ตอนที่แล้วบทที่ 151 หมาป่าจันทราสีเงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 153 สุ่ยเชียนโหรว

บทที่ 152 ยัยผู้หญิงโง่


แม้ว่าจิ้งจอกน้อยจะกลับไปได้สักพักใหญ่ แต่เจียงอี้ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับคนไร้วิญญาณ ต้องยอมรับว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างใหญ่หลวง

หากเรื่องที่สัตว์อสูรต้องการจะคบหากับมนุษย์ในฐานะสหายถูกเผยแพร่ออกไป จะมีใครหน้าไหนยอมเชื่อ?

แม้จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าหากมีคนรู้ว่าจิ้งจอกวิญญาณสามหางมีสติปัญญาระดับสูงและสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอยู่ดี

“เชาวน์ปัญญาแห่งจิตวิญญาณ! ใช่แล้ว หมาป่าจันทราสีเงินเองก็เป็นสัตว์อสูรระดับสาม เป็นไปได้ไหมว่ามันจะครอบครองเชาวน์ปัญญาแห่งจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน?”

หัวใจของเจียงอี้ระส่ำระส่าย เขาหยิบเครื่องรางสัตว์วิญญาณขึ้นมาและถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไป จากนั้นก็ตะโกน

“จงออกมา! หมาป่าจันทราสีเงิน!”

ครื้นนน!

แสงสีทองสาดส่องออกมาจากเครื่องรางพร้อมกับร่างอันใหญ่ยักษ์ของหมาป่าที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเจียงอี้ หมาป่าจันทราสีเงินในยามนี้ไร้ซึ่งกลิ่นอายอันดุร้าย ในทางตรงกันข้าม มันจ้องมองมาที่เขาราวกับลูกสุนัขตัวหนึ่งที่รอคอยคำสั่งจากเจ้าของ

“หมาป่าจันทราสีเงิน เจ้าสามารถพูดได้ไหม?”

เจียงอี้เอ่ยถามอย่างไม่รีรอ แต่น่าเสียดายที่หมาป่าจันทราสีเงินทำราวกับไม่ได้ยินและยังคงมองมาที่เขาราวกับหมาโง่ เขาเกาศีรษะขณะที่ครุ่นคิดถึงวิธีการใช้กระแสจิตในการควบคุมสัตว์วิญญาณ เขาน่าจะสามารถสื่อสารกับมันผ่านทางกระแสจิตได้สินะ?

“หมาป่าจันทราสีเงิน วิ่งรอบตัวข้าเป็นวงกลม!”

เจียงอี้ออกคำสั่งภายในใจ จากนั้นปีศาจหมาป่าก็ยืนขึ้นด้วยขาทั้งสี่ข้างของมันและวิ่งวนรอบเจียงอี้ด้วยความเร็วซึ่งเทียบได้กับแสง มันใช้เวลาแค่เสี้ยววิเท่านั้นก่อนจะกลับมาอยู่ที่เดิม

“เจ้าหมา เจ้าสื่อสารกับข้าได้หรือไม่? ไหนลองพูดกับข้าสิ?”

เจียงอี้คิดในใจ แต่หมาป่าจันทราสีเงินก็ยังคงกระพริบตาปริบๆซึ่งก็ทำให้เห็นว่ามันไม่เข้าใจคำสั่ง เขาลองอีกหลายครั้งแต่ก็หมดปัญญา ดูเหมือนว่าหมาป่าจันทราสีเงินตัวนี้มีเชาวน์ปัญญาแห่งจิตวิญญาณ แต่ก็อยู่ในระดับที่ต่ำมาก มันไม่สามารถเข้าใจถึงคำสั่งที่ซับซ้อนได้

เมื่อเทียบกับจิ้งจอกน้อยแล้ว เจียงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความเศร้า ดูเหมือนว่าคงไม่ใช่สัตว์อสูรระดับสูงทุกตัวที่จะมีสติปัญญาที่เทียบได้กับมนุษย์

ในเมื่อไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เจียงอี้ก็เลือกที่จะละทิ้งข้อสงสัยทั้งหมดและเลือกที่จะเพลิดเพลินกับสัตว์วิญญาณตัวแรกของเขาแทน

“หมาป่าจันทราสีเงิน จงพาข้าวิ่งวนรอบบริเวณนี้!”

ตุบบ!

ในขณะที่หมาป่าจันทราสีเงินระเบิดความเร็วออกมาอย่างกะทันหัน เจียงอี้ผู้ซึ่งยังไม่ได้เตรียมตัวดีนักก็หงายหลังหน้าคะมำ ศีรษะของเขาทิ่มลงไปกับพื้น จากนั้นเขาก็รีบยันตัวขึ้นมาและตะโกนด้วยความโกรธปนอับอาย

“ไอหมาโง่ กลับมานี่ก่อน! เจ้าจะรีบไปไหน?!”

ฟึ่บ!

ปีศาจหมาป่าวกกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจียงอี้ก็กระโดดขึ้นไปบนตัวมันอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ที่ได้รับในคราวที่แล้ว สิ่งแรกที่เขาทำก็คือจับคว้าไปที่เขาบนหัวของมันและตะโกน “ไปเลย!”

ฟิ้ววว!

ร่างยักษ์ของหมาป่าจันทราสีเงินแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงและทะยานไปข้างหน้าราวกับพายุ ความเร็วของมันก่อให้เกินลมกรรโชกซึ่งทำให้เจียงอี้ไม่สามารถแม้แต่จะลืมตาได้

เพียงแค่พริบตาเดียว ไม่น่าเชื่อว่าหมาป่าจันทราสีเงินจะข้ามจากยอดเขาหนึ่งมาสู่อีกยอดเขาหนึ่งแล้ว

“กลับไป!”

เมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่เปลี่ยนผันไปในพริบตา ความปิติยินดีก็บังเกิดขึ้นในใจของเจียงอี้ ด้วยความเร็วระดับนี้ คาดว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เจ็ดหรือแปดก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะไล่ตามเขาทัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงอี้ก็แทบจะกู่ร้องด้วยความดีใจ

หมาป่าจันทราสีเงินเร่งความเร็วสูงสุด แต่เจียงอี้ก็ยังไม่พอใจ เขาสั่งให้มันวิ่งวนอยู่ในบริเวณนั้น แต่จู่ๆเมื่อเขาเดินผ่านพุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

“หยุด!”

เจียงอี้ใช้สายตาเพ่งเล็งไปที่พุ่มไม้ดังกล่าว ไม่นานนักใบหน้าของเขาก็ผุดรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์และดูชั่วร้ายออกมา เขาบังคับให้หมาป่าจันทราสีเงินย่องเข้าไปใกล้ๆอย่างเงียบๆ

“กรี๊ด—!”

ความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงินน่าตกตะลึงมาก เมื่อมันไปโผล่ที่ด้านหลังของพุ่มไม้ หญิงสาวที่หลบซ่อนตัวอยู่ก็ตื่นตกใจจนล้มลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา จากนั้นดวงตาของนางก็เปล่งแสงสีม่วงอันน่าพิศวงออกมา

แต่เมื่อนางเห็นร่างของเจียงอี้ที่อยู่บนหลังของปีศาจหมาป่า แสงสีม่วงเหล่านั้นก็จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยม่านตาที่เบิกกว้าง นางยกนิ้วอันเรียวงามชี้ไปที่เจียงอี้ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

“ยัยผู้หญิงโง่ ไม่ใช่ว่าข้าบอกให้เจ้ากลับไปที่ถ้ำหินแล้วรึ? ทำไมเจ้าถึงยังอยู่แถวนี้?”

เจียงอี้ตำหนินางขณะที่อมยิ้ม จากนั้นก็ยื่นแขนออกไป

“ขึ้นมาเถอะ ให้พี่ใหญ่คนนี้ไปส่งเจ้าดีกว่า ข้าจะให้เจ้าได้เห็นความเร็วของหมาป่าจันทราสีเงิน!”

“เจียงอี้ จะ… เจ้าทำยังไงถึงสยบหมาป่าจันทราสีเงินตัวนี้ได้?!” ซูรั่วเสวี่ยเอ่ยถามขณะที่ติดอ่างเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ในความตกใจ แต่นางก็ดูน่ารักและงดงามไปอีกแบบ

“ฮิฮิ!”

เจียงอี้ไม่ได้อธิบายและเอื้อมมือไปจับแขนของซูรั่วเสวี่ยจากนั้นก็ดึงนางขึ้นมาบนหลังของหมาป่าจันทราสีเงิน

“ว๊ายยย!”

เนื่องจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เสื้อผ้าของซูรั่วเสวี่ยไม่ได้ถูกจัดแจงดีนัก การขยับเร็วเกินไปเกือบทำให้กางเกงในของนางโผล่ออกมา

เมื่อนางขึ้นมานั่งบนหลังของหมาป่าแล้ว นางจึงชกไปที่หลังของเจียงอี้และก่นด่า “ไอ้บ้าเจียงอี้! เจ้าอยากตายรึยังไง? เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าข้าใส่กระโปรงอยู่!?”

“ฮ่าฮ่า!”

แน่นอนว่าเจียงอี้ไม่ได้ใส่ใจนักและหันกลับมาพร้อมกับหัวเราะ

“ยัยผู้หญิงโง่ เกาะไว้ดีๆล่ะ”

“ไปเลยเจ้าหมาป่า!”

“กรี๊ด—!”

ซูรั่วเสวี่ยตกใจและเกือบพลัดตกจากหลังของหมาป่าจันทราสีเงิน หากไม่ใช่เพราะเจียงอี้คว้าร่างของนางไว้ได้ทัน เกรงว่านางคงจะตกลงไปแล้ว

“กอดเอวข้าไว้!”

เจียงอี้ตะโกนขณะดึงร่างของนางกลับมา ทันใดนั้นซูรั่วเสวี่ยก็รีบโอบเอวของเจียงอี้โดยสัญชาตญาณ แม้ว่าเขาจะเป็นคนเอ่ยปากขอให้ทำเช่นนั้น แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสจากอ้อมแขนของนาง ร่างของเขาก็เกิดอาการสั่นสะท้านด้วยความประหม่า

ซูรั่วเสวี่ยยังคงอยู่ในความตกใจ ภายในใจของนางผุดคำถามขึ้นมามากมายเกี่ยวกับหมาป่าจันทราสีเงินตัวนี้

อย่างไรก็ตาม ซูรั่วเสวี่ยก็ยังคงกอดเจียงอี้ไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะตกลงไป ร่างของพวกเขาแนบชิดติดกัน แม้แต่หน้าอกของนางก็กดทับลงบนแผ่นหลังของเจียงอี้ตามจังหวะการเคลื่อนไหวของปีศาจหมาป่า

เมื่อตระหนักได้ถึงสิ่งที่สัมผัสกับแผ่นหลังของตัวเอง สีหน้าของเจียงอี้ก็เริ่มร้อนผ่าวพร้อมกับร่างกายที่แข็งค้าง แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมุ่งเน้นสมาธิไปที่การควบคุมปีศาจหมาป่า

ในทางเดียวกัน ใบหน้าของซูรั่วเสวี่ยกลายเป็นสีแดงราวกับกำลังถูกแผดเผา ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความอับอายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี  แต่ชั่วขณะต่อมา นางก็ถูกดึงดูดโดยวิสัยทัศน์รอบข้างซึ่งเปลี่ยนไปทุกเสี้ยววิราวกับว่ากำลังท่องอยู่ในห้วงของกาลเวลา

บรรยากาศในตอนนี้ช่างดูน่าเคลิบเคลิ้มและมหัศจรรย์อย่างประหลาด

หัวใจของพวกเขาทั้งสองตกอยู่ในความยุ่งเหยิง ไม่นานนักหมาป่าจันทราสีเงินก็ข้ามผ่านหลายยอดเขาจนในที่สุดก็มาถึงหุบเขาเมฆาทมิฬ ในฐานะที่เป็นสัตว์อสูรระดับสาม มันย่อมมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรชั้นสูงซึ่งสร้างความยำเกรงให้กับบรรดาสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่า

ดังนั้นทำให้ตลอดทางไม่มีสัตว์อสูรตัวใดกล้าที่จะขัดขวางหรือลอบโจมตีพวกเขา

หนึ่งรอบ, สองรอบ… ผ่านไปอีกรอบ

การแสดงออกของเจียงอี้ยังคงดูงุ่มง่ามขณะที่ซูรั่วเสวี่ยกลับคืนสู่ความสงบแล้ว ดวงตาอันงดงามของนางส่องประกายเล็กน้อย จากนั้นนางก็แนบใบหน้าไปที่แผ่นหลังของเจียงอี้และเฝ้ามองทิวทัศน์อย่างสงบ มันเป็นความรู้สึกที่ดูเหมือนว่าโลกกำลังเปลี่ยนผัน กาลเวลากำลังล่องลอย

ทันใดนั้นซูรั่วเสวี่ยก็เผลอคิดไปว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าพวกเขาวิ่งไปแบบนี้เรื่อยๆจนกว่าจะถึงสุดขอบโลก…?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด