AtW ตอนที่ 37 ภารกิจมอบธนู
AtW ตอนที่ 37 ภารกิจมอบธนู
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
"อาเบลลูกอยากที่จะไปปราสาทเบ็นเน็ตต์ตอนนี้หรอ? พ่อไม่ค่อยแนะนำให้ไปหรอกนะ ตอนนี้มันยังอันตรายเกินไป"
อัศวินมาแชลลังเลที่จะปล่อยให้อาเบลนั้นออกไปจากปราสาทตอนนี้ ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกปราสาทยังคงอันตรายอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกออร์คจะบุกโจมตีมาตอนไหน แม้ว่าอาเบลจะไปกับทหารยามก็ตามแต่นั้นก็อันตรายอยู่ดี ตอนนี้พวกทหารยามหลายคนเองก็อ่อนล้านเกินกว่าที่จะเดินทางแล้วด้วย ออร์คที่ปรากฏตัวออกมาเมื่อเร็วๆ นี้มีพลังต่อสู้มากกว่าระดับ 6 ทุกตัว ดังนั้นแล้วทหารยามจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันเลย ถ้าหากจะต้องสู้กันจริงๆ แล้วการที่ทหารยามจะสามารถจัดการออร์ค 1 ตัวได้ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
"แต่ว่าผมอยากไปที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์เพื่อที่จะส่งธนูคันใหม่ให้กับพวกเขา ถ้าหากครอบครัวของผมถูกพวกออร์คบุกโจมตีจริงพวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะเอาชนะพวกออร์คได้เลยถ้าหากไม่มีธนูของผม" อาเบลกำลังอธิบายเพื่อเกลี้ยกล่อมให้อัศวินมาแชลพาอาเบลไปที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์
"ทำไมลูกถึงต้องให้ธนูพวกเขาทั้งๆ ที่พวกเขาก็ไม่ได้ร้องขอเลยด้วยนะ? ลูกรู้ไหม ลูกควรจะถามพวกเขาก่อนที่จะมอบธนูให้นะ..." อัศวินมาแชลพูดด้วยความขมขื่นปนความอิจฉา อาเบลรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของอัศวินมาแชลเป็นอย่างดีเพราะสีหน้าของอัศวินมาแชลตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์เหล่านั้น
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่อัศวินมาแชลพูด อาเบลก็พูดอย่างจริงจังตอบกลับทันที "ตอนที่ผมเห็นพลังพวกออร์ค ผมก็รู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของคนในปราสาทเบ็นเน็ตต์ ดังนั้นแล้วผมจะไปส่งธนูคันนี้ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป!"
"ก็ได้ๆ ถ้าหากลูกยืนยันแบบนั้นแล้วพ่อก็จะไปปราสาทเบ็นเน็ตต์กับลูกเอง"
อัศวินมาแชลรู้สึกได้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้อัศวินมาแชลจึงตัดสินใจอย่างไม่เต็มใจนักที่จะมุ่งหน้าไปที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์กับอาเบล ถึงอัศวินเบ็นเน็ตต์จะเป็นเพื่อนรักของอัศวินมาแชล แต่อัศวินมาแชลก็เป็นห่วงความปลอดภัยของอาเบลมากกว่าความปลอดภัยของปราสาทเบ็นเน็ตต์ซะอีก ตอนนี้ปราสาทแฮรี่สามารถที่จะป้องกันการโจมตีและขับไล่พวกออร์คไปได้ทั้งหมดแล้ว อัศวินมาแชลค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าพวกออร์คคงไม่กล้าที่จะกลับมาโจมตีอีกเว้นแต่ว่าพวกมันนั้นต้องการที่จะฆ่าตัวตาย
"พ่อ! พ่อแน่ใจแล้วหรอว่าจะมากับผมได้?"
อาเบลรู้ตัวดีว่าตอนนี้การที่จะให้อัศวินมาแชลออกจากปราสาทมากับเขาด้วยเป็นเรื่องยากแค่ไหนในสถานการณ์ตอนนี้ แม้ว่าปราสาทเบ็นเน็ตต์จะอยู่ไม่ไกลจากปราสาทแฮรี่เท่าไรแต่ถ้าปล่อยอาเบลไปเพียงลำพังอัศวินมาแชลจะต้องเป็นห่วงจนทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าหากอัศวินมาแชลเสียอาเบลไปก็เหมือนกับอัศวินมาแชลต้องสูญเสียทุกอย่างไป แต่นอกเหนือจากความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่ออาเบลแล้วปราสาทแฮรี่เองก็ยังคงต้องการผู้นำที่คอยสั่งการคอยป้องกันปราสาทจากการรุกรานของพวกออร์คต่อไป
"ไม่ต้องห่วงไปหรอกอาเบล พ่อจะไปปราสาทเบ็นเน็ตต์กับลูกเอง พ่อจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมือนกับคนธรรมดามากที่สุดเพื่อที่จะให้คนอื่นจำไม่ได้ พวกเราจะขี่ม้าไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ถ้าหากเป็นไปตามที่พ่อคิดแล้วละก็พวกเราจะสามารถกลับมาจากปราสาทเบ็นเน็ตต์ได้โดยใช้เวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น"
อัศวินมาแชลรู้ดีว่าตอนนี้อาเบลกำลังเป็นกังวลกับอะไร แต่สำหรับอัศวินมาแชลแล้วการที่เขาจะต้องสูญเสียอาเบลไปก็เท่ากับว่าจะต้องสูญเสียปราสาทแฮรี่ไปในอนาคตอย่างแน่นอน ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีหนทางไหนเลยที่จะทำให้คนที่จากไปแล้วกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง อัศวินมาแชลรู้ดีว่าตอนนี้อาเบลกำลังอยู่ในขั้นพัฒนาตัวเองเท่านั้น ศักยภาพของอาเบลนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นศักยภาพที่มีอยู่อย่างไม่จำกัด ถ้าหากอาเบลได้เป็นผู้นำตระกูลแฮรี่คนต่อไปแล้วเขาจะต้องขยายดินแดนของตระกูลให้ยิ่งใหญ่ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จสิ้นก็เข้าสู่ช่วงบ่ายของวันแล้ว หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จไม่นานอาเบลก็ได้สวมชุดเกราะหนังของเขาก่อนที่จะขึ้นขี่ม้าศึกทันที ส่วนอัศวินมาแชลเขาได้เก็บผมสีทองสวยงามของเขาไปในหมวกนิรภัยที่ดูสะดุดตา หมวกที่อัศวินมาแชลใส่อยู่นั้นดูแวววาวกว่าหมวกใบไหนๆ ที่อาเบลเคยเห็น ยิ่งไปกว่านั้นหมวกนิรภัยที่อัศวินมาแชลใส่ยังสามารถที่จะปกปิดใบหน้าของเขาไว้อีกด้วย และเพื่อที่จะทำให้ผู้คนจำอัศวินมาแชลไม่ได้เขาจึงเลือกใช้ม้าศึกธรรมดาๆ ที่จะใช้ในการเดินทางครั้งนี้
ก่อนที่อัศวินมาแชลและอาเบลจะออกเดินทางพวกเขาทั้งสองคนได้ให้ข้าวโอ๊ตกับม้าศึกทั้ง 2 ตัว การที่ให้แหล่งพลังงานที่มีคุณค่าทางอาหารอย่างข้าวโอ๊ตแก่ม้าศึกจะทำให้พวกมันนั้นใช้พลังได้อย่างเต็มที่นั่นเอง อาเบลและอัศวินมาแชลได้ออกจากปราสาทแฮรี่ไปอย่างเงียบๆ ตอนนี้ทุกคนในปราสาทกำลังเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่พวกเขานั้นสามารถที่จะไล่พวกออร์คไปได้นั่นเอง
ม้าทั้งสองตัวกำลังวิ่งไปทางปราสาทเบ็นเน็ตต์อย่างรวดเร็ว มาถึงตอนนี้อาเบลและอัศวินมาแชลไม่เห็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในระหว่างทางไปปราสาทเบ็นเน็ตต์เลย ถ้าหากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงตอนนี้ทั้งอาเบลและอัศวินมาแชลจะต้องเห็นประชาชนคนธรรมดาอพยพออกมาแล้วอย่างแน่นอน
หลังจากขี่ม้ามากว่า 2 ชั่วโมงทั้งอาเบลและอัศวินมาแชลก็เห็นปราสาทเบ็นเน็ตต์จากระยะไกลในที่สุด อาเบลรู้สึกโล่งอกมากขึ้นหลังจากที่เขาพยายามหายใจลึกๆ อยู่พักหนึ่ง อาเบลที่เห็นปราสาทเบ็นเน็ตต์จากระยะไกลยังเห็นว่าปราสาทเบ็นเน็ตต์นั้นยังปลอดภัยดีภายใต้แสงอาทิตย์ของวันนี้ ทางเข้าปราสาทเบ็นเน็ตต์ถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนา ทหารยามที่คอยเฝ้ายามอยู่บนกำแพงนั้นได้สังเกตเห็นพวกอาเบลแล้ว ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะปกติดีสุขดี ปราสาทเบ็นเน็ตต์ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายจากการโจมตีของพวกออร์ค
ตอนนี้อัศวินมาแชลและอาเบลได้เดินทางมาถึงกำแพงของปราสาทเบ็นเน็ตต์แล้ว การมาถึงของพวกเขาทั้ง 2 คนทำให้ระฆังสัญญาณเตือนภัยนั้นดังขึ้นทันที เมื่อพวกเขาทั้งสองคนมาใกล้กับประตูปราสามพวกเขาก็พบกับทหารจำนวนหนึ่งที่ถือธนูเล็งยิงมาที่พวกเขาจากบนกำแพงปราสาท...
"ที่ฉันเอง อาเบล เปิดประตูซะ" อาเบลตะโกนขึ้น
"ลดอาวุธซะ นายน้อยอาเบลเอง" ใครบางคนตะโกนขึ้นมา
"เปิดประตูเร็ว" ทันใดนั้นเองมีเสียงของอัศวินเบ็นเน็ตต์ดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งด้านหลังของประตูปราสาท หลังจากนั้นไม่นานประตูปราสาทเบ็นเน็ตต์ก็ได้ถูกเปิดขึ้นมาอย่างช้าๆ
เมื่ออาเบลและอัศวินมาแชลเดินทางเข้าประตูปราสาทไป ประตูก็ถูกปิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับทหารยามที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์ที่กำลังตรวจตราทุกอย่างเป็นอย่างดี
"อาเบล ลูกกล้ามาที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์ในเวลาที่อันตรายแบบนี้เนี่ยนะ?" อัศวินเบ็นเน็ตต์ถามเชิงต่อว่าอาเบลทันทีด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
"พ่อครับ ผมต้องการคุยกับพ่อเป็นการส่วนตัว พวกเราจะหาที่คุยกันได้ไหม? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เร่งด่วนมากครับพ่อ" อาเบลพูดอย่างเงียบๆ ในขณะที่อาเบลได้มองไปที่อัศวินมาแชลที่กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ กับอาเบล ในตอนนี้อัศวินมาแชลพยายามที่จะซ่อนตัวตนของเขาไว้ไม่ให้ใครเห็น
สำหรับอาเบลแล้วการที่เขาจะเดินทางมาที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์ในช่วงเวลาที่อันตรายแบบนี้ได้จะต้องมีเหตุผลอะไรที่สำคัญอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่อาเบลจะต้องเอาตัวเองมาเสี่ยงชีวิตในเวลาแบบนี้
อัศวินเบ็นเน็ตต์จ้องมองไปที่อัศวินลึกลับ (อัศวินมาแชล) ที่อยู่ใกล้ๆ กับอาเบลอย่างสงสัย แต่อัศวินเบ็นเน็ตต์ก็ต้องพาอาเบลและอัศวินลึกลับคนนั้นไปที่ห้องรับแขกของปราสาทก่อน หลังจากที่อัศวินมาแชลและอาเบลได้เดินเข้าห้องรับแขกแล้ว อัศวินเบ็นเน็ตต์ก็ได้ปิดห้องรับแขกในทันที ตอนนี้อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่ต้องการให้ใครมารบกวนพวกเขา
"พ่อครับ คนคนนี้คือ..." อาเบลกำลังที่จะเปิดเผยตัวตนของอัศวินลึกลับคนนี้
อัศวินเบ็นเน็ตต์จำอัศวินมาแชลได้ตั้งแต่ที่แรกเห็นแล้ว อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่ได้รอให้อาเบลพูดเสร็จเขาก็พูดทักทายเพื่อนรักขึ้นมาก่อนว่า "มาแชล นายกล้าออกมาที่นี่ในเวลาที่ดินแดนของนายกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างงั้นหรอ? หวังว่านายจะมีเหตุผลที่ดีในการพาอาเบลมาที่นี่ตอนนี้นะ..."
"เฮ้! นายคิดว่าฉันอยากมาที่นี่อย่างงั้นหรอ? ไอเด็กบ้าลูกของนายอยากจะมาที่นี่เองต่างหากละ ฉันปล่อยให้ลูกของนายมาที่นี่ตามลำพังไม่ได้หรอกนะ ถ้าหากฉันไม่ตามลูกของนายมาด้วยลูกของนายจะต้องตายแน่นอน"
อัศวินมาแชลถอดหมวกของเขาออก ตอนนี้ผมสีทองที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากหมวกของเขาแล้ว ตอนนี้อัศวินเบ็นเน็ตต์รู้ได้ทันทีว่าเพื่อนของเขาอย่างอัศวินมาแชลนั้นรู้สึกโกรธอยู่
"นายก็เป็นอย่างงี้ตลอดนะมาแชล เวลาที่นายโมโหหน่ะ" อัศวินเบ็นเน็ตต์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางของอัศวินมาแชล อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้หันกลับกลับก่อนที่จะถามอาเบลต่อ "แล้วมีอะไรอย่างงั้นหรอ? ทำไมต้องปลอมตัวให้ลึกลับกันด้วยล่ะ? ลูกไม่คิดถึงผลที่ตามมาหรอถ้าหากปล่อยให้อัศวินมาแชลต้องทิ้งดินแดนของเขาไปในตอนนี้น่ะ? ถ้าหากเขาถูกจับได้จะต้องเป็นปัญหาสำหรับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน"
"พ่อครับผมรู้ถึงผลที่จะตามมาดี แต่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะมอบสิ่งนี้ให้กับพ่อ" อาเบลได้หยิบธนูทดกำลังที่เขาสร้างขึ้นเองให้กับพ่อของเขาอย่างอัศวินเบ็นเน็ตต์
อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้หยิบธนูทดกำลังขึ้นมากับมือของเขาเองก่อนที่จะเริ่มง้างคันธนูในทันที อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้ถามอาเบลด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูประหลาดใจต่อไป "ลูกมาเพื่อมอบสิ่งนี้ให้พ่ออย่างงั้นหรอ?"
"นายหมายความว่าอะไรกันกับคำว่า "สิ่งนี้" ของนายเบ็นเน็ตต์ สิ่งนี้มันที่นายเรียกมันคือธนูแฮรี่ต่างหาก ชื่อนี้เป็นชื่อที่ฉันตั้งขึ้นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วธนูคันนี้คือธนูวิเศษต่างหาก" อัศวินมาแชลพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจเท่าไรนักกับท่าทีของอัศวินเบ็นเน็ตต์ที่ได้เห็นธนูคันนี้
อาเบลได้ที่ยืนฟังอยู่ได้แต่นิ่งเงียบไปพร้อมกับเอามือคลุมหัวของตัวเองไว้ อาเบลรู้ว่าอัศวินมาแชลตั้งชื่อของธนูที่อาเบลสร้างโดยที่ไม่ถามอาเบลเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่แย่กว่าการไม่ถามความเห็นนั้นคือชื่อการตั้งชื่อของธนูโดยใช้ชื่อสกุลของตัวเองเป็นชื่อธนูคันนี้... แม้ว่าอาเบลจะมีนามสกุลเดียวกับอัศวินมาแชลแต่อาเบลก็มั่นใจเลยว่าการที่อัศวินมาแชลนั้นตั้งชื่อ "ธนูแฮรี่" ก็เพราะเป็นชื่อสกุลของเขาเอง เขาไม่ได้นึกถึงชื่ออาเบลจริงๆ
"เบ็นเน็ตต์ นี่ไม่ใช่ธนูธรรมดาหรอกนะ นายต้องลองยิงธนูคันนี้ด้วยตัวของนายเองแล้วล่ะ" อัศวินมาแชลพูดเสร็จเขาก็ยื่นลูกธนูให้กับมืออัศวินเบ็นเน็ตต์ อัศวินเบ็นเน็ตต์ไม่รอช้า เขารีบเล็งยิงธนูที่ได้มาใหม่ในทันที "โอเคเบ็นเน็ตต์ นายต้องยิงธนูไปตรงนั้นนะ" ที่ที่อัศวินมาแชลชี้คือกำแพงของปราสาทเบ็นเน็ตต์นั่นเอง
ห้องรับแขกของปราสาทเบ็นเน็ตต์มีความกว้างถึง 40 ตารางเมตร กำแพงที่อัศวินมาแชลบอกให้อัศวินเบ็นเน็ตต์ยิงนั้นอยู่ไกลกว่า 20 เมตร อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้ยิงลูกธนูออกไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย ทันใดนั้นเองลูกธนูก็หายไปอย่างรวดเร็ว ในเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็ได้มีเสียงของลูกธนูที่ทะลุผ่านกำแพงหินอย่างรุนแรงดังขึ้น
อัศวินเบ็นเน็ตต์มองดูลูกธนูที่ทะลุผ่านกำแพงไป ตอนนี้อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้แต่ประหลาดใจกับพลังที่รุนแรงของธนูคันนี้ อัศวินเบ็นเน็ตต์แทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาได้เห็นเลย เขารีบเดินไปดูที่กำแพงก่อนที่จะเคาะกำแพงด้วยมือเปล่าสองสามครั้งเพื่อดูว่ากำแพงหินของปราสาทนั้นแข็งแค่ไหน อัศวินเบ็นเน็ตต์ตกตะลึงจนแทบไม่เชื่อว่ากำแพงหินของห้องรับแขกในปราสาทจะถูกทำลายได้อย่างง่ายดายแบบนี้
หลังจากที่อัศวินเบ็นเน็ตต์ตกตะลึงอยู่พักหนึ่งเขาก็ใช้กำลังอันมหาศาลดึงลูกธนูออกมาจากกำแพง กำแพงหินที่ถูกลูกธนูเจาะทะลุทะลวงนั้นมีความลึกของรูถึง 2 เมตร เมื่ออัศวินเบ็นเน็ตต์ได้หันมามองที่ลูกธนูเขาก็พบว่าหัวของลูกธนูนั้นผิดรูปไปแล้วนั่นเอง ด้วยความแข็งแกร่งของกำแพงปราสาทปะทะเข้ากับแรงดีดของธนูที่มีอย่างมหาศาลนั้นทำให้หัวของลูกธนูเสียทรงไปในที่สุด
"ธะ..ธะะ..ธนูนี้มัน?" อัศวินเบ็นเน็ตต์หันไปมองอาเบลก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูประหลาดใจมากกว่าที่เคย อัศวินเบ็นเน็ตต์อยากรู้ว่าลูกชายของเขาได้ธนูที่ทรงพลังแบบนี้มาจากที่ไหนกัน
ในตอนที่อาเบลกำลังจะพูดอัศวินมาแชลก็ได้พูดขึ้นมาขัดจังหวะก่อน "อาเบลเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กแล้ว นายไม่รู้เลยหรอ?" จากนั้นอัศวินเบ็นเน็ตต์ก็นิ่งเงียบไป
เมื่ออัศวินเบ็นเน็ตต์ได้รู้ว่าลูกชายของเขาตอนนี้ได้กลายเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กแล้วเขาก็รู้สึกเสียใจที่ได้ให้อาเบลเป็นลูกบุญธรรมขงอเพื่อนเขาอย่างอัศวินมาแชลไป และอัศวินเบ็นเน็ตต์ยิ่งรู้สึกเสียใจเมื่อรู้ความจริงทุกอย่างจากปากของอัศวินมาแชลเอง ตอนนี้ความโศกเศร้าได้เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้าของอัศวินเบ็นเน็ตต์แล้ว
อัศวินมาแชลไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของอัศวินเบ็นเน็ตต์ อัศวินมาแชลยังคงพูดต่อไป "อาเบลเป็นคนสร้างธนูแฮรี่ด้วยตัวของเขาเอง วันนี้ฉันได้ทดลองใช้ธนูคันนี้กับพวกออร์คมาแล้ว ฉันใช้ธนูแฮรี่ในการจัดการออร์คไปกว่า 12 ตัว ออร์คพวกนั้นทั้งหมดยังเป็นออร์คที่มีระดับการต่อสู้มากกว่า 6 อีกด้วย"
อัศวินเบ็นเน็ตต์รู้สึกตกใจและประหลาดใจเกินกว่าที่จะควบคุมความรู้สึกได้อีกต่อไป ตอนนี้อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้จ้องธนูแฮรี่ที่อยู่ในมือ อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมอาเบลถึงจะต้องเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อมอบธนูคันนี้ให้กับตัวเอง อัศวินมาแชลเองก็เป็นเพื่อนกับอัศวินเบ็นเน็ตต์มานานแล้ว ถ้าอัศวินมาแชลพูดถูกครึ่งหนึ่งก็คงจะดีเกินพอแล้ว...
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่อัศวินมาแชลทำนั้นก็เหนือความสามารถของอาเบลไปแล้ว มาแชลคนนี้เสี่ยงที่จะทิ้งดินแดนของตัวเองมาก็เพื่อความปลอดภัยของอาเบล เบ็นเน็ตต์รู้ว่าเรื่องเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากเป็นอย่ามาก ถ้าเป็นตัวอัศวินเบ็นเน็ตต์เองเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกล้าเสี่ยงได้แบบนี้ไหม
อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้ทดลองง้างธนูขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้รู้ข้อดีของธนูคันนี้แล้ว แม้ว่าธนูคันนี้จะง้างยากแต่มันก็ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการเล็งยิงเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าพลังการยิงของมันนั้นยังเหนือกกว่าธนูธรรมดาทั่วไปอีกด้วย
อัศวินมาแชลได้มองไปที่อัศวินเบ็นเน็ตต์ก่อนที่จะพูดออกมาในขณะที่ยิ้มอยู่ว่า "ฉันลืมบอกอะไรนายไปเลยนะ ธนูแฮรี่ไม่สามารถที่จะง้างเล่นได้ถ้าหากไม่ใส่ลูกธนู"
หลังจากที่ได้ยินคำเตือนของอัศวินมาแชล อัศวินเบ็นเน็ตต์ก็ได้ปล่อยสายคันธนูกลับมาให้เป็นเหมือนเดิมโดยใช้พลังลมปราณจำนวนมากของตัวเอง อัศวินมาแชลหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนลืมไปเลยว่าตัวเขาเองก็เคยทำผิดพลาดแบบนี้มาก่อน
อาเบลและอัศวินมาแชลไม่ได้อยู่ที่ปราสาทเบ็นเน็ตต์อีกต่อไป หลังจากที่อาเบลได้สอนวิธีการใช้ธนูแฮรี่แล้วพวกเขาทั้งสองคนก็กลับไปที่ปราสาทแฮรี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสองคนกลับจากปราสาทเบ็นเน็ตต์เวลานี้แสงอาทิตย์ก็ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงจะมืดแต่ทั้งสองคนก็คุ้นเคยกับเส้นทางกลับปราสาทแฮรี่ดี โดยเฉพาะอัศวินมาแชล เขาได้เดินทางไปกลับระหว่างปราสาทเบ็นเน็ตต์และปราสาทแฮรี่มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว นอกจากแสงจันทร์ที่คอยนำทางในค่ำคืนนี้แล้วม้าศึกของทั้งสองคนก็ได้วิ่งอย่างรวดเร็วจนกลับถึงปราสาทแฮรี่จนได้
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย