ตอนที่แล้วเซียนเหนือวิถี บาทที่ 79
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเซียนเหนือวิถี บาทที่ 81

เซียนเหนือวิถี บาทที่ 80 (ฟรี)


บาทที่ 80

พวกเขาตื่นขึ้นมาเมื่อตอนตีสามตามปกติวิสัย มีเพียงแต่เหมยเหมยกับซีชี่ที่ยังไม่คุ้นเคย มีท่าทางที่ง่วงเหงาอยู่ ไม่นานนักเมื่อท้องฟ้าเริ่มปรากฏแสง พวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง

พวกเขาไปถึงเมืองเว่ยเมื่อยามบ่าย ซิ่วจูมีท่าทางคึกคักขึ้น เธอใช้เชือกปราณพูดคุยกับหงเซียวอยู่ตลอดเวลา

ที่หน้าประตูเมืองด้านทิศตะวันตก ทหารยามเห็นนกโจโคโบะสามตัววิ่งมาติดตามมาด้วยรถม้าหนึ่งคัน พวกเขาจ้องมองด้วยความตื่นตะลึง ไม่มีตระกูลใดในเมืองนี้ที่ใช้สัตว์อสูรนกโจโคโบะเป็นสัตว์พาหนะ จะมีก็แต่ตระกูลชั้นสูงจากเมืองอื่นที่จะผ่านมานานๆครั้ง และนานครั้งที่จะมีโอกาสได้เห็นจำนวนมากถึงสามตัวแบบนี้ พวกเขาสงสัยมากว่าเป็นคนจากเมืองไหน

แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นคนที่ขี่นกโจโคโบะนำหน้าชะลอช้าลงมาอย่างชัดๆ พวกเขาก็ต้องตกอยู่ในความสับสน ในเมื่อชายคนนั้นคือคุณชายเสเพลของเมืองไม่ใช่หรือ เขาหายไปจากเมืองหลายเดือนและกลับมาด้วยนกโจโคโบะเลยหรือ

“คุณชายหงเซียว” ทหารยามส่งเสียงทักทาย

หงเซียวยิ้มให้พวกเขาก่อนจะโยนสิ่งที่คล้ายก้อนหินให้พวกเขาก้อนหนึ่ง ก่อนจะขี่นกโจโคโบะเข้าประตูเมืองไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อน

“เขาโยนอะไรให้กับท่าน” ทหารยามคนหนึ่งถามหัวหน้าด้วยความสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนดูสิ่งที่อยู่ในมือนิ่งเงียบงัน

“ห-หินปราณ” ทหารยามคนนั้นอุทานออกมาเมื่อเห็นสิ่งนั้น ทหารที่เหลือรีบพากันไปดูของที่อยู่ในมือหัวหน้า

ปกติแล้วค่าผ่านทางจะอยู่ที่คนละสิบอีแปะ แต่ถ้าเป็นตระกูลต่างๆ หากเข้าออกพวกเขาก็สามารถที่จะไม่จ่ายค่าผ่านทางได้ แต่บางตระกูลก็ใจดีให้ค่าน้ำร้อนน้ำชาพวกเขาหนึ่งเหรียญเงินบ้าง หรือหนึ่งเหรียญทองบ้างนำไปแบ่งปันกัน

แต่ที่อยู่ในมือพวกเขานี้กลับเป็นหินปราณ ซึ่งมีค่ามากถึงร้อยเหรียญทอง คุณชายหงเซียวนี้ไปร่ำรวยมาจากไหนกันทั้งยังใช้สัตว์อสูรเป็นพาหนะอีกด้วย

แต่ก่อนนี้อาจจะไม่ แต่ตอนนี้เขาซื้อใจทหารยามพวกนี้ไปจนหมดแล้ว

หงเซียวพาทุกคนเหยาะย่างเดินชมตัวเมือง

เมืองเว่ยนั้นด้านตะวันออกติดทะเล มีสะพานเดินเรือยื่นออกไปสู่ทะเลนับร้อย มีเรือจอดอยู่นับพันคึกคักยิ่ง มีอู่ต่อเรืออยู่ทิศเหนือของเมือง ซึ่งถัดจากนั้นไปก็เป็นหมู่บ้านชาวประมงเรียงรายไปทั่วชายหาด ด้านใต้นั้นเป็นป่าชายเลนดึกดำบรรพ์เป็นแหล่งสมุนไพรขึ้นชื่อเช่นเดียวกับเป็นแหล่งที่มีสัตว์อสูรชุกชุมทั้งยังมีคำร่ำลือว่ามีเมืองโบราณซุกซ่อนอยู่ในป่าแห่งนั้นด้วย

รายได้ของเมืองเว่ยนั้นส่วนใหญ่มาจากการค้าขายและสินค้าจากทะเลเลื่องชื่อ ทั้งสัตว์ทะเล ปะการัง ไข่มุก และสาหร่ายทะเลนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีรายได้จากพื้นที่สัมปทานป่ารอบเมืองอีกด้วย ทั้งจากต้นไม้ สมุนไพร และสัตว์อสูร โดยเฉพาะสัตว์อสูรถือเป็นแหล่งรายได้ที่มากที่สุดจากป่าอีกด้วย

เมืองเว่ยนั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก มีถนนตัดแบ่งแยกย่อยมากมาย แต่ก็สามารถแบ่งด้วยถนนหลักได้เป็นสิบหกเขต

ในเมืองเว่ยนั้นมีตระกูลใหญ่อยู่เจ็ดตระกูล ตระกูลขนาดกลางอีกนับสิบ และตระกูลเล็กๆอีกนับร้อย ตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลยึดครองพื้นที่แต่ละเขตของเมืองได้ตระกูลละหนึ่งเขต ขณะที่ที่เหลืออีกเก้าเขตนั้นเป็นที่ตั้งของตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กปะปนกันไป และตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กนี้ก็จะต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลใหญ่ตระกูลใดตระกูลหนึ่งเพื่อความอยู่รอด

ตระกูลหงนั้นถือเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดแต่ด้วยขาดอัจฉริยะในรุ่นหลังๆทำให้ตระกูลหงตกต่ำลงมาอย่างมาก ตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กที่เคยอยู่ใต้อาณัติจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นจนเกือบหมดสิ้น

หากแบ่งเมืองเป็นตารางขนาดสี่คูณสี่ โดยมีทิศเหนืออยู่ด้านบนแล้วนับหนึ่งจากล่างขึ้นบนซ้ายไปขวาแล้ว ตระกูลหงจะอยู่ตรงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งหรือมุมตะวันตกเฉียงใต้พอดี

ดังนั้นเมื่อเขาเลือกเข้าเมืองจากทางด้านตะวันตกทางประตูใหญ่ด้านขวามือสุด เขาก็จะเข้าไปถึงตระกูลหงได้พอดี

ตระกูลจูเป็นตระกูลใหญ่ที่เป็นผู้ครองนคร ดังนั้นหากจะมีการแข่งขันกันระหว่างตระกูลใหญ่ พวกเขาก็จะไม่มีใครกล้าที่จะงัดข้อกับตระกูลจูโดยเด็ดขาด

ตระกูลลิ้ว ตระกูลจง ตระกูลหนานกง เป็นพันธมิตรกัน ขณะที่ตระกูลหง ตระกูลเซีย ตระกูลลู่ ก็เป็นพันธมิตรกันเช่นเดียวกัน แต่เพราะว่าสามตระกูลหลังเริ่มอ่อนกำลังลงกว่าสามตระกูลแรก ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาค่อนข้างย่ำแย่

เพราะว่าหงเซียวเป็นคุณชายเสเพลที่ได้รับการประคบประหงมมาตั้งแต่เล็ก เมื่อต้องรับภาระหนักของตระกูลทำให้เขารับไม่ไหวเตลิดหนีออกไปจากตระกูลทำให้ตระกูลหงยิ่งง่อนแง่น

และวันนี้คุณชายหงคนใหม่กลับคืนเข้าสู่ตระกูลแล้ว

นกอสูรโจโคโบะวิ่งไปหยุดอยู่ตรงทางเข้าลานบ้านตระกูลหง ซึ่งสองฟากข้างติดตั้งเสาโคมมังกรคาบแก้ว ซึ่งเป็นเสาหินแกะสลักเป็นรูปมังกรทะยานฟ้าในปากมังกรติดตั้งโคมไฟแก้วรูปทรงกลมดูน่าเกรงขาม นักบู๊ตระกูลหงสองคนอยู่ในเครื่องแบบยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับดาบเสี้ยวจันทร์สะพายอยู่ข้างเอว

ทันทีที่นักบู๊สองคนนั้นมองเห็นหงเซียวกับซิ่วจูบนหลังนกทั้งคู่ต่างพากันตกตะลึงไปชั่วขณะ จนกระทั่งหงเซียวและคนอื่นๆพากันลงจากหลังนก นักบู๊ทั้งสองจึงได้สติ รีบเข้าไปรับหน้า

“นายน้อย” ทั้งสองคนประสานมือคำนับ

หงเซียวตบบ่าทั้งสองคนแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าทำงานหนักแล้ว”

จากนั้นเขาก็โยนถุงเล็กๆสีแดงให้คนละถุง ก่อนที่จะจูงนกก้าวเข้าไปในลานบ้านติดตามด้วยเหมยเหมยและซีชี่ ซิ่วจูซึ่งรั้งท้ายได้ทำการจ่ายเงินที่เหลือให้กับคนขับรถม้า ซึ่งอีกฝ่ายก็กล่าวขอบคุณก่อนจะพารถม้าจากไป หลังจากนั้นซิ่วจูและจินหลินก็ได้ทำการจูงนกของตนเองติดตามเข้าไปในลานบ้าน

“นายน้อยช่างเหลือเกิน ออกจากบ้านไปหลายเดือน ขากลับมากลับพาหญิงมาด้วยอีกตั้งสามคน สมกับฉายาของเขา ไม่รู้ว่านายท่านจะโกรธหรือไม่” นักบู๊คนหนึ่งกระซิบกับอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ชู่ว์ เจ้าพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เจ้าดูไม่ออกรึว่าตอนนายน้อยออกไปดูท่าทางเหมือนกับเสียใจในเรื่องอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้กับกลับเข้ามาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจมาก” อีกคนกล่าวบ้าง

“จริงด้วย เจ้าทำให้ข้านึกขึ้นได้ ตอนที่นายน้อยออกจากบ้านไป เขาขี่ม้าไปพร้อมกับซิ่วจู แต่ขากลับมากลับขี่นกอสูรมา ไม่เพียงตัวเดียวแต่กลับมีถึงสามตัว ไม่แน่ว่านายน้อยอาจจะประสบกับปาฏิหาริย์อะไรสักอย่าง” นักบู๊คนแรกกล่าวอย่างนึกขึ้นได้

“ไม่แน่ว่าอั่งเปาของนายน้อยอาจจะไม่เหมือนทุกครั้งที่พวกเราเคยได้รับ มาเปิดดูกันเถอะ” นักบู๊อีกคนกล่าว

ทั้งสองคนเปิดถุงผ้าสีแดงออกมาดูและก็ต้องตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

“ห-หินปราณ”

คนที่นักบู๊ทั้งสองได้กล่าวถึงนั้นได้ปล่อยให้นกอยู่ที่ลานบ้าน ก่อนที่ซิ่วจูจะทำการเดินนำคุณชายหงเซียวไปยังห้องโถงหลักเพื่อพบกับผู้นำตระกูลหง หงหมิง บิดาของหงเซียว

เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้หลักพร้อมกับผู้อาวุโสของตระกูลกำลังปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาเพราะว่าประตูห้องโถงเปิดออก ทั้งที่ถูกสั่งไว้ไม่ให้รบกวน ขณะกำลังจะตวาดออกไปก็เห็นใบหน้าของหงเซียว

สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แม้ว่าจะยังมีสีหน้าเครียดแต่ดวงตาของหงหมิงมีแววดีใจแกมประหลาดใจอยู่อย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจและดูโล่งอกขึ้น แต่ก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ถึงกับตกตะลึงจนหงเซียวต้องจดจำไว้ในใจ

“คารวะท่านพ่อกับท่านผู้อาวุโสทุกท่าน” หงเซียวประสานมือโค้งตัวก้มหน้าคารวะ แต่สายตามองไปยังมือของซิ่วจูที่ขยับอย่างรวดเร็ว เธอยืนอยู่ด้านข้างเยื้องไปด้านหลัง

เธอกำลังส่งรหัสบอกว่าใครเป็นใคร

“ฮึ กลับมาแล้วรึเจ้าเด็กบ้า” หงหมิงส่งเสียงดุด่า

“ท่านพ่อ ข้าต้องขออภัยที่ไปโดยมิได้บอกกล่าวร่ำลา แต่หากข้าพูดออกไปข้าก็คงมิได้ไปอย่างแน่นอน” หงเซียวลดมือลงเงยหน้าขึ้นมาตอบ พร้อมทั้งส่งสัญญาณให้คนที่เหลือถอยไป

ซิ่วจูรู้สถานการณ์ ในที่ประชุมผู้อาวุโส คนภายนอกห้ามเข้า เธอจึงดึงบานประตูปิดปล่อยให้หงเซียวอยู่กับคนในห้องนั้นตามลำพัง

“เจ้าไปแล้วรู้หรือไม่ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้น ความน่าเชื่อถือของตระกูลเราลดลง ขวัญกำลังใจของคนในตระกูลเราตกต่ำลง หงหลงก็อายุยังไม่ถึงสิบหกปีทันเวลาการประลองที่จะเกิดขึ้น พวกเรากำลังคุยกันอยู่ว่าจะส่งใครไปเข้าร่วมดี” หงหมิงตบโต๊ะด่าลูกชายของตนเอง

“ท่านพ่อ ยังไงข้าก็กลับมาแล้ว ยังมี ข้าได้ประสบการณ์เยอะแยะมากมาย ข้าคิดว่าคราครั้งนี้ตระกูลเราน่าจะได้อันดับที่ดี” หงเซียวตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เจ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหนกัน” หงหมิงยังคงคำราม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด