บทที่ 149 ทุกคนต้องตาย
"จี๊ จี๊!"
ณ ยอดเขาเมฆาทมิฬ จิ้งจอกวิญญาณสามหางวิ่งไปรอบๆอย่างร่าเริง มันกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินขนาดมหึมาเมื่อแสงสีขาวพุ่งเข้ามาราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรวดเร็วต่อหน้าจิ้งจอกน้อย มันเป็นจิ้งจอกสีขาวตัวเล็กๆเช่นกัน เพียงแต่จิ้งจอกตัวนี้มีห้าหาง!
"จี๊ จี๊!"
ใบหน้าของจิ้งจอกน้อยอิ่มเอมไปด้วยความสุขและ ร่างเล็กๆของมันกระโดดขึ้นมาจากพื้นดินในขณะที่แสงสีขาวส่องสว่างมาจากภายในตัวของจิ้งจอกห้าหางและกลายเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีความสวยงามที่น่าดึงดูดมากพอที่จะทำให้ผู้คนแทบจะหยุดหายใจ
"จี๊ จี๊!"
จิ้งจอกน้อยกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของหญิงวัยกลางคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและไม่สามารถหยุดส่งเสียงครวญครางเหมือนเด็กที่ถูกรังแก
“เสี่ยวเฟย ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว? โลกภายนอกนั้นอันตรายเกินไป แต่เจ้าก็ยังหาโอกาสและแอบวิ่งออกไปเมื่อข้าเข้าสู่การบำเพ็ญ?”
หญิงวัยกลางคนถอนหายใจแล้วลูบหัวจิ้งจอกน้อยอย่างนุ่มนวล จิ้งจอกน้อยพริ้มตาและใบหน้าของหญิงสาวนั้นก็เต็มไปด้วยความรัก แต่หลังจากนั้นไม่นานจืตสังหารก็พุ่งเข้ามาในดวงตาของนางและพูดว่า "เกิดอะไรขึ้น? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าตกอยู่ในอันตราย? มนุษย์พยายามจะฆ่าเจ้า? หึหึ ผู้ใดที่มันกล้าแตะต้องลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของข้า ข้าจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ"
"จี๊ จี๊!"
จิ้งจอกน้อยส่งเสียงร้องออกมา แต่ใบหน้าเล็กๆของมันเต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์และมันครุ่นคิด ดูเหมือนว่ามันกำลังตัดสินใจว่ามันต้องการจะเล่าเรื่องที่เจียงอี้พยายามฆ่านางให้กับหญิงวัยกลางคนฟังดีหรือไม่
หญิงวัยกลางคนเห็นว่าจิ้งจอกน้อยเงียบไป วิสัยทัศน์ของนางเต็มไปด้วยจิตสังหารในไม่ช้าและนางก็มองไปโดยรอบก่อนที่จะพูดอย่างเยือกเย็น "ดูเหมือนว่ามีคนต้องการสังหารเจ้า หึหึ มีคนสามสิบสองคนอยู่บนภูเขานี้ พวกมันทั้งหมดจะต้องตาย!"
"ฟึ่บ!"
ทันใดนั้น หญิงวัยกลางคนก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ นางพุ่งตรงไปยังจุดที่เจียงอี้อยู่ ภายในพริบตาเดียว นางก็ไปถึงผาหินที่เจียงอี้อยู่ นางหยุดอยู่ห่างไกลออกไปและภาคภูมิใจอยู่บนอากาศและวิสัยทัศน์ของนางก็จับจ้องไปยังเจียงอี้ที่เป็นลมอยู่ที่พื้น นางพูดอย่างเย็นชา “เสี่ยวเฟย ชายผู้นี้มีกลิ่นอายของเจ้าติดอยู่ เขาเป็นคนที่พยายามจะฆ่าเจ้าใช่หรือไม่?”
"จี๊ จี๊!"
จิ้งจอกน้อยมองไปที่เจียงอี้ผู้ซึ่งนอนสลบไสลอยู่บนพื้นและส่งเสียงออกมาอย่างกระทันหันพร้อมสั่นศีรษะไปทางหญิงวัยกลางคน
"ฮึ่ม!"
หญิงวัยกลางคนตะคอกอย่างเย็นชาและตำหนิจิ้งจอกน้อยด้วยความรำคาญขณะมองดู "เสี่ยวเฟย กี่ครั้งแล้วที่ข้าบอกเจ้าในเรื่องนี้? มนุษย์และสัตว์อสูรเป็นศัตรูกัน แม้ว่าเราจะมีสติปัญญาเฉกเช่นมนุษย์ แต่เราไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์อสูร! มนุษย์ไม่เคยมีความเมตตาต่อเรา ดังนั้นเมื่อพวกมันพยายามทำร้ายเรา เราจะต้องไม่ใจอ่อน เด็กน้อย เจ้านั้นใจดีเกินไป"
"จี๊ จี๊!"
จิ้งจอกน้อยส่ายหัวอย่างดื้อรั้น แสงสีขาวสองดวงส่องจากดวงตาและดูเหมือนว่ามันกำลังสื่อสารกับหญิงวัยกลางคน
ดวงตาของหญิงวัยกลางคนตั้งใจอย่างแน่วแน่และนางก็ตะโกนอย่างเย็นชาว่า "ไม่! แม้ว่ามันจะปล่อยเจ้าไป แต่มันก็ไม่อาจให้อภัยได้! ใครก็ตามที่แตะต้องเจ้า พวกมันต้องตาย!"
"จี๊ จี๊!"
จิ้งจอกน้อยกำลังจ้องมองหญิงวัยกลางคนด้วยความตั้งใจ มันสั่นศีรษะและไม่หยุดร้องด้วยเสียงแหลมๆของมัน มันคว้าตัวนางไว้แน่นและเขย่าเบาๆ ราวกับเด็กตัวเล็กที่ดื้อรั้นกำลังต่อต้านแม่ของตัวเอง ตาเล็กๆและใบหน้าเล็กๆของมันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
แสงสีขาวส่องประกายอยู่บนฝ่ามือของหญิงวัยกลางคนและนางก็พร้อมที่จะสังหารเจียงอี้ เมื่อนางกำลังจะลงมือ นางสบตากับจิ้งจอกน้อยและในที่สุดนางก็อ่อนข้อลง
นางถอนหายใจลึกๆแล้วพูดว่า "เฮ้ออ...ทำไมเจ้าถึงใจดีเช่นนี้ ลูกรัก? ในวันหนึ่งเจ้าจะต้องพบกับจุดจบหากเจ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ ช่างมันเถอะ ลืมมันเสีย! แต่จงจำไว้ด้วยว่าคราวหน้าเจ้าจะต้องไม่ออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้อีก"
หลังจากนางพูดจบ หญิงวัยกลางคนพุ่งเข้าไปภายในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ ภายในพริบตา นางก็หายไปในหุบเขาและสภาพแวดล้อมก็กลับสู่ความปกติสุขและเงียบสงบอีกครั้ง
เจียงอี้ยังคงหมดสติอยู่บนพื้นดิน ผู้อาวุโสหลิวและคนอื่นๆก็ยังหมดสติอยู่ในถ้ำเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและพวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะความใจอ่อนของเจียงอี้ในนาทีสุดท้ายที่เขาไม่ได้จับจิ้งจอกตัวเล็กมาเป็นสัตว์วิญญาณ ซึ่งเหตุนี้เองที่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาทุกคนไว้
หญิงวัยกลางคนมีพลังมหาศาล หากนางพบว่าลูกสาวของนางเกือบถูกทำให้เป็นสัตว์วิญญาณ นางคงโกรธแค้นเป็นฟืนไฟ ซึ่งไม่เพียงแค่เจียงอี้และคนอื่นๆที่ต้องตาย แต่ยังรวมถึงผู้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร รวมไปถึงเมืองจิตอสูรและสำนักจิตอสูรก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน
...
"ฟึ่บ!"
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เงาสองร่างพุ่งออกมาจากเมืองจิตอสูรและพุ่งเข้าไปยังหุบเขาเมฆาทมิฬและตรงไปยังทิศทางที่เจียงอี้อยู่
การเผชิญหน้าของเจียงอี้กับจิ้งจอกวิญญาณสามหางเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆและเมืองจิตอสูรอยู่ห่างจากจุดที่เจียงอี้อยู่อย่างน้อยหลายกิโลเมตร ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญสองคนที่ได้รับสัญญาณและมาถึงที่เกิดเหตุภายในเวลาอันสั้น
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนสองคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญจากสองอาณาจักรซึ่งคอยดูแลเมืองจิตอสูร ทั้งคู่อยู่ขั้นที่แปดของขอบเขตเสินโหยวที่มีความแข็งแกร่งและพลังอันน่าทึ่ง
เมืองจิตอสูรเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้สุดของอาณาจักรเสินหวู่ ซึ่งจะต้องผ่านเข้าเมืองเพื่อที่จะได้ไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยและอาณาจักรเทียนเซวี่ยนที่อยู่ทางใต้และตั้งอยู่ใต้สำนักจิตอสูร ดังนั้นเมืองจิตอสูรจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและเป็นเรื่องปกติสำหรับทั้งสองอาณาจักรที่จะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านมาคุ้มกันเมือง
พวกเขาสองคนมาถึงที่เกิดเหตุและตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างสงสัย แต่พวกเขาไม่พบอันตรายใดๆ แม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยเห็นเจียงอี้มาก่อน แต่พวกเขาก็เห็นภาพและข้อมูลของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพาเจียงอี้ขึ้นไปที่ถ้ำด้วย
หลังจากเข้าไปในถ้ำ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองได้ให้ความช่วยเหลือทุกคนและเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นและพบว่าไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนท้าย
เจียงอี้ก็ไม่ได้ปิดบังอะไรจากพวกเขามากนัก เขาเล่าถึงการเผชิญหน้ากับจิ้งจอกวิญญาณสามหาง แต่เขาไม่ได้พูดถึงว่าจิ้งจอกวิญญาณสามหางปล่อยวิชาอสูร เขาเพียงแต่พูดว่าจิ้งจอกจากไปแล้วหลังจากเขาคอยมองอยู่ห่างๆ
วิชาอสูรของจิ้งจอกวิญญาณสามหางนั้นน่ากลัวมาก หากผู้คนพบว่าเขารอดชีวิตหลังจากถูกโจมตีโดยวิชาอสูรของจิ้งจอกวิญญาณสามหาง ทั้งทวีปจะตกตะลึง และสิ่งประดิษฐ์อันล้ำค่าของเขาอาจถูกเพ่งเล็งโดยผู้เชี่ยวชาญหลายคน
ทุกคนต่างพากันงงงวย ไม่มีใครรู้ว่ากลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวนั้นอยู่ที่ใด พลังที่แข็งแกร่งและทรงพลังซึ่งสามารถสะกดข่มทุกคนได้มาจากที่ใดกัน...
สิ่งแรกที่ผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลเฉียนและตระกูลจ้านตัดสินใจก็คือพวกเขาไม่สามารถอยู่บนหุบเขาเมฆาทมิฬได้อีกต่อไป ทุกคนจะต้องออกไปทันที การดำรงอยู่ที่ใช้เพียงกลิ่นอายก็สามารถสยบผู้อาวุโสหลิวและผู้อาวุโสจีได้ จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง ไม่เช่นนั้นก็จะต้องเป็นราชันปีศาจระดับสี่หรือสูงกว่านั้น
มันอันตรายเกินไป และมันเป็นเรื่องธรรมดาของเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซววงที่สถานะของพวกเขามีความสำคัญเป็นอย่างสูง เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยง เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงพร้อมที่จะออกเดินทาง แต่เจียงอี้นั้นจะไม่ไปถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงขนาดไหนก็ตาม
เจียงอี้จะจากไปอย่างง่ายดายได้เช่นไรเมื่อเขายังไม่ได้ตำลึงทองสิบล้านตำลึงและยังไม่ได้สัตว์วิญญาณเลย? และที่สำคัญที่สุด เจียงอี้คิดว่าไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังหรือราชาของสัตว์อสูร เมื่อมันไม่ได้ฆ่าพวกเขาในครั้งนี้ พวกเขาก็ยังถือว่าปลอดภัย
สำหรับการดำรงอยู่ที่อยู่ในระดับนี้ การฆ่าพวกเขาคงเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการบดขยี้มดแมลง เมื่อที่นี่ปลอดภัยแล้ว ทำไมพวกเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้? เขาจะหาตำลึงทองได้จากที่ไหนอีกถ้าเขาออกจากหุบเขาเมฆาทมิฬ?
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงพยายามชักจูงเจียงอี้ หลังจากเห็นว่าเจียงอี้หนักแน่นเพียงใดที่จะอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งสองก็ต้องติดตามผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลของตนและกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
อย่างไรก็ตาม เฉียนว่านก้วนได้ทิ้งเฉียนคุนและคนอื่นๆที่เหลือไว้ด้วยและสั่งให้พวกเขาฟังคำสั่งของเจียงอี้
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวจากตระกูลเฉียนก็ไม่ได้พูดอะไรมากกับผู้อาวุโสหลิว สำหรับพวกเขาตราบใดที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเฉียนว่านก้วน แม้ว่าเฉียนคุนและคนที่เหลือจะตาย มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเขา
หลังจากส่งพวกเขากลับไป เจียงอี้ก็เห็นว่าเฉียนคุนและคนอื่นๆไม่สบายใจ พวกเขาดูกังวลและอึดอัด เขาจึงยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "เฉียนคุน พวกเจ้าไม่ต้องกังวล หากมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งตนใดมาโจมตีพวกเรา ข้าจะตายเคียงข้างพวกเจ้าแน่นอน หลังจากที่ข้าหาตำลึงทองได้สิบล้านตำลึงแล้ว ข้าจะล่าสัตว์อสูรต่อและมอบตำลึงทองให้พวกเจ้าอย่างน้อยคนละห้าหมื่นตำลึงเลย"
เจียงอี้มองไปที่ภูเขาที่เขียวขจีจากระยะไกล จิตใจของเขานึกถึงภาพจิ้งจอกน้อย เขาถอนหายใจอย่างเงียบๆและบ่นกับตัวเองเบาๆว่า "มันเป็นความผิดพลาดหรือเปล่า ... ที่ปล่อยจิ้งจอกน้อยตัวนั้นไป?"