บทที่ 5 จิวเย่
นอกเหนือจากปีศาจทั้ง 2 ตน มหาปีศาจแห่งบาปอีก 5 ประการ ที่เหลืออยู่ที่ไหนนั้นยังคงเป็นปริศนา
พวกมันกบดานอยู่ที่ไหนไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้สึกสัมผัสรังสีความเป็นปีศาจของพวกมัน
หรือพวกมันจะซ่อนงำตัวตนเอาไว้ และไม่ยอมแสดงพลังปีศาจออกมาให้ใครจับได้
ปีศาจแห่งความผิดบาปทั้ง 2 ตนที่ติดตามเย่หัวมาเป็นปีๆ
พวกมันคิดอ่านอย่างไร ณ ตอนนี้ เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรกับพวกมันบ้าง
แม้แต่เย่หัวเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก อันที่จริง จะเก็บใครไว้กับตัว
หรือจะกำจัดใครออกไป มันขึ้นกับปัจจัยหลายประการ ถ้าจำเป็นต้องฆ่า
เขาก็ทำ และบางทีมันอาจจะเกี่ยวกับเรื่องของโชคชะตาด้วยซ้ำ
จะว่าไปแล้ว ธุรกิจสถานเริงรมย์ของเย่หัว ค่อนข้างไปได้สวยทีเดียว
ทุกๆ ค่ำคืน ลูกค้าสาวๆ พากันต่อแถวเรียงคิวเพื่อรอเข้าบาร์
หนุ่มๆ ก็เป็นลูกค้าขาประจำที่นี่ เพราะบาร์แห่งนี้เป็นแหล่งชุมนุมของสาวสวยมากหน้าหลายตา
ให้พวกเขาได้เกี้ยวพาล่าแต้ม แต่คงเป็นโชคร้ายสำหรับหนุ่มๆ เหล่านี้
เพราะสาวสวยเหล่านั้นมุ่งมั่นดั้นด้นมาที่บาร์แห่งนี้ ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นคือ บอสเจ้าของบาร์เท่านั้น
น่าสงสารที่หลายครั้งหลายครา หนุ่มๆ ต่างต้องกลับบ้านไปด้วยความผิดหวัง
ก่อนถึงเวลาบาร์เปิดให้บริการ รถคาดิลแลคเอสยูวี 3 คัน ขับช้าๆ
เข้ามาในตรอกที่ตั้งของบาร์ ขนาดของรถทั้งสามคันดูเทอะทะ
ทำให้การสัญจรในตรอกแห่งนี้ดูยากลำบากขึ้น
และพวกมันยังสร้างความกดดันบางอย่างให้ผู้คนเดินเท้า ที่บังเอิญเดินสวนไปเดินสวนมาอีกด้วย
จวบจนกระทั่งรถทั้งสามคันมาหยุดตรงหน้าประตูทางเข้าบาร์
ตรอกแห่งนี้จึงดูเหมือนถูกปิดกั้นทางเข้าออกไปโดยปริยาย
อันธพาลวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อยู่ ณ บริเวณนั้น ชี้ชวนกันดูรถยนต์ทั้งสามคัน
พวกเขาดูเหมือนจะเตรียมพร้อมเล่นงานเจ้าของรถ
แต่ทันทีที่พวกวัยรุ่นเห็นกลุ่มคนที่ลงมาจากรถคาดิลแลค
พวกเขาเบือนหน้ามองเฉไฉไปทางอื่น และสลายตัวจากบริเวณนั้นทันที
กลุ่มชายในชุดสูทสีดำทยอยลงมาจากรถสองคัน ที่จอดขนาบด้านหน้า และ ด้านหลังคันที่จอดตรงกลาง
หนึ่งในนั้นเดินไปยังรถยนต์คันกลางเพื่อเปิดประตูให้บุคคลสำคัญในรถลงมา
บุคคลสำคัญผู้นั้นเป็นชายอายุราวๆ ห้าสิบกว่าปี แม้ว่าอายุอานามของเขาจะเพิ่งล่วงเลยสู่วัยห้าสิบ
แต่ศีรษะของเขาก็ขาวโพลนไปหมด ถึงกระนั้นร่างกายสูงใหญ่ของเขา
ก็ยังคงดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและอำนาจ บารมี แววตาของเขายังส่องประกายเจิดจ้า
และจุดแต้มเม็ดไฝสีดำสนิทที่หางตาข้างนึง ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีรังสีอำมหิตบางอย่างปล่อยออกมาจากดวงตาคู่นั้น
“เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วใช่ไหม”
ชายวัยห้าสิบพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก เสียงของเขาช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ
เขาผู้นี้มีนามว่า “กงเหว่ย” แต่คนใกล้ชิดหรือบริวารรายล้อม จะเรียกเขาว่า “จิวเย่” ซึ่งหมายถึงปู่ผู้อาวุโสลำดับที่เก้า
ผู้คนแห่งเมืองหลงอันต่างรู้ชักชายผู้นี้เป็นอย่างดีในฐานะผู้ประกอบการ และผู้บริหารธุรกิจรายใหญ่
คนในเมืองนี้ต่างรู้กันดีว่าเขาทำธุรกิจอะไร เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยมันออกมาเท่านั้นเอง
“ครับจิวเย่ เราเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว”
หนึ่งในผู้ติดตามตอบเขาอย่างระมัดระวัง
กงเหว่ยพยักหน้ารับรู้ เขาจ้องไปยังประตูทางเข้าบาร์
ยืดอกสูดลมหายใจเข้าไปฟอดใหญ่ แล้วเดินอย่างผึ่งผายเข้าไปในบาร์
เหล่าสมุนเห็นดังนั้นก็รีบตามเจ้านายของพวกเขาเข้าไปด้วยทันที
“อย่าเข้ามา! รอฉันอยู่นี่แหละ!” กงเหว่ยตะโกนด้วยความโกรธ
เขารู้ดีว่าหากคนที่อยู่ด้านในเห็นสมุนตามเขาไปเป็นพรวนแบบนี้
บุคคลผู้นั้นอาจจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
“จิวเย่ครับ!” ผู้ติดตามคนหนึ่งตะโกนสวนกลับไปด้วยความกังวล
ใครจะรู้ว่าเขารู้สึกกังวลในความปลอดภัยของเจ้านายจริงๆ
หรือเสแสร้งแกล้งทำเพื่อประจบสอพลอ
กงเหว่ยจ้องไปยังลูกน้องเจ้าของเสียงตะโกน เขาไม่ตอบว่ากระไร
แต่กลับผลักประตูบาร์เดินเข้าไปด้วยท่าทีองอาจเช่นเดิม
ภายในบาร์ขณะนี้มีเพียงเหล่าพนักงานเสิร์ฟสาวสวย
และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มๆ ประจำการเตรียมทำหน้าที่
เมื่อกงเหว่ยก้าวเข้ามา ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมที่ทำ และหันไปมองชายผู้มาเยือนเป็นตาเดียวกัน
“ขออภัยครับท่าน ตอนนี้บาร์ยังไม่เปิดครับ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มคนหนึ่ง เดินเข้ามาและพูดกับกงเหว่ยด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ฉันมาที่นี่เพื่อพบบอสของนาย” กงเหว่ยตอบพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก
ถ้าไม่ใช่วันนี้ เขาอาจจะโต้ตอบออกไปด้วยท่าทีที่รุนแรงกว่านี้
ดูเหมือนว่าวันนี้ เขาจะใจเย็นเป็นพิเศษ
“บอสกำลังพักผ่อนครับท่าน”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังคงพูดกับชายอาวุโสด้วยความสุภาพ
มันออกจะเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดสักหน่อยสำหรับเขา เพราะปกติแล้ว
มีเพียงอิสตรีเพศเท่านั้นที่มาหาบอส
“น้องชาย... ฉันมีเรื่องด่วนที่ต้องพบบอสของนาย นายพอจะช่วยฉันได้ไหม?”
กงเหว่ยยังสนทนาอย่างใจเย็นกับ รปภ.หนุ่ม
ทั้งๆ ที่ในหัวของเขาแทบจะคุ้มคลั่ง
เขารู้สึกว่าการเจรจากับเด็กหนุ่มผู้นี้มันเสียเวลาเหลือเกิน
"ผมต้องขอโทษท่านด้วยครับ ผมช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ"
เด็กหนุ่มยืนกรานปฏิเสธ
เขาระลึกถึงสิ่งที่หัวหน้าเว่ยฉางสอนเขาไว้เป็นอย่างดี
เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใครหน้าไหน หากเขาทำงานที่บาร์แห่งนี้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น บุรุษที่ใครต่อใครเรียกเขาว่าจิวเย่ ถึงกับยิ้มตอบรับ
หากแต่ว่ารอยยิ้มของเขาหาใช่รอยยิ้มแห่งความยินดี
มันคือยิ้มของผู้ที่ทะนงตนในศักดินาฐานะที่สูงส่งกว่า
คนอย่างเขายอมให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างยามหนุ่มคนนี้มาหยามศักดิ์ศรีได้อย่างไร
รอยยิ้มของจิวเย่คงแผ่รังสีอำมหิตบางอย่างออกมา
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มถึงกับก้าวเท้าถอยหลังด้วยความกลัว
"เกิดอะไรขึ้น!" เว่ยฉางเดินเข้ามาหาทั้งสองคนที่กำลังคุยกัน
“หัวหน้าครับ คุณผู้ชายท่านนี้เขาอยากพบบอส”
รปภ.หนุ่มรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นเว่ยฉางเดินเข้ามา
เว่ยฉางมองไปยังชายอาวุโสด้วยสายตานิ่งเฉย เขานึกในใจว่า
ชายผู้นี้ตั้งใจจะมาก่อเรื่องอะไรที่นี่ เขาไม่กลัวตายหรือไร
เมื่อเห็นเว่ยฉาง กงเหว่ยเกิดอาการเกร็งเล็กน้อย
เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายผู้นี้มาก่อน
เขาหยิบจดหมายที่พกติดตัวมาในกระเป๋าเสื้อสูท
และส่งมอบจดหมายฉบับนั้นให้เว่ยฉางทันที
เว่ยฉางรับจดหมายไป แล้วเปิดอ่านด้วยอารามสงสัย
หลังอ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว เขาหันไปสั่งแขกผู้มาเยือนว่า
“ตามผมมา”
“ขอบคุณมาก”
ชายผู้มีสมญานามว่าจิวเย่ พูดตอบกลับเว่ยฉางด้วยความสุภาพ
อันที่จริง เขาออกจะประหม่าเล็กน้อย
หลังจากที่จิวเย่เดินตามเว่ยฉางไป
บรรดาพนักงานก็มาชุมนุมสุมหัวกันพูดคุยถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
“พระเจ้าช่วย! นายช่างกล้ามาก ผู้ชายคนนั้นคือ ‘จิวเย่’ เชียวนะ ใครๆ ก็รู้จักเขาดี นายยังจะกล้าขวางเขาอีก!”
“ใช่ๆ นายไม่เห็นหรือไง พวกเราไม่มีใครกล้าเสนอหน้าเลย แกล้งไม่มอง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปซะ”
ถังเหว่ยฟังบทสนทนาอย่างตั้งใจ เธอถามขึ้นมากลางวงด้วยความสงสัย
“จิวเย่นี่เขายิ่งใหญ่มากเลยเหรอ”
ทุกคนหัวเราะเมื่อได้ยินคำถามซื่อๆ ของถังเหว่ย และหนึ่งในนั้นบอกเธอว่า
“ที่หลงอัน จิวเย่ทำได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้”
“เขาก็ดูน่านับถืออยู่นะ” ถังเหว่ยเม้มปากและดูครุ่นคิด
เธอคิดในใจว่าจิวเย่ผู้นั้นก็ดูเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา
คนพวกนี้พูดอย่างกับว่าเขาคือผู้วิเศษ
“จริงๆ บอสของพวกเราเจ๋งกว่านะ”
"ถูกต้อง" หนึ่งในบรรดาพนักงานเห็นด้วยกับความคิดของเพื่อนร่วมงาน
เว่ยฉางพาจิวเย่ขึ้นมาจนถึงหน้าห้องทำงานที่อยู่ชั้นบนของบาร์
เขาเคาะประตูเพื่อแจ้งให้คนข้างในทราบถึงการมาเยือน
ส่วนจิวเย่ที่ยืนรออยู่หลังเว่ยฉางเหงื่อแตกพลั่ก
จนเขาต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่ออยู่เรื่อยๆ
“เข้ามา” เสียงตอบรับดังลอดประตูออกมา
และทันทีที่เว่ยฉางเปิดประตูเข้าไป เสียงตะโกนดังสวนขึ้นทันทีว่า “คุณปู่”
เว่ยฉางเกือบจะเกิดอาการหัวใจวายจากอารามตกใจ จริงๆ แล้ว
เสียงตะโกนนั้นดังออกมาจากโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ในห้องนั่นเอง
“ไอ้วิญญาณผีชั่ว แกปล่อยปู่ฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ภายในห้อง เย่หัวกำลังนั่งจดจ้องไปยังทีวีจอยักษ์
เขากำลังดูรายการโชว์ทางโทรทัศน์รายการหนึ่งอย่างตั้งใจ
“อย่ารบกวนตอนบอสดูทีวีเป็นอันขาด” เว่ยฉางหันไปสั่งจิวเย่
จิวเย่ยังยืนหลบอยู่ข้างหลังเว่ยฉาง เขากลืนน้ำลายดังเอื้อก
พลางคิดว่าบรรยากาศแบบนี้มันเหมือนย้อนกลับไปในอดีต
ตอนที่เขาเข้าไปพบเจ้านายของเขา! เขาสัมผัสถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
จนต้องมองสำรวจไปโดยรอบห้องเพื่อหาทางหนีทีไล่
นอกจากประตูบานใหญ่ที่เขาเพิ่งเดินผ่านเข้ามา
ห้องนี้ก็ไม่มีทางออกอื่นอีก
20 นาทีผ่านไป ดูเหมือนเย่หัวจะดูรายการทีวีจบแล้ว
เขาหยิบรีโมททีวีขึ้นมากดปุ่มปิดหน้าจอ แล้วพูดพึมพำว่า
“พวกมนุษย์ช่างแปลกจริงๆ”
“อา...” จิวเย่ได้แต่อุทานออกมาเบาๆ
เพราะรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศในห้องนี้เหลือเกิน
ส่วนเย่หัวไม่ได้แยแสการมาของจิวเย่สักเท่าไหร่
เขากลับหันไปถามลูกน้องว่า “ว่าไงเว่ยฉาง... นายมีธุระอะไร”
เว่ยฉางยื่นจดหมายในมือไปให้นายของเขาแทนคำตอบ
เย่หัวรับจดหมายไปเปิดอ่าน และหันไปพูดกับแขกผู้มาเยือนว่า
“นายคงเป็นลูกน้องของวู่เหย่สินะ”
จิวเย่พยักหน้าน้อมรับ และพูดกับเย่หัวว่า
“ครับท่านอาจารย์เย่ ผมคือคนของท่านวู่เหย่ ท่านวู่ไม่เคยทอดทิ้งผม ผมลืมตาอ้าปากได้ทุกวันนี้ก็เพราะท่าน”
“อย่ามาเรียกฉันว่าท่านอาจารย์ มันไม่สมกับสถานะของฉันตอนนี้
เรียกฉันว่า ‘บอส’ เข้าใจไหม ครั้งนี้ฉันจะไม่ถือสา จะลืมมันไปซะ”
เย่หัวพูดตอบพร้อมจ้องเขม็งไปยังจิวเย่
ชายอาวุโสได้ยินถึงกับปากสั่นรู้สึกหนาวไปทั้งตัว
“ดะ... ดะ... ได้ครับ บอส” เขาละล่ำละลักตอบ
เย่หัวขว้างจดหมายในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี
และพูดกับจิวเย่ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “เสี่ยววู่เคยช่วยฉันไว้อย่างนึง
ฉันสัญญากับเขาว่าฉันจะตอบแทนเขาสักวันถ้ามีโอกาส
ไหนนายบอกฉันมาสิ นายมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไร”
จิวเย่ปาดเหงื่อที่แตกพลั่กบนใบหน้า และตอบเย่หัวด้วยอาการนอบน้อมว่า
“เมื่อไม่นานมานี้ ผมเจอคู่แข่ง...”
ไม่ทันที่ชายอาวุโสจะพูดจบ เย่หัวตัดบทพร้อมพูดสวนไปว่า
“ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องนี้!”
จิวเย่ตกใจเล็กน้อยกับปฏิกิริยาของเย่หัว
ถึงกระนั้นเขาได้หยิบเอกสารข้อมูลของ “คู่แข่ง” ที่เขาเพิ่งพูดถึงออกมา
เว่ยฉางดึงเอกสารหลุดจากมือของชายอาวุโส
ฝ่ายเย่หัว เขาหันไปหยิบรีโมททีวีที่วางไว้กดปุ่มเปิดทีวีอีกรอบ
และหันไปสนใจหนังการ์ตูนในจอแทน
“เชิญกลับไปได้ครับ” เว่ยฉางพูดกับจิวเย่ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
จิวเย่ดูลังเล ไม่ยอมออกไปจากห้อง เขาคิดแค่ว่าตอนนี้อาจจะพอมีโอกาสชนะใจเย่หัวได้บ้าง เขารีบพูดออกไปว่า
“บอสครับ ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ผมได้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้กับท่านด้วย”
เย่หัวดูจะออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อจิวเย่ไม่ยอมออกไป
จนเว่ยฉางต้องเป็นฝ่ายตะโกนออกมา “ออกไปจากที่นี่ เดี๋ยวนี้!”
“บอสครับ ผมเลือกของขวัญให้ท่านด้วยตัวเอง
นายท่านเชื่อถือในคุณภาพได้ครับ มีแต่ของดีๆ แน่นอน”
จิวเย่ดูช่างกล้ามากที่ไม่ยอมออกไป อันที่จริง เขาควรทำตามที่เว่ยฉางบอก
เย่หัวกดปุ่มปิดทีวี ก่อนหันไปพูดกับชายอาวุโสว่า “นายรู้มั้ยผลของการทำให้ฉันหงุดหงิดคืออะไร”