บทที่ 4 คืนหนึ่งคืนนั้น
“จะพาฉันไปไหนน่ะ” จิงหยาเอ่ยถามเบาๆ
เธอรู้สึกสะใจเล็กน้อยที่กำลังจะได้ทำบางอย่างเพื่อประชดครอบครัวของเธอ
อีกกอย่าง ผู้ชายที่อยู่กับเธอตอนนี้ดูดีคนละรับดับ กับพวกนักเลงอันธพาลข้างถนนเป็นไหนๆ
“ขึ้นไปชั้นบน”
“ดูเหมือนว่าคุณพร้อมตลอดเวลาเลยนะ” จิงหยาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ขณะที่เธอเดินไปหยุดตรงหน้าของเย่หัว
“แน่นอน... ก็นานๆ ถึงจะมีผู้หญิงแบบคุณหลงผ่านมา”
“แล้วผู้หญิงคนก่อนหน้าฉันล่ะ” จิงหยาถามกลับด้วยความสงสัย
“ผมจะไม่แตะต้องผู้หญิงคนเดิมเป็นหนที่สอง” เย่หัวตอบอย่างเย็นชา
จิงหยาออกจะ งง กับคำตอบที่ได้ยิน
เธอกำลังจะมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับชายคนนี้
และมันจะเกิดขึ้นแค่คืนเดียวอย่างนั้นหรือ วันรุ่งขึ้น
ทั้งเธอและเขาจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันงั้นหรือ
เธอไม่คิดว่าเธอจะต้องมาพบพานสถานการณ์แบบนี้
เมื่อเย่หัวพาจิงหยาขึ้นไปยังชั้นบนของบาร์
จิงหยาพบว่าชั้นสองประกอบไปด้วยห้องหับจำนวน 3 ห้อง
อันประกอบไปด้วยห้องทำงาน ห้องนอน และห้องเก็บของ
“ห้องนอนอยู่ด้านซ้าย” เย่หัวพูดบอกจิงหยา
จิงหยาเดินนำหน้าและเปิดประตูห้องนอนเข้าไป ในความเป็นจริงแล้ว
เธอกำลังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นมาก
"อา!" ทันใดนั้นจิงหยาก็ส่งเสียงร้องออกมา
เธอถึงกับผงะเมื่อเห็นสุนัขพันธ์พิทบูลตัวเขื่องนอนหมอบอยู่ข้างเตียง
เพราะเสียงร้องอุทานของจิงหยา เจ้าพิทบูลเปิดเปลือกตาข้างนึงของมัน
เผยให้เห็นประกายความดุดัน ด้วยความรวดเร็ว มันผุดขึ้นยืนจังก้า
และจ้องเขม็งมายังจิงหยา
“หลี่กู้ ถอยไป!” เย่หัวตะโกนออกคำสั่ง
หลี่กู้ผู้ฮึกเหิมดูหวาดกลัวขึ้นมาในบัดดล มันส่งเสียงครางออกมาเบาๆ
ก่อนเดินออกไปจากห้องนอน
“นอกจากคุณจะแปลก หมาที่คุณเลี้ยงก็แปลกเหมือนกันนะ”
จิงหยารำพึงออกมาเบาๆ ขณะนั่งอยู่บนเตียง
เมื่อเธอพิจารณาห้องนอนของเขา ห้องนอนสะอาดเอี่ยม
ไม่มีกลิ่นแปลกปลอมรบกวนจมูกแต่อย่างใด
นอกจากนี้ บนผนังประดับด้วยภาพเขียน 3 ภาพ
เธอดูมีความสงสัยเกี่ยวกับภาพทั้งสามอยู่ไม่น้อย
ภาพเด็กผู้ชายคาบกล้องยาสูบนี่ไม่ได้เป็นผลงานของปิกัสโซใช่ไหม เอ๊ะ!
ภาพนั้นก็ภาพของปิกัสโซ รู้สึกจะชื่อ “ความฝัน” และภาพนั้นคือภาพ "คนเล่นไพ่" สินะ
“ภาพเขียนบนผนังทั้งหมดคือของปลอมใช่มั้ย”
จิงหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดูเหมือนว่าชายคนนี้ชอบทำตัวสูงส่ง
คงพาผู้หญิงมาที่ห้องและก็อวดรสนิยมทางศิลปะเพื่อล่อลวงผู้หญิงเหล่านั้น
ล่ะสิท่า ผู้หญิงพวกนั้นจะรู้อะไรเกี่ยวกับภาพเขียนพวกนี้
เย่หัวมองไปยังภาพเขียนบนผนัง “คุณคงจะต้องถามลูกน้องผมแล้วล่ะ
เขาคอยหาภาพเขียนมาให้ผม เขาชอบสะสมของแปลกๆ ไว้เยอะเลย”
“สะสมภาพเขียนปลอม อืม... เป็นงานอดิเรกที่ประหลาดเกินไปหน่อยนะ”
เย่หัวไม่ตอบ เขากลับถอดสูทตัวนอกออก ก่อนเดินตรงไปยังจิงหยา
เธอเองรวบรวมความกล้าทั้งหมดจ้องดูเย่หัวไม่วางตา
ผู้หญิงอย่างเธอไม่เคยกลัวใครเลย!
แม้แต่ตอนนี้
ขณะที่เย่หัวกำลังกดร่างบอบบางของเธออยู่ภายใต้ร่างอันล่ำสันของเขา
จิงหยาก็ยังไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวใดๆ ออกมา
"คุณกำลังทำอะไร? ลืมสำนึกผิดชอบชั่วดีไปให้หมด?
เราต่างฝ่ายต่างพึงพอใจในกันและกันไม่ใช่หรือ ผ่อนคลายสิ”
เย่หัวพูดกับจิงหยาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ขณะที่มือของเขากำลังทำหน้าที่ปลดเปลื้องอาภรณ์ราคาแพงที่ผู้หญิงคนนี้สวมใส่
ผิวพรรณใต้ร่มผ้าของเธอเพิ่มคะแนนความชอบพอที่เขามีให้เธอขึ้นไปอีก
แม้แต่ชุดชั้นในของเธอ ก็ไม่ธรรมดา เธอดูแพงสมราคาเสียจริง!
“ผ่อนคลายสิ... ผ่อนคลาย”
เย่หัวพูดกับเธออย่างอ่อนโยน
ขณะบรรจงจูบต่อริมฝีปากอวบอิ่มเหมือนผลเชอร์รี่แดงฉ่ำของจิงหยา
จิงหยาค่อยๆ ผ่อนคลายตามที่เขาบอก
แต่จุมพิตแรกนี้กำลังจะมลายหายไป
ค่ำคืนนี้ก็กำลังจะอันตรธานหายไปในไม่ช้า ...
ครึ่งชั่วโมงถัดมา เย่หัวยังนอนทาบนาบลำตัวอยู่บนร่างของจิงหยา
เขาค้นพบว่าร่างกายของผู้หญิงคนนี้อ่อนแอเกินไป ท่าจะไม่ดีแล้วล่ะ
เขารอคอยผู้หญิงที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอย่างจิงหยามานานหลายปี
เขาพร้อมจะมีสัมพันธ์กับเธอผู้นี้ทั้งคืน
กว่าจะเจอผู้หญิงที่ใช่แบบเธอคนนี้อีก จะรอคอยอีกกี่เดือนกี่ปี ใครจะรู้
“จิตวิญญาณจงฟื้นคืน!”
"จงเยียวยา!"
หลังจากใช้ร่ายมนต์ลงบนร่างของหญิงสาว
จิงหยาผู้กำลังอ่อนแอทางจิตวิญญาณกลับรู้สึกเบ่งบานขึ้นมาอีกครั้ง
ณ ตอนนี้ เธอดูเต็มไปด้วยพลังอันลุกโชนและมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ฝ่ายเย่หัวเองได้แต่ถอนหายใจ เพราะกับผู้หญิงคนก่อน
เขาจำได้ว่าเขาจำเป็นต้องร่ายมนต์ใส่หญิงสาว ก็เมื่อเวลาแห่งการร่วมรักมันลุล่วงไปแล้วเป็นเวลาถึง 1 ชั่วโมง
ครั้นเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น เย่หัวจึงได้หยุดกิจกามทั้งหมด
เขากอดจิงหยาเอาไว้แนบกาย ซึ่งใบหน้าของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยคราบน้ำตา
ส่วนตัวเขาเอง เลื่อนมือขึ้นมาจับบั้นเอวตัวเอง และพูดว่า
“ดูเหมือนว่าผมคงต้องฝึกฝนร่างกายตัวเองให้หนักกว่านี้นะนี่ ตอนนี้ผมรู้สึกเอวระบมไปหมด”
ฝ่ายจิงหยาก็เพิ่งได้รู้ว่ารสชาติที่แท้จริงของการเป็นผู้หญิงแท้จริงมันเหมือนกับนั่งอยู่บนรถไฟเหาะ
มันมีช่วงที่เหนื่อยแทบจะขาดใจตาย แต่ทันใดนั้น เธอก็กลับฟื้นคืนมีพลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรเสีย การพูดคุย การได้บอกเล่าความจริงกับผู้ชายคนนี้ทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาได้
อารมณ์หมองเศร้าของเธอที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ดูเหมือนได้รับการบรรเทาให้เจือจางลงไปค่อนข้างมาก
เธอและเขานอนตระคองกอดกันบนเตียงจนกระทั่งเย็นย่ำ
เมื่อจิงหยาลืมตาคู่สวยคู่นั้นขึ้นมา
เธอพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เธอปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าหัวใจของเธอกำลังเบ่งบาน เธอมีความสุข
"ตื่นแล้วหรือ" เย่หัวถามเธอ
“ใช่”
“ตอนนี้คุณคงรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการเมาและไม่เมาแล้วสินะ”
เย่หัวกระซิบถามเธอ พร้อมทั้งเอามือลูบไหล่เธออย่างอ่อนโยน
ผู้หญิงแบบจิงหยานี่ล่ะ
เป็นคนจำพวกอยู่เหนือความคาดหมายหรือการคาดหวังจากคนธรรมดาสามัญ
เธอยิ่งใหญ่ เย็นชา และเต็มไปด้วยอำนาจ
มีเพียงผู้หญิงประเภทนี้เท่านั้นที่น่าสนใจสำหรับเขา…
ร่างกายของเธอก็มีเสน่ห์เย้ายวนอีกด้วย
สำหรับจิงหยา หากทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เกิดขึ้นใต้อิทธิพลของแอลกอฮอล์
ตอนนี้เธอคงรู้สึกอยากฆ่าผู้ชายคนที่เธอนอนด้วย
แต่ครั้งนี้มันต่างกันตรงที่เธอเป็นผู้เลือก
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นผลลัพท์จากการตัดสินใจเองของเธอ
เธอจึงไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย
"คุณชื่ออะไร?" จิงหยาถามเขา
อย่างน้อยเธอก็ควรรู้จักชื่อของผู้ชายที่มอบประสบการณ์ครั้งแรกนี้แก่เธอ
เย่หัวตบไหล่ของจิงหยา ก่อนจะลุกจากเตียงไปสวมเสื้อผ้า
“มันสำคัญกับคุณมากเลยเหรอ” เขาถามเธอ
จิงหยาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ และไม่ได้ถามอะไรต่อ
หลังจากนั้นเธอลุกจากเตียงตามไปด้วยอีกคน ขณะที่กำลังสวมชุดของเธอ
เธอนึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย ...
หลังจากนั้น ทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลย ก่อนจะลงไปยังชั้นล่าง
เย่หัวเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์
ฝ่ายจิงหยาก็เดินออกจากบาร์ไปอย่างเงียบเชียบ
ความสัมพันธ์ชั่วคืนดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว...
จังหวะที่เธอออกมาจากบาร์ จิงหยาได้เดินสวนกับเว่ยฉางที่กลับมาทำงาน
จิงหยาผู้นี้กลายเป็นสตรีผู้สูงส่งเกินกว่าชายใดจะเอื้อมถึงอีกแล้ว
ทุกย่างก้าวของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจของหญิงผู้ทรงอำนาจ ความเย็นชา
และความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของเธอ ถึงกับทำให้เว่ยฉางถอนหายใจเมื่อเดินสวนกัน
ผู้หญิงคนนี้ มั่นใจในตัวตนขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
“บอสครับ” เว่ยฉางเอ่ยทักทายเย่หัวด้วยอาการนอบน้อม
เย่หัวหรี่ตาข้างนึงและเอามือขวาลูบคางอย่างครุ่นคิด
ก่อนจะบอกลูกน้องของเขาว่า “ภาพที่นายได้มา ผู้หญิงคนเมื่อคืนบอกว่ามันเป็นของปลอม”
“บอสครับ บอสอยากให้ผมเผาภาพพวกนั้นไหมครับ?”
“ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ หลายปีมานี่ ฉันเห็นภาพพวกนี้จนชินตาละ
ไปทำงานไป! อีกเดี๋ยวบาร์จะเปิด นายควรไปเตรียมพร้อมทำงานได้แล้ว”
“ครับ บอส...” เว่ยฉางรับคำ
เย่หัวหาวออกมาวอดนึง ก่อนเดินขึ้นไปชั้นบน
เว่ยฉางคิดในใจว่าเจ้านายของเขาคงอ่อนเพลียจากกิจกรรมเมื่อคืนเป็นแน่
เขาหัวเราะขื่นๆ ออกมาพลางนึกในใจว่า นับวันบอสจะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นทุกที
“เอ้าหลี่กู้! กินซะ” ไม่รู้ว่าไส้กรอกอยู่ในมือของเว่ยฉางตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาโยนไส้กรอกไปยังเจ้าพิทบูลตัวนั้นเพื่อให้มันงับ
ตรงกันข้าม หลี่กู้ไม่มีท่าทีสนใจไส้กรอกชิ้นนั้นแม่แต่น้อย
มันเอียงคอมองเว่ยฉางอย่างดูแคลน ก่อนจะยืดตัวผายหน้าอก
แล้วเดินตามนายของมันขึ้นไปชั้นบนด้วยท่าทีหยิ่งผยอง
เว่ยฉางถอนหายใจ ก่อนจะหัวเราะขำในท่าทีของเจ้าพิทบูลตัวนั้น
มันคงเส้นคงวาแบบนี้เสมอมา ไม่มีความเป็นหมาเอาเสียเลย
“คุณอาเว่ยคะ” ถังเหว่ยเดินเข้ามาและทักทายเว่ยฉางด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนว่าวันนี้ เธออารมณ์ดีขึ้นมาก
“อ้าว! เสี่ยวถังมาถึงแล้ว งั้นมาเริ่มทำงานกันได้แล้วพวกเรา ใกล้ถึงเวลาเปิดบาร์แล้ว”
เว่ยฉางปรบมือพร้อมตะโกนเสียงดัง
ความจริงเขาเก็บงำความลับไว้อย่างนึง
หากคนทั่วไปรู้จักสถานะตัวตนที่แท้จริงของเว่ยฉาง
พวกเขาอาจจะกลัวฉี่ราดไปเลยก็ได้
เราทราบมาว่า เย่หัวสร้างเนื้อหนังของเขาขึ้นมาใหม่จากร่างโครงกระดูก
ส่วนร่างที่แท้จริงของเว่ยฉางผู้นี้คือปีศาจตนนึง
แม้แต่เย่หัวเองก็บอกไม่ได้ว่าร่างที่แท้จริงของลูกน้องเขาผู้นี้คือปีศาจตนไหน
แต่ที่แน่นอน เขาคือหนึ่งในเจ็ดมหาปีศาจแห่งบาปเจ็ดประการ
ส่วนหลี่กู้หมาพิทบูลตัวนั้นก็ไม่ธรรมดา ความจริงแล้วมันไม่ใช่สุนัขทั่วไป
แต่มันคือมังกรโครงกระดูกที่อาศัยร่างหมาพิทบูลเป็นเกราะคุ้มกัน!
หลี่กู้คือหนึ่งในมหาปีศาจแห่งบาปทั้งเจ็ด
และมันก็เป็นกำลังสำคัญให้กับเย่หัวผู้เป็นนาย อันที่จริง
เย่หัวเป็นผู้เลือกร่างสุนัขนี้ให้กับมัน
เพราะเขาเบื่อที่จะมีสัตว์เลี้ยงเป็นมังกรแล้ว เลี้ยงหมาสักตัวอาจจะสนุกกว่า
แรกเริ่มเดิมที หลี่กู้ปฏิเสธไม่ยอมรับร่างสุนัขตัวนี้เลย
แต่ต่อมามันกลับพบว่า การเป็นสุนัขตัวนึงก็ไม่เลวเหมือนกัน
กิจวัตรแต่ละวันมีแค่กินๆ นอนๆ ได้รางวัลของกำนัลจากนายบ้างเป็นครั้งคราว
แค่คิดถึงรางวัลที่ว่า หลี่กู้ก็น้ำลายสอเสียแล้ว