บทที่ 11 เรื่องคืนนั้น
เสี่ยวหวังลดกระจกหน้าต่างรถลง และถามคนทั้งสองว่า
“พวกคุณให้ผมรอหรือเปล่าครับ” แต่ทั้งคู่ดูไม่ได้สนใจคำพูดของเขาเลย
เมื่อเย่หัวและจิงหยาค่อยๆ เดินจากไป เสี่ยวหวังจึงเหยียบคันเร่ง
ขับรถออกไปจากตรงนั้นทันที เขาหวังว่าจะไม่ต้องพบเจอคนทั้งคู่อีก
ระหว่างที่เดินสำรวจแผงขายอาหารบนถนนเส้นนั้น
จิงหยาเม้มปากและถามเย่หัวว่า “คุณกินของพวกนี้ด้วยเหรอ”
“ปกติก็ซื้อไปกินที่บ้าน”
“คุณก็เป็นเจ้าของกิจการ ทำไมต้องทำตัวจนแบบนี้ด้วยล่ะ”
จิงหยาถามออกไป และนึกได้ว่าจริงๆ ไม่ควรถามเชิงดูถูกเขาแบบนี้เลย
เย่หัวเดินไปหยุดตรงหน้าร้านขายของปิ้งย่าง และตอบเธอว่า
“เงินที่ได้มาจากบาร์ ส่วนหนึ่งก็เป็นค่าจ้างลูกน้อง อีกส่วนหนึ่งผมเอาไปบริจาค”
“อย่างคุณนี่นะ รู้จักบริจาคเงินด้วยเหรอ”
จิงหยาถามกลับด้วยน้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ
เพราะเย่หัวที่เธอได้สัมผัสทำความรู้จักคือเพลย์บอย ผู้ไม่แยแสต่ออะไรทั้งสิ้น
แถมยังเป็นคนประหลาดๆ ไม่เหมือนผู้ชายคนไหนที่เธอเคยรู้จักมาก่อน
แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้ก็มีหัวจิตหัวใจกับเขาเหมือนกัน
“ผมแค่ได้ยินมาว่า ถ้าทำแบบนี้แล้วเราจะเป็นคนละเอียดอ่อนมากขึ้น” เย่หัวพูด
“ใช่! คุณเป็นคนที่ไม่ละเอียดอ่อนเอาซะเลย”
จิงหยาพูดซ้ำเติมด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เย่หัวหยุดเดินอย่างกะทันหันจนทำให้จิงหยาที่เดินตามมาชนเขาเข้าอย่างจัง
"ถ้า…"
เย่หัวพูดยังไม่ทันจบ จิงหยาก็สวนกลับมาทันทีว่า
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน คุณคงฆ่าฉันให้ตายไปแล้วใช่ไหมล่ะ ฉันรู้ดี
แต่ถามหน่อยนะ ตอนนี้คุณกล้าฆ่าฉันงั้นเหรอ
ถ้าจะทำ เล็งดีๆ เลยนะ แทงท้องฉันให้ทะลุเลย เล็งให้ตรงจุดด้วย”
เย่หัวหายใจลึกเข้าไป เขารู้สึกว่าถ้าอยู่กับผู้หญิงคนนี้ไปอีกสักระยะ
เธอคงทำให้เขากลับไปเป็นจอมราชาปีศาจเหมือนในอดีตอย่างแน่นอน
แต่ทว่า ตอนนี้เธอกำลังอุ้มท้องลูกให้เขาอยู่
ก็ไม่เลวนะที่เธอจะแสดงความกล้าบ้าบิ่นออกมาแบบนี้
จะว่าไป เธอก็เหมาะจะเป็นผู้หญิงของมหาเทพจอมราชันย์แบบเขานี่ล่ะ
ฝ่ายจิงหยารู้สึกสะใจไม่น้อยที่สามารถทำให้เย่หัวเคืองได้
มันคือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ ที่เธอได้พูดอะไรขัดหูหรือทำอะไรขัดใจผู้ชายคนนี้
แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอาการว่าเธอกำลังสะใจออกมาอย่างเปิดเผย
ตรงข้ามเธอยังคงทำหน้านิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร
ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจ เดินเข้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เมื่อนั่งจับจองโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย
พนักงานเสิร์ฟสาวน้อยหน้าตาน่ารัก ก็รีบนำเมนูมาให้ทั้งคู่
หลังจากวางเมนูบนโต๊ะแล้วพนักงานสาว ได้แต่ก้มหน้าก้มตา
เธอไม่กล้าเงยหน้ามองชายหญิงคู่นี้เลย
เย่หัวหยิบเมนูขึ้นมาแล้วโยนไปตรงหน้าจิงหยา
เขาทำท่าเหมือนจะขี้เกียจสั่งอาหาร และจะปล่อยให้จิงหยาเป็นคนทำหน้าที่นี้
“จะขี้เกียจอะไรขนาดนี้เนี่ย” จิงหยาบ่นพึมพำ อันที่จริง
ตอนนี้เธอรู้สึกหิวพอสมควร เพราะตั้งแต่เช้า เธอยังไม่ทานอะไรเลย
เย่หัวเองก็ไม่ได้ตอบโต้คำพูดประชดประชันของจิงหยา
ถ้าไม่เห็นแก่ลูกในท้อง เขาคงไม่มานั่งกินข้าวกับเธอแบบนี้
และคงร่ายเวทมนตร์ปิดปากเธอให้สนิท จะได้ไม่ต้องฟังเธอพูดให้รำคาญหู
จิงหยาเองก็ดูเหมือนไม่ได้อยากสนทนากับเขาอีกต่อไป
ทั้งสองคนรออาหารอยู่เงียบๆ
จนกระทั่งพนักงานเสิร์ฟนำอาหารทุกจานที่สั่งมาวางครบบนโต๊ะ
เย่หัวจึงได้บอกจิงหยาว่า “ตักอาหารให้ผมด้วย”
“อะไรนะ?” จิงหยาถามด้วยความโมโห
แทนการตอบ เย่หัวส่งสัญญาณด้วยการมองไปยังอาหารบนโต๊ะ และชามที่อยู่ตรงหน้าเขา
จิงหยาโกรธมาก เธอหัวเราะออกมาเสียงดัง และพูดกับด้วยน้ำเสียงถากถางว่า
“คุณคิดว่าคุณสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไมฉันต้องตักอาหารให้คุณ ให้ฉันป้อนเข้าปากคุณด้วยไหมล่ะ”
“ตักเอง!” จิงหยาพูดตบท้ายอย่างไม่แยแสเขาอีกต่อไป
“ตอนนี้คุณคือภรรยาผม คุณมีหน้าที่ต้องรับใช้ผมสิ” เย่หัวพูดตอบ
ดูเหมือนตอนนี้เขาชักเป็นฝ่ายหงุดหงิดบ้าง
จิงหยาเกือบจะพ่นอาหารที่เธอกำลังเคี้ยวออกมาจากปาก เมื่อได้ยินคำพูดของเขา
เธอเถียงกลับไปว่า “ฉันนี่นะมีหน้าที่รับใช้คุณ ขอโทษ ฉันไม่ทำ มันไม่ใช่หน้าที่ฉัน”
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงตักอาหารกินเองได้ไม่มีปัญหา
เพราะเมื่อก่อนเขาเป็นโสดตัวคนเดียว
แต่ตอนนี้เขาแต่งงานมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว
ภรรยาก็ต้องดูแลสามีเป็นธรรมดา ถ้ามีใครรู้ว่าจิงหยาปฏิบัติกับเขาแบบนี้
รู้ถึงไหนคงอายไปถึงนั่น
เมื่อเห็นว่าเย่หัวไม่ยอมแตะอาหารเลย จิงหยาเม้มปากและถามเขาว่า
“โกรธหรือไง?”
เย่หัวไม่สนใจตอบคำถาม
เขานึกในใจว่าเขาคงไม่ออกมาทานข้าวกับเธอแบบนี้อีกแน่นอน
หลังจากผ่านไป 10 นาที จิงหยาเห็นว่าเย่หัวยังไม่ยอมกิน
เธอจึงตักอาหารใส่ให้ในชามที่วางตรงหน้าเขาและบอกเขาว่า “กินสิ!”
“คุณสำนึกผิดแล้วสินะ”
เย่หัวพูดอย่างเย็นชาก่อนจะใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก
จิงหยารู้สึกคับแค้นจนอกแทบจะระเบิด
ทำไมเย่หัวถึงเป็นผู้ชายที่น่ารำคาญขนาดนี้
เธอยอมตักอาหารให้เพราะความสงสารแท้ๆ
แต่ทำไมเขาถึงพูดกับเธอแบบนี้
“ตักให้ผมอีกสิ”
“คุณแขนพิการหรือไง” จิงหยาถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
ตอนนี้เธอหมดความอดทน เธอไม่เหลือความสงสารอะไรให้เขาอีกต่อไปแล้ว
“ตักอาหารให้ผมด้วย ผมจะไม่พูดย้ำกับคุณเป็นครั้งที่สอง”
เย่หัวเริ่มรู้สึกว่าเขาต้องให้บทเรียนบางอย่างกับเธอเสียแล้ว
“แต่คุณพูดย้ำสองครั้งแล้วนะ” จิงหยาตะคอกกลับ
ปัง! เย่หัวฟาดตะเกียบลงบนพื้นโต๊ะจนเสียงดังสนั่นลั่นร้าน
ลูกค้าที่นั่งกันอยู่โต๊ะอื่นต่างตกใจ พากันหันมาสองชายหญิงหน้าตาดีสองคนนี้ และก็สงสัยว่าคนสองคนนี้ทะเลาะอะไรกัน
จิงหยาเองก็ตกใจไม่แพ้คนอื่นๆ ในร้าน ตอนนี้เธอกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ได้แต่สะอึกสะอื้นบอกเย่หัวว่า “เอาสิ จะตบจะตีฉัน ก็เอาเลย!”
เมื่อเย่หัวจ้องตาของจิงหยา ดวงตาที่แดงก่ำของเธอทำให้เขาคลายความโกรธลง
เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และนิ่งเงียบ
แต่ดูเหมือนว่า ตอนนี้คนทั้งร้านได้หันมาสนใจชายหญิงหน้าตาดีสองคนนี้เสียแล้ว
“ตายแล้ว! อิตารูปหล่อคนนั้นจะตบตีสาวสวยที่มาด้วยกันด้วยล่ะ”
ลูกค้าอีกโต๊ะนึงซุบซิบนินทากับเพื่อนที่มาด้วยกัน
“แต่ถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกับผู้หญิงนี่นะ... ผู้ชายคนนี้นี่มัน...”
เพื่อนของเขาพูดตอบ
“แต่ผู้ชายหล่อมากเลยนะเนี่ย”
“โรคจิตแน่นอน!”
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศมาคุที่โต๊ะของเย่หัวและจิงหยาได้สงบลงแล้ว
จนกระทั่งเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของจิงหยาดังขึ้น หญิงสาวหยิบมือถือขึ้นมาดู
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อคนโทรมา แต่เธอก็รับสาย
“จิงหยา! ผมได้ยินมาว่าตอนนี้คุณอยู่ที่เมืองหลงอัน ทำไมไม่บอกผม เราจะได้ไปด้วยกันไง”
เสียงปลายสายคือเสียงของผู้ชาย
“ฉันมาที่นี่กับสามี ฉันจะวางสายล่ะนะ” จิงหยาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใยดี
“จิงหยา! คุณไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ อย่ามาเล่นตลกอะไรแบบนี้ดีกว่า
ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบผม แต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงได้”
เสียงของผู้ชายดูมีความมั่นใจ และพยายามเอาชนะจิงหยาให้ได้
“ฉันมาที่นี่กับสามี ฉันจะไม่พูดซ้ำล่ะนะ”
“คุณพูดซ้ำสองครั้งละ” เย่หัวพูดแทรกขึ้นมา
จิงหยาเงยหน้าจากโทรศัพท์ และทำตาดุใส่เย่หัว
“โอเคๆๆ ตกลงคุณอยู่กับสามี! แต่คุณปู่ท่านอยากให้เราไปทานข้าวด้วยกันกับท่าน
ดีเลยที่คุณอยู่หลงอันตอนนี้ ผมจะไปถึงหลงอันช่วงเย็นๆ เราไปหาคุณปู่ด้วยกันคืนนี้เลยมั้ย”
“ฉันไม่ว่าง! ฉันมากับสามี!” จิงหยาตะคอกใส่โทรศัพท์
“ครั้งที่สามแล้ว” เย่หัวพูดลอยๆ ขึ้นมา
จิงหยาทนผู้ชายที่นั่งตรงข้ามอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
เธอผุดลุกขึ้นและตะโกนใส่เย่หัวว่า “คุณจะตายมั้ย ถ้าหุบปากไม่พูดเนี่ย!”
“คุณพูดอะไรของคุณน่ะจิงหยา!” เสียงปลายสายบอกความสับสน
“ไปตายซะไป!” จิงหยาตะคอกใส่โทรศัพท์ แล้วเธอก็นั่งลงกินอาหารต่อ
ลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านตกใจมิใช่น้อยเมื่อเห็นความเกรี้ยวกราดของจิงหยา
พวกเขารู้สึกอึ้งและทึ่งกับสาวสวยคนนี้ เธอดูมีอำนาจมากเมื่อเธอโกรธ
เย่หัวจุดบุหรี่มวนนึงขึ้นมาสูบ เขามองดูจิงหยากิน โดยไม่พูดอะไร
“ฉันอิ่มแล้ว” จิงหยาตบที่ท้องของเธอเบาๆ
หญิงสาวรู้สึกว่า เธอได้สวาปามความขุ่นข้องหมองใจลงท้องไปหมดแล้ว ตอนนี้แค่รอให้มันย่อยเท่านั้นเอง
เย่หัวไม่ได้พูดตอบจิงหยา เขาลุกขึ้นจากโต๊ะ และเดินนำออกไปจากร้าน
“อ้าว! คุณไม่กินแล้วเหรอ? นี่คุณ รอเดี๋ยวสิ!” จิงหยารีบจ่ายค่าอาหาร และลุกตามเย่หัวไป
“คุณช่วยเดินช้าๆ ได้มั้ย!” จิงหยากระหืดกระหอบพูด เมื่อเธอวิ่งไล่ตามเย่หัวทัน
เย่หัวหันมามองหญิงสาวและบอกกับเธอว่า “คุณอ่อนแอไปนะ รู้ตัวมั้ย... คืนนั้นคุณเกือบหมดสติหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง”
คำพูดของเย่หัว ทำให้จิงหยานึกถึงเหตุการณ์ในห้องนอนชั้นสองของบาร์คืนนั้น
“คุณนี่มันงี่เง่าจริงๆ” จิงหยาตะโกนใส่เย่หัวด้วยความโกรธ แล้วเธอก็หันหน้าเดินไปอีกทาง
อันที่จริงแล้ว เย่หัวเองไม่ได้อยากวิ่งตามจิงหยาที่เดินหุนหันหนีไป
แต่พอคิดขึ้นมาได้ว่า ลูกเขาอยู่ในท้องผู้หญิงคนนี้ ช่วยไม่ได้จริงๆ
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งตามเธอไป พลางคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญจริงๆ