ตอนที่ 21 สถานที่ไร้กฎ
จางชิงซานตอบโต้ในจังหวะแรกที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเริ่มเคลื่อนไหว แต่เขาก็ยังช้ากว่าป๋ายเสี่ยวเฟยอยู่ดี
เมื่อลูกบอลทรงกลมระเบิด กลิ่นเหม็นแสบพลันกระจายเข้าสู่จมูกเขาแทบจะในทันที
ตั้งแต่วันที่เขาเกิดมา จางชิงซานไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ากลิ่นเหม็นและกลิ่นเผ็ดแสบรวมกันจะเลวร้ายได้ขนาดนี้!
มันเลวร้ายถึงขนาดที่ว่าแค่หายใจก็เจ็บปวดจนอธิบายไม่ได้!
แต่ยังไม่จบ ไม่เหมือนจางชิงซาน ป๋ายเสี่ยวเฟยและพวกไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นแม้แต่น้อยและมีบางสิ่งกำลังพุ่งเข้าหาหัวของเขา มันคือเก้าอี้ไม้...
จางชิงซานอยากจะต่อต้าน ในฐานะนักเชิดหุ่นสายพิฆาตระดับเริ่มต้น เขามีพละกำลังอยู่ไม่น้อย เพียงแต่...
ต่อให้เป็นปรมาจารย์ก็มิอาจเคลื่อนไหวได้ในหากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา!
ปัง!!
เสียงกระแทกดังขึ้นมาตรงข้ามกับสติของจางชิงซานที่ดิ่งวูบลง
จางชิงซานเป็นเพียงคนแรกที่ถูกโจมตี
อีกเจ็ดคนที่เขาพามามีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะก๊าซที่ป๋ายเสี่ยวเฟยปล่อยกระจายไว้ทั่วห้อง
เสี่ยวเอ้อผู้มีความได้เปรียบจากร่างกายเล็กได้ย่องไปปิดประตูตั้งแต่วินาทีแรก ห้อง 807 กลายเป็นห้องปิดตายไร้ทางออกโดยสมบูรณ์แบบ
ในอีกด้าน พวกโม่ข่าไม่เข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาได้ยินสัญญาณโจมตีของป๋ายเสี่ยวเฟยชัดแจ๋ว
ในฐานะผู้ที่มีพลังต่อสู้มากที่สุดในกลุ่ม หวู่จื๋อกระโจนไปข้างหน้าทันที เป็นเวลานี้เองที่เขาสังเกตถึงบางอย่าง
‘เหตุใดคนพวกนี้ไม่โต้กลับ?’
‘เหตุใดพวกมันถึงอ้วกอาเจียน?’
‘เหตุใดเจ้านั่นถึงกับร้องไห้ออกมา?’
‘มันไม่โหดร้ายเกินไปหรือที่จะอัดพวกมันในสภาพนี้...’
ในวินาทีที่หวู่จื๋อลังเล เขาหันหลังกลับไปมองอีกสามคนและเมื่อเขาเห็นเก้าอี้และแท่งไม้ลอยไปทั่วห้องเขาระงับความคิดไร้เดียงสาของตนก่อนจะต่อยหมัดเหล็กออกไป...
ผลลัพธ์ของกลุ่มนักเชิดหุ่นระดับเริ่มต้นและกลางที่ยืนนิ่งให้ผู้ฝึกยุทธ์อัดเล่นน่ะหรือ...?
ในอดีตอาจจะไม่มีคำตอบ เพราะสถานการณ์แปลกประหลาดตรงหน้าไม่เคยเกิดขึ้น
แต่จากวันนี้ผู้ที่สร้างคำตอบไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวู่จื๋อ
ก๊าซเหม็นหายไปหมด กลุ่มทั้งสามของป๋ายเสี่ยวเฟยเหนื่อยถึงขั้นหอบหายใจ มีเพียงหวู่จื๋อที่เหงื่อออกเล็กน้อยเท่านั้น
ทุกตารางนิ้วภายในห้องไม่มีที่ใดไร้รอยขีดข่วน เตียงที่เพิ่งจัดตั้งอยู่ในสภาพเละเทะไม่ต่างไปจากของมือสอง บนพื้นเต็มไปด้วยของเสียจากอาเจียนและของเหลวแปลกประหลาดหลากสีสัน...
แต่เป็นในสถานการณ์น่าสะอิดสะเอียนนี้เองที่ทำให้กลุ่มป๋ายเสี่ยวเฟยมองหน้ากันและยิ้มออกมา
“พี่ใหญ่เฟย เมื่อครู่ช่างวิเศษเหลือเกิน! ข้าไม่เคยได้อัดใครขนาดนี้มาก่อน!”
โม่ข่ายิ้มกว้างถึงหู
ปกตินักปรุงยาจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ โม่ข่าไม่มีความสามารถด้านนี้แม้แต่น้อย หากต้องสู้กับใครจะเป็นเขาเองที่ถูกอัด...
“พวกเราจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้?”
สือขุยเอนตัวลงบนเตียงถามพลางหอบหายใจ ถึงร่างกายเขาจะแลดูแข็งแรงบึกบึนแต่คุณภาพของกล้ามเนื้อพวกนั้นกลับไม่แตกต่างจากโม่ข่าเท่าไรนัก และเป็นเพราะสิ่งที่เขาทำแตกต่างจากโม่ข่า
“ทางสถาบันเป็นผู้จัดการหอพักหรือไม่?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ตอบแต่ถามคำถามที่แลไม่เกี่ยวข้องกันออกมา
“ไม่ ศิษย์พี่ที่มานำทางให้ข้าบอกว่าทางสถาบันจะรับผิดชอบเรื่องการสอนเท่านั้นและหากไม่มีใครตายสถาบันจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว”
ใบหน้าหวู่จื๋อปรากฎความผิดหวังขณะพูด
เป็นคำนี้เองที่ทำให้พวกเขารู้สึกหมดหนทางเมื่อศิษย์พี่พวกนั้นกรรโชกทรัพย์พวกเขา
ป๋ายเสี่ยวเฟยยินดีเมื่อได้ยินเช่นนี้
“กรรโชกทรัพย์! ค้นตัวพวกมันหาตราหยกและถ่ายโอนหินกำเนิดทั้งหมดออกมา!”
พวกโม่ข่ายืนเหม่อตะลึงในสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยพูด
“นี่... เกินไปมิใช่หรือ?”
ท้ายที่สุดทั้งสามรู้สึกกลัวเล็กน้อย
“พวกเจ้ากลัวอะไร เจ้าคิดหรือว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรหากเราปล่อยพวกมันไป? ไม่ว่าอย่างไรเมล็ดพันธุ์แห่งความปฏิปักษ์ก็ถูกหว่านไว้แล้ว เหตุใดจึงไม่ทำให้สุด?”
อย่างไรเสียป๋ายเสี่ยวเฟยก็มาจากหุบเขาวีรบุรุษ นิสัยทำอะไรต้องทำให้สุดถูกปลูกฝังไปถึงแก่นกระดูก
ทั้งสามมองหน้ากันและความมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาพวกเขา
ครู่ต่อมาพวกเขากระโจนเข้าหากลุ่มจางชิงซานก่อนจะเริ่มค้นตัวโดยไม่สนว่าพวกมันจะสกปรกเพียงใด
ผ่านไปไม่นาน ตราหยกแปดชิ้นก็ถูกวางไว้ข้างหน้าป๋ายเสี่ยวเฟย
“สองชิ้นต่อคน ได้เท่าไหร่ขึ้นอยู่กับดวงของพวกเจ้า พวกเจ้าเลือกก่อนได้เลย”
เวลานี้ไม่ควรโลภมาก แทนที่จะยินดีปีติคนเดียวมิสู้ยินดีถ้วนหน้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าหินชิงหลัวของคนพวกนี้รวมกันอาจจะมีไม่เท่าป๋ายเสี่ยวเฟยด้วยซ้ำ
แตกต่างจากป๋ายเสี่ยวเฟย พวกโม่ข่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ด้วยผลงานของพวกมันในบททดสอบ คนธรรมดาทั่วไปย่อมมีหินชิงหลัวเยอะกว่าพวกมัน
โม่ข่าและพวกกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเลือกตราหยกที่พวกเขาคิดว่าบรรจุหินชิงหลัวไว้มากที่สุด แต่ไม่มีใครแตะต้องหินหยกของจางชิงซาน
ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่ามันต้องเป็นตราที่มีหินเยอะที่สุดเป็นแน่แท้แต่พวกเขาทั้งสามไม่มีใครโง่ ตราหยกชิ้นนั้นเป็นของป๋ายเสี่ยวเฟย
หลังจากถ่ายโอนหินชิงหลัวจากตราหยกที่เหลืออยู่สองชิ้น ป๋ายเสี่ยวเฟยเผยให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจ
ไม่ใช่เพราะเขาได้รับหินชิงหลัวมามากเพราะมันมีเพียงสามสิบสี่ก้อนเท่านั้น แต่เป็นเพราะท่าทีของพวกโม่ข่าต่างหาก
‘ข้าคิดถูกที่รับพวกมันเป็นน้องชาย!’
“หวู่จื๋อ ไปหาเชือกมามัดพวกมัน”
หลังจากได้ประโยชน์ การเคลื่อนไหวของหวู่จื๋อรวดเร็วขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้คำพูดของป๋ายเสี่ยวเฟยเป็นดั่งประกาศิตที่ต้องปฏิบัติตามเป็นอันดับแรก
หลังจากหวู่จื๋อนำเชือกมา ในที่สุดกลุ่มของจางชิงซานก็ถูกมัดเป็นบ๊ะจ่างภายใต้ ‘ความพยายาม’ ของพวกเขา
“ให้พวกมันดมเจ้านี่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยโยนขวดกระเบื้องเล็กๆ ให้ม่อข่าขณะพูด กลิ่นเหม็นหึ่งจากขวดตอนโม่ข่าเปิดฝาจุกออกทำเขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
‘นักปรุงยาคือข้าหรือเขากันแน่? ทำไมเขามียาประหลาดมากกว่าข้าเสียอีก....’
โม่ข่าคิดในใจก่อนจะปลุกพวกจางชิงซานด้วยกลิ่นนั้นอย่างรวดเร็ว
เสียงกระแอมกระไอดังบ้างเบาบ้างภายในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นนานาชนิด ทั้งแปดเริ่มฟื้นสติคืนมา ความฮึกเหิมก้าวร้าวในตอนแรกหายไปหมดสิ้น
“เจ้าหนู....”
จางชิงซานยังไม่ทันพูดจบก็เป็นป๋ายเสี่ยวเฟยที่ตบหน้าเขา
“เจ้าเรียกข้าว่ากระไร?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยจ้องจางชิงซานอย่างเย็นชาราวกับเป็นคนละคนจากเมื่อครู่
“เจ้ารู้จักพี่ใหญ่ของข้า...”
เพี๊ยะ!
เขาตบหน้าจางชิงซานอีกครั้ง ไร้ความคิดที่จะเบิ่งหูฟังผายลมของมัน
“ให้ข้าบอก...”
เพี๊ยะ!
หลังจากถูกตบไปสามคราจางชิงซานก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเองเสียที คนข้างหน้าไม่ใช่คนที่จะคุยด้วยเหตุผลได้
จางชิงซานสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะโยนศักดิ์ศรีทิ้งจนหมดสิ้น
“พี่ใหญ่ข้าผิดไปแล้ว ปล่อยพวกเราไปเถิด”