล่าออกจากห้องด้วยความไม่พอใจขณะที่ถามว่า "ประมุขน้อย เกิดอะไรขึ้น?"
"ข้าขอโทษนะ ข้าจะหาโสเภณีให้สิบคนเลยเมื่อเรากลับมา! มา เราจะคุยกันไประหว่างทางนี่แหละ!"
เฉียนว่านก้วนพูดด้วยสีหน้าจริงจังขณะที่ร่างกายอ้วนๆของเขาเดินลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะได้ก้าวออกจากโรงเตี๊ยมจันทรา คนรับใช้ตระกูลเฉียนก็มากระซิบ "ท่านประมุขน้อย แม่นางสุ่ยเชียนโหรวได้ออกจากประตูเมืองทางใต้และกำลังมุ่งตรงไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬแล้วขอรับ!"
"นางมาที่นี่เพื่อตามหาลูกพี่!"
เฉียนว่านก้วนนั้นมีสีหน้าที่จริงจังมากขึ้น เขาตะโกนใส่ผู้อาวุโสหลิวผู้อยู่ข้างหลังเขา "ผู้อาวุโสหลิว ไปกันเถอะ!"
"ฟึ่บ!"
ผู้อาวุโสหลิวอุ้มเฉียนว่านก้วนและรีบตรงไปที่หุบเขาเมฆาทมิฬราวกับพายุระเบิด
...
ทวีปเทียนชิงนั้นมีขนาดใหญ่มากและปกครองโดยจักรวรรดิมังกรเวหาในนาม อันที่จริงมันมีการแบ่งแยกโดยเหล่าขุนพล ขั้วอำนาจทั้งหกที่สำคัญต่างก็อยู่ภายใต้การปกครองของตนเองและก่อตั้งประเทศของตนเองขึ้นมานับหมื่นปี และมันยังเป็นเพราะการแบ่งแยกนี้ที่ก่อให้เกิดกองกำลังต่างๆที่ไม่ได้เป็นของจักรวรรดิหรือขั้วอำนาจทั้งหกเฉกเช่นสำนักจิตอสูร
สำนักจิตอสูรอยู่ในอันดับที่สามและเห็นได้ชัดว่ามีสำนักที่สำคัญอีกสองอันดับ อันดับแรกคือสำนักมังกรเวหา และตามมาด้วยสำนักฮวาเหลี่ยง
ผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักทั้งสามแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากสิบอันดับต้นของทวีป อย่างรุ่นนี้ จูเก๋อชิงหยุนอยู่ในอันดับที่เจ็ด เจ้าสำนักมังกรเวหาอยู่ในอันดับที่สามและเจ้าสำนักฮวาเหลี่ยงอยู่ในอันดับที่ห้า
นอกเหนือจากสำนักหลักๆสามแห่ง ทวีปนี้ยังมีหอดาราหนึ่งแห่งและอารามอีกแห่งหนึ่งซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นอิสระจากจักรวรรดิและขั้วอำนาจต่างๆ
หอดาราสุ่ยเยว่และอารามเซน!
อารามเซนมีนักบวชเก่าแก่ที่มีข่าวลือว่ามีชีวิตอยู่นานกว่าสามร้อยปี เขามีความแข็งแกร่งและอยู่ในอันดับที่สองในทวีป ส่วนหอดาราสุ่ยเยว่ตั้งอยู่ ณ เกาะดาวตก ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีป สุ่ยโย่วหลาน เจ้าเกาะที่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของทวีป นั่นเป็นเพราะครั้งหนึ่งนางได้ทำลายจีวรของนักบวชผู้นั้นที่อยู่ในอารามเซน
ซึ่ง สุ่ยเชียนโหรวเป็นธิดาคนเดียวของสุ่ยโย่วหลาน!
นางมารน้อยนี้ปรากฏตัวในอาณาจักรเป่ยเหลียงเมื่อหนึ่งปีก่อนและเคยเป็นเด็กอัจฉริยะที่ท้าทายผู้คนตลอดทาง นางต่อสู้มากกว่ายี่สิบนัดและยังคงมีเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน จากอัจฉริยะยี่สิบคนของอาณาจักรเป่ยเหลียงที่ปะทะกับนาง มีสิบหกคนที่พิการไป
เหตุผลที่สุ่ยเชียนโหรวมุ่งหน้าตรงไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬคือมีบางคนผลักดันให้นางไปหาเจียงอี้ซึ่งเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูร นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเฉียนว่านก้วนต้องไปที่หุบเขาในคืนนี้
แน่นอน!
เฉียนว่านก้วนไม่ได้กลัวว่าสุ่ยเชียนโหรวจะทำให้เจียงอี้พิการ แต่เขากลัวว่าเจียงอี้ …จะฆ่าสุ่ยเชียนโหรวต่างหาก!